xs
xsm
sm
md
lg

"ประพันธ์" ชี้ กำพืด "แม้ว" ชอบบู๊นอกศาล-"ส.ว.สมชาย" แฉ เปาไม่เล่นด้วยติดสินบน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"ประพันธ์" ชี้ กำพืด "แม้ว" ชอบสู้นอกเกม เชื่อนักโทษชายไม่สนใจคำตัดสิน อย่างไรจะปลุกระดมมวลชนแดงสู้ต่อ เผย "เสื้อแดง" กำลังรวมขุมกำลังเตรียมประกาศศึกครั้งสุดท้าย ด้าน "ส.ว.สมชาย" แฉ ความพยายามติดสินบนศาล แต่เปาไม่เล่นด้วย จึงหันไปข่มขู่ครอบครัวผู้พิพากษาแทน มั่นใจ 26 ก.พ.นี้ คำตัดสินคดีดังจะเป็นประวัติศาสตร์ถูกจารึกไว้ เตือน รัฐระวังมือที่ 3 หรือกองกำลังไม่ทราบฝ่ายป่วนเมือง

 คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "คนในข่าว" 

รายการ “คนในข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน เวลา 20.30-22.00 น. วันอังคารที่ 23 ก.พ. มี นายเติมศักดิ์ จารุปราณ เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยวันนี้ได้มีการเชิญ นายประพันธ์ คูณมี กรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ และนายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา เพื่อร่วมวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ก่อนคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

นายประพันธ์ วิเคราะห์คดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า หากเอาความเคลื่อนไหวต่างๆของกลุ่มคนเสื้อแดงและความพยายามของ พ.ต.ท.ทักษิณ มารวมกัน จะเห็นได้ว่ามีเป้าหมายเพื่อเตรียมชุมนุมใหญ่ ไม่ว่าคำพิพากษาคดีนี้จะออกมาเป็นเช่นไร แต่หากมีการยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อไหร่ เหตุการณ์ก็ยิ่งบานปลายทันที ดังนั้น สถานการณ์เวลานี้ไม่น่าไว้วางใจ จึงต้องฝากความหวังไว้ที่รัฐบาลและหน่วยงานความมั่นคง ให้ช่วยดูแลความสงบเรียบร้อยภายในประเทศให้ดีๆ

นายประพันธ์ กล่าวต่อว่า หากคำพิพากษาเป็นไปในทิศทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ กลุ่มคนเสื้อแดงก็จะเคลื่อนไหวไปอีกทิศทางหนึ่ง คือ จะเอาประเด็นนี้ไปป่าวประกาศว่า เห็นแล้วหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้โกง แต่โดนกลั่นแกล้งจากกระบวนการยุติธรรม ซึ่งตรงจุดนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ คงจะหลงลืมไป จึงคิดอะไรที่สวยงาม เพราะตัวเองยังมีคดีติดตัวอยู่อีกมากมาย โดยคนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้มีเป้าหมายแค่เพื่อตัวเอง แต่ยังต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศและได้อำนาจรัฐกลับมาอยู่ในมือตัวเองด้วย ฉะนั้น เป้าหมายการยึดทรัพย์เป็นเพียงแต่ส่วนหนึ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการ เพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายทางการเมือง

นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า นับตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าสู่การเมือง หากยังจำกันได้ จะเห็นว่าใช้การเคลื่อนไหวนอกศาลกดดันกระบวนการยุติธรรมเสมอ ไม่ว่าจะเป็นตอนซุกหุ้นภาคแรก การขอพระราชอภัยโทษ หรือจะเป็นนิรโทษกรรมต่างๆ ซึ่งตรงจุดนี้ถือเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยในคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้มีการสร้างความเข้าใจผิดให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพูดจาของแกนนำ หรือจะเป็นการแจกเอกสารบิดเบือน ทั้งหมดนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยสนใจที่จะต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม เพราะรู้อยู่แล้วว่าไม่มีปัญญาหาหลักฐานมาหักล้างคดีได้ ดังนั้น จึงต้องอาศัยความเคลื่อนไหวนอกสภา เพื่อกดดันศาลด้วยมวลชน ซึ่งวิดีโอลิงก์ล่าสุด ก็ชัดเจนแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคารพกติกาบ้านเมือง

"การพูดจากลับไปกลับมา มันเป็นการฆ่าตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชัดๆ เพราะมันแสดงถึงความไม่น่าเชื่อถือ เพื่อที่ต้องการบอกคนอื่นว่าตัวเองไม่ผิด ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ใช่วิธีการสู้คดีในทางข้อกฏหมาย แต่เป็นความต้องการสร้างขบวนการทางการเมือง เพื่อมาต่อสู้ตามแนวทางของตัวเอง แล้วถ้าไม่ได้ตามเป้าหมาย ก็จะใช้ความรุนแรง เพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายให้ได้" นายประพันธ์ กล่าว

นายประพันธ์ กล่าวถึงประเด็นสำคัญในคดียึดทรัพย์ว่า ตนได้อ่านคำฟ้องและคำให้การของฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมีประเด็นหลักๆอยู่เพียงไม่กี่ประเด็น โดยเรื่องนี้ ต้องย้อนกลับไปดูว่า ก่อนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ แจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. ไว้เท่าไหร่ ซึ่งประเด็นเชื่อมโยงต่อมาคือการขายหุ้นชินคอร์ปฯที่เป็นปัญหาว่า มีการซื้อขายและโอนหุ้นโดยมิชอบ รวมทั้งมีบุตรชาย บุตรสาวเจ้ามาเกี่ยวข้องเรื่องนี้ นอกจากนี้ ยังมีการตั้งบริษัทนอมินีในต่างประเทศ เพื่อโยกย้ายถ่ายเทหุ้นด้วย

"พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่สามารถหาหลักฐานมาหักล้างคดีได้ โดยประเด็นนี้ เมื่อดูจากหลักฐานทั้งหมด น่าจะไม่เพียงพอในการหักล้าง เพราะไม่สามารถอธิบายรายละเอียดต่างๆได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเอื้อประโยชน์ธุรกิจ หรือเรื่องสัมปทานและแก้สัญญาเพื่อยกเว้นภาษี หรือจ่ายให้แก่รัฐน้อยลง ซึ่งประเด็นสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่รวยแล้วไม่โกง แต่มันอยู่ที่มีการใช้อำนาจของตัวเอง เพื่อเอื้อธุรกิจตัวเองหรือไม่ โดยหากพิสูจน์ชัดแล้วว่าผิดจริง ทรัพย์สินทุกอย่างต้องตกเป็นของรัฐ เนื่องจากเป็นหัวเชื้อในการกระทำความผิด สามารถยึดได้ทั้งหมด เพราะว่างอกเงยมาโดยผิดปกติ" นายประพันธ์ กล่าว

นายสมชาย กล่าวถึงบทบาทของรัฐที่ดูเหมือนใช้สื่อในมือน้อยเกินไป ในการชี้แจงข้อมูลคดียึดทรัพย์ให้ประชาชนทราบ ว่า ที่ผ่านมาถือว่ายังไม่พอสำหรับการใช้สื่อของรัฐ เพราะอีกฝ่ายพยายามเคลื่อนไหวไม่ให้รัฐใช้เครื่องมือได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ ยังมีการบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อสร้างความเข้าใจผิด ดังนั้น หากรัฐไม่ชี้แจง หรือไล่เรียงข้อกฏหมายให้ประชาชนทราบ ก็จะตกเป็นเครื่องมือกับอีกฝ่ายได้ง่าย โดยคดีนี้ ต้องหาวิธีชี้แจงโดยใช้ภาษาง่ายๆ ฟังแล้วเกิดความเข้าใจ เนื่องจาก เวลานี้วิทยุชุมชนคนเสื้อแดงมีการปลุกระดมและเผยแพร่ข้อมูลไม่สมควร อาทิ การปลุกปั่น สอนทำระเบิดเพลิง หรือพลีชีพ ซึ่งเรื่องแบบนี้ รัฐบาลนิ่งนอนใจไม่ได้

นายสมชาย กล่าวถึงสถานการณ์ปัจจุบันว่า ตอนนี้ประมาทไม่ได้ เพราะกลุ่มคนเสื้อแดงตระเตรียมการชุมนุมอย่างเต็มที่ ซึ่งเรื่องการปลุกระดมมวลชนนั้นไม่ยาก แต่การควบคุมคนกลุ่มใหญ่ เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะว่ากลุ่มคนเสื้อแดงประกอบด้วยผู้คนหลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นสามเกลอหัวขวด หรือฝ่ายซ้ายอกหัก ดังนั้น อาจมีการใช้ความรุนแรง หรือบางทีอาจมีการจัดตั้งกองกำลังไม่ทราบฝ่าย เพื่อออกมาปฏิบัติการ ซึ่งแผนการก็คาดว่าจะเป็นการชุมนุมโดยรอบก่อน และค่อยลามเข้ามาในเมือง โดยเรื่องนี้ต้องระวังมือที่ 3 ให้ดีๆ

นายประพันธ์ กล่าวเสริมว่า การต่อสู้ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกแบบ ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่การชุมนุมทางการเมือง แต่เป็นการปลุกระดมผู้คนให้ลุกฮือก่อสงครามกลางเมือง ไม่ว่าจะเป็นการประกาศให้พกขวดน้ำมัน หรือจะเป็นการปลุกระดมต่างๆ ส่วนเรื่องกองกำลังไม่ทราบฝ่าย อันนี้ก็น่าจับตามอง เพราะบางทีอาจจะมีคนสีอื่นไปจับมือกับฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งเรื่องนี้ขึ้นอยู่ที่กองทัพจะมองการเคลื่อนไหวครั้งนี้ในมุมไหน

นายสมชาย กล่าวถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณ อยากจะได้รับความยุติธรรม ก็ต้องหันกลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก่อน เพราะถ้าหากไปสู้นอกศาล แล้วมาบอกว่าไม่ได้ความเป็นธรรม แบบนี้ถือว่าใช้ไม่ได้ เพราะทุกฝ่ายต้องเคารพในคำพิพากษาของศาล

นายประพันธ์ กล่าวประเด็นเดียวกันว่า จริงๆแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ สู้ในกระบวนการยุติธรรมมาตลอด เพราะศาลไม่เคยปิดโอกาสในการต่อสู้ เปิดช่องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตั้งทนายเพื่อสู้คดี หรือจะเป็นการหาพยานมาหักล้างข้อกล่าวหา ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ มีสิทธิ์อะไรมาตั้งธงว่า หากศาลตัดสินยึดทรัพย์สิน ถือว่าไม่ยุติธรรม ซึ่งประเด็นนี้ ตนถือว่าเลอะเลือน มีการขู่จะไปฟ้องศาลโลก โดยมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

นายสมชาย กล่าวถึงการข่าวที่น่าสนใจว่า ตอนนี้มีความพยายามวิ่งเต้นติดสินบนคณะผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้พิพากษายอมรับเงินและเล่นเรื่องนี้ด้วย ซึ่งตนเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรแต่คณะผู้พิพากษาคดีนี้ไม่ได้หวั่นไหว แม้ว่าครอบครัวหรือคนรอบข้างจะถูกคุกคามก็ตาม

นายประพันธ์ กล่าวปิดท้ายถึงกรณี นายสำราญ รอดเพชร กล่าวว่า มีการวิ่งเต้นติดสินบนศาล 5,000 ล้านบาท ว่า การติดสินบนศาลเกิดขึ้นมาตั้งนานแล้ว ซึ่งนายสำราญ ไม่ได้มีเจตจาจะกล่างหาศาล แต่เป็นเพียงแค่การเอ่ยข้อมูลที่ได้ทราบมา อีกทั้งประกอบกับพฤติกรรมฝ่ายดังกล่าว ก็เห็นมาตลอดว่ามีการกระทำเช่นนี้เกิดขึ้นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นตอนคดีซุกหุ้นภาคแรก หรือจะเป็นเรื่องถุงขนม 2 ล้านบาท แต่ถึงอย่างไร คดีนี้ตนเชื่อว่า ผู้พิพากษาตัดสินมีความหนักแน่นพอ เพราะสังคมกำลังจะจับจ้องรอฟังคำตัดสินคดีประวัติศาสตร์
นายประพันธ์ คูณมี
นายสมชาย แสวงการ
กำลังโหลดความคิดเห็น