ผ่าประเด็นร้อน
ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีถ้าจะหันหน้าเข้ามาคุยกัน หรือทำความเข้าใจกันในข้อขัดแย้ง แต่มันคนละเรื่องหากจะเจรจาเพื่อให้ ทักษิณ ชินวัตร หรือใครสักคนได้พ้นผิด ไม่ต้องถูกดำเนินคดี และก็ยังสงสัยอยู่ว่ามันจะทำได้อย่างไร เพราะคดีที่อยู่ในศาลหรือตัดสินว่ามีความผิดไปแล้วจะให้ลบล้าง สิ่งเหล่านี้จะตอบคำถามคนทั่วไปได้อย่างไร เพราะหากเกิดขึ้นจริง เขา ก็คือ “อภิสิทธิชน” ตัวจริงและเลือกปฏิบัติแบบ “สองมาตรฐาน” อย่างชัดเจนที่สุด
คำก็ “สองมาตรฐาน” อีกคำก็สองมาตรฐาน หรือ “อภิสิทธิชน” สุดแล้วแต่จะใช้ถ้อยคำมาบิดเบือนกล่าวหาฝ่ายตรงกันข้ามเพื่อหาประโยชน์เข้าตัวให้มากที่สุด แต่อีกด้านหนึ่งเมื่อหันไปสังเกตพฤติกรรมตั้งแต่ต้นของ ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายกลับมีความหมายแบบนั้นเสียเอง
ที่ผ่านมาวิธีการสื่อสารทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการให้สัมภาษณ์ การทวิตเตอร์ หรือวิดีโอลิงก์เข้ามาปลุกระดมบนเวทีคนเสื้อแดง หรือพูดฝากมาทางคนใกล้ชิดล้วนแล้วแต่อ้างว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรม ถูกรังแกจึงต้องมีการเคลื่อนไหวเพื่อทวงถามความอยุติธรรมดังกล่าว และยืนยันว่าหากไม่ได้รับการตอบสนองก็จะไม่มีวันยุติเป็นอันขาด
การเคลื่อนไหวของ ทักษิณ ชินวัตร ทั้งที่แสดงออกมาด้วยตนเองหรือผ่านทาง “คนเสื้อแดง” ที่ชุมนุมก่อกวนอย่างยืดเยื้อ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นการกดดันเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่ตัวเองต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล เปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงกระบวนการยุติธรรมเสียใหม่ ซึ่งตลอดเวลาหลังจากที่ตัวเองพ้นจากอำนาจ และถูกดำเนินคดีก็ล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายในเรื่องดังกล่าวทั้งสิ้น
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ ทักษิณ กับพวกต้องตอบคำถามให้ได้ก็คือทำไมไม่ได้รับความยุติธรรม หรือทำไมถึงไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมที่เกิดขึ้น แล้วคนไทยทั่วไปได้รับความยุติธรรมและยอมรับหรือไม่
เพราะกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะกระบวนการศาลทุกอย่างยังเหมือนเดิมไม่ได้ผิดเพี้ยน ซึ่งกระทำภายใต้พระปรมาภิไธยมีทั้งระบบกล่าวหาในศาลทั่วไป และระบบไต่สวนสำหรับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และไม่ว่าใครก็ตามหากถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดก็ต้องเดินมาตามขั้นตอนแบบนี้
แม้ว่าอาจจะมีข้อระแวงในชั้นต้นน้ำบ้าง คือ ตำรวจ และอัยการ หรือกรณีของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) แต่เมื่อมาถึงชั้นศาลทุกคนก็ต้องได้รับการปฏิบัติเหมือนกันหมด คือมีฝ่ายโจทก์ ฝ่ายจำเลย และมีทนายความแก้ต่างพิจารณากันไปตามพยานหลักฐานที่มี
ซึ่งจะว่าไปแล้ว ทักษิณ เสียอีกที่น่าจะได้เปรียบ เนื่องจากเป็นระดับ “อภิมหาเศรษฐี” มีเงินจ้างทนายฝีมือดี มีทีมงานที่เคยเป็นเครือข่ายอำนาจมากมายคอยช่วยเหลือสืบค้นหาหลักฐานมาแก้ต่างหักล้างข้อกล่าวหาได้ดีกว่าคนอื่นเสียด้วยซ้ำไป แต่ไม่ว่าจะอย่างไรเมื่อมีการพิพากษาเสร็จสิ้นแล้ว ถือว่าทุกอย่างต้องยุติ แม้ว่าบางครั้งจะ “ไม่เห็นด้วย” กับคำพิพากษา แต่ก็ต้องยอมรับ ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองก็จะไร้ขื่อแป จะวุ่นวายไม่สิ้นสุด
ขณะเดียวกัน เป็นเรื่องที่ถูกต้องที่นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีท่าทียืนยันว่าจะไม่เจรจาถ้าจะทำให้เรื่องผิดให้ถูกกฎหมาย
สำหรับ ทักษิณ ยังมีหลายคดีที่รอการพิจารณาและกำลังดำเนินคดีอยู่ และที่ผ่านมาเขาถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 2 ปีในคดีซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก แต่เขากลับไม่ยอมรับอ้างว่าถูกกลั่นแกล้ง รังแกต่างๆ นานา พยายามใช้คำพูดบิดเบือนในภายหลังตลอดเวลา ทั้งที่ในระหว่างการพิจารณาคดีก็มีการเปิดโอกาสให้ต่อสู้ได้เต็มที่
แต่ที่น่าจับตาก็คือ คดีที่ศาลฎีกาฯ จะมีการอ่านคำพิพากษาในวันที่ 26 ก.พ.คือคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ซึ่งหลายฝ่ายประเมินตรงกันว่ามีความหมายต่อ ทักษิณ มาก เพราะนอกจากจะมีจำนวนเงินมหาศาลแล้ว หากผลออกมาทางลบจริงๆ มันก็ย่อมส่งผลกระทบต่ออนาคตของเขาอย่างรุนแรงแน่นอน เพราะในคำพิพากษาจะต้องมีรายละเอียดของคดี อธิบายที่มาที่ไปออกมาตีแผ่ให้สังคมได้เห็นถึงพฤติกรรมอย่างละเอียด สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่น่าจะทำให้เกิดความหวั่นไหว
ประกอบกับในระยะหลังหากสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่าความเคลื่อนไหวของ ทักษิณ และเครือข่ายแม้ว่าจะดำเนินการอย่างถี่ถิบและเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆและมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปเป็นการข่มขู่เพื่อให้ความรุนแรง หรือในลักษณะคุกคามในรูปแบบต่างๆ ทั้งจากคำพูดของแนวร่วมคนสำคัญผ่านทาง พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาเปิดเผยในเรื่องการจัดตั้ง “กองทัพประชาชน” รวมทั้งคำเตือนจาก “เสธ.แดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ในเรื่องการลอบสังหารบุคคลในองค์กรอิสระ เช่น ป.ป.ช. คตส.ผู้พิพากษา และบุคคลสำคัญในรัฐบาล เช่น นายกรัฐมนตรี เป็นต้น
บังเอิญว่าในระยะต่อมาเกิดเหตุการณ์ลอบขว้างปาถุงปฏิกูลเข้าไปในบ้านนายกฯ มีรถยนต์เข้าแทรกในขบวนนายกฯ ล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาได้เกิดเหตคนร้ายลอบยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้ามาตกที่บริเวณริมรั้วมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตพาณิชยการพระนคร และการลอบวางระเบิดบริเวณริมรั้วศาลฎีกาซึ่งเป็นสถานที่ใช้พิจารณาคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านในวันที่ 26 ก.พ.
แม้ว่าหากพิจาณาด้วยความเป็นธรรมว่าเวลานี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า เฉพาะสองกรณีหลังคือการยิงระเบิดเอ็ม 79 ไปตกที่พาณิชย์พระนครกับลอบวางระเบิดที่ศาลฎีกาว่าเป็นฝีมือของฝ่ายไหน แต่เชื่อว่าเป้าหมายก็คือต้องการข่มขู่และสร้างสถานการณ์ให้ปั่นป่วนวุ่นวาย
แต่ถ้าพิจารณาย้อนหลังไปเพียงไม่กี่วันก็ได้เห็นสัญญาณจาก ทักษิณ ที่เพิ่งทวิตเตอร์เข้ามาโดยเปรียบตัวเองเป็นหนูที่ไม่มีพิษสง สามารถพูดคุยกันได้ แต่กลับถูกไล่ล่า หรือแม้กระทั่งยอมเผาบ้านเพื่อกำจัดหนูให้ได้
ความหมายที่สื่อออกมาก็คือต้องการเจรจานั่นเอง ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่จะหันหน้าเข้ามาคุยกัน หรือทำความเข้าใจกันในข้อขัดแย้ง แต่มันคนละเรื่องหากจะเจรจาเพื่อให้ ทักษิณ ชินวัตร หรือใครสักคนได้พ้นผิด ไม่ต้องถูกดำเนินคดี และก็ยังสงสัยอยู่ว่ามันจะทำได้อย่างไร เพราะคดีที่อยู่ในศาลหรือตัดสินว่ามีความผิดไปแล้วจะให้ลบล้าง จะตอบคำถามคนทั่วไปได้อย่างไร เพราะหากเกิดขึ้นจริง เขา ก็คือ “อภิสิทธิชน” ตัวจริงและเลือกปฏิบัติแบบ “สองมาตรฐาน” อย่างชัดเจนที่สุด
ดังนั้น เมื่อสถานการณ์ดำเนินมาจนถึงขณะนี้มีทางเดียวก็คือเขาต้องยอมรับในคำพิพากษาของศาล เพราะทุกฝ่ายในสังคมยอมรับว่าเป็นศาลยุติธรรม ไม่ใช่ “ศาลเตี้ย” และป่วยการที่จะดิ้นรนกดดันข่มขู่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่ตัวเองต้องการ
เพราะยิ่งดันทุรัง บิดเบือนก็จะยิ่งถูกชี้หน้าประณามหยามเหยียด!!