คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1. “มือมืด” ซุกระเบิดซีโฟร์ “ศาลฎีกา” โชคดีเก็บกู้ทัน ด้าน “โอ๊ค-เอม”ร้องศาลปิดปาก “คตส.” แต่ศาลยกคำร้อง!
จากกรณีที่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ได้ออกมาขู่องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่จะพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ 26 ก.พ.ว่าอาจถูกลอบสังหารโดยกลุ่มโรนิน หรือกองกำลังไม่ทราบฝ่ายนั้น ปรากฎว่า เริ่มมีปฏิบัติการข่มขู่คุกคามที่ศาลฎีกาฯ แล้วในวันนี้(14 ก.พ.) โดยคนร้ายได้นำระเบิดใส่ไว้ในกล่องน้ำผลไม้บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกวางไว้ริมรั้วศาลฎีกา ฝั่งตรงข้ามคลองหลอด เมื่อ รปภ.ประจำศาลฯ พบ ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ หลังจากตำรวจ สน.ชนะสงครามพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เก็บกู้ระเบิดใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูงฉีดใส่วัตถุต้องสงสัย ได้เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว จากการตรวจสอบพบว่าเป็นระเบิดซีโฟร์ ขนาดประมาณ 3 ปอนด์ อยู่ในสภาพพร้อมทำงาน คาดว่าน่าจะจุดระเบิดด้วยโทรศัพท์มือถือหรือรีโมทที่อยู่ใกล้กับศาลฎีกา
ด้านนายพรศักดิ์ ศรีละมุล แกนนำกลุ่มกรุงเทพ 50 ซึ่งได้ยกกลุ่มเข้าสังกัดพรรคเพื่อไทยแล้ว ได้ออกมาพูดสอดคล้องกับคำขู่ของเสธ.แดงก่อนหน้านี้ว่า เชื่อว่าในการตัดสินยึดทรัพย์ อาจเกิดเหตุการณ์องค์คณะผู้พิพากษาไม่ครบ ส่งผลให้ยื้อเวลาการตัดสินคดีออกไปเรื่อยๆ
สำหรับความคืบหน้ากรณีที่องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาฯ ให้คู่ความแถลงปิดคดีภายใน 30 วันนั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 9 ก.พ. พนักงานอัยการได้ยื่นคำแถลงปิดคดีรวม 121 หน้า โดยมีเนื้อหาสรุปว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ปกปิดการถือหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือชินคอร์ป จำนวนกว่า 1,400 ล้านหุ้น เป็นเงินกว่า 7.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ได้จากการใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่เอื้อประโยชน์ ซึ่งเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม จึงเป็นการร่ำรวยผิดปกติ คิดเป็นจำนวนกว่าร้อยละ 48 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่จำหน่ายได้ อัยการ ชี้ด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน คู่สมรส ได้ปกปิดและอำพรางหุ้นไว้ในชื่อบุตรและเครือญาติ คือ นายพานทองแท้ ,น.ส.พิณทองทา บุตรชาย-บุตรสาว ,น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรมคุณหญิงพจมาน ซึ่งการอ้างว่าได้โอนหุ้นให้บุคคลดังกล่าวแล้วนั้น เชื่อว่าไม่มีการซื้อขายโอนหุ้นกันจริง แต่เป็นการทำให้บุคคลอื่นเชื่อว่ามีการซื้อขายกันจริงเท่านั้น โดยตั๋วสัญญาใช้เงินที่ผู้ถูกกล่าวหานำมาอ้าง เชื่อว่าเป็นการทำขึ้นในภายหลัง
อัยการ ยังระบุในคำแถลงปิดคดีเพื่อให้เห็นกลอุบายการปกปิดการถือหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานด้วยว่า “จากพยานหลักฐานยังฟังได้ว่า บริษัท วินมาร์ค และบริษัท แอมเพิลริช เป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยให้บุตรและเครือญาติถือหุ้นแทน โดยการซื้อขายกันนั้นเป็นราคาต้นทุนที่ซื้อขายต่ำกว่าราคาตลาดเป็นอันมาก และการซื้อขายจะไม่มีการชำระเงินจากผู้ซื้ออย่างแท้จริง แต่จะใช้วิธียืมเงินผู้ขายหรือออกตั๋วสัญญาใช้เงิน โดยเงินปันผลทั้งหมดต้องส่งคืนให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานทั้งหมด” อัยการ ระบุต่อไปว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ใช้ตำแหน่งนายกฯ เอื้อประโยชน์แก่บริษัทชินคอร์ปและบริษัทในเครือ 5 กรณี คือ 1.การแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต 2.แก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรเติมเงิน 3.การแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วมหรือโรมมิ่ง และให้หักค่าใช้จ่ายจากรายรับ และการปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วม ซึ่งเป็นการเอื้อประโยชน์แก่บริษัทชินคอร์ป 4.ละเว้น อนุมัติ ส่งเสริมสนับสนุนธุรกิจดาวเทียมสื่อสารในประเทศโดยมิชอบหลายกรณี เพื่อประโยชน์แก่บริษัทชินคอร์ป 5.ให้เอ็กซิม แบงก์อนุมัติเงินกู้ให้รัฐบาลพม่า 4,000 ล้านบาท เพื่อนำไปซื้อสินค้าและบริการของบริษัท ชินแซทเทลไลท์ ในเครือชินคอร์ป
คำแถลงของอัยการ ยังระบุด้วยว่า การกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณสร้างความเสียหายแก่รัฐมาก มีทั้งที่คิดและไม่อาจคิดเป็นตัวเงินได้ จำนวนไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท เช่น การแก้ไขสัญญาลดส่วนแบ่งรายได้จากโทรศัพท์เติมเงิน ทำให้ ทศท.ขาดประโยชน์ประมาณ 8 หมื่นล้านบาท ,การให้เอกชนนำภาระภาษีสรรพสามิตมาหักจากค่าสัมปทาน ทำให้ กสท.และ ทศท.เสียหายรวม 3 หมื่นล้านบาท
ด้านนายสมพร พงษ์สุวรรณ ทนายความคุณหญิงพจมาน ในฐานะผู้คัดค้านที่ 1 ในคดียึดทรัพย์ ได้ยื่นคำแถลงปิดคดี(9 ก.พ.) โดยบอกว่า เงิน 7.6 หมื่นล้านนั้น มีทรัพย์สินของคุณหญิงพจมานที่ได้มาก่อน พ.ต.ท.ทักษิณจะเป็นนายกฯ กว่า 1 พันล้านบาท พร้อมย้ำ การซื้อขายหุ้นชินคอร์ปถูกต้องตามกฎหมาย
ส่วนนายกิตติพร อรุณรัตน์ ทนายความของนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร ในฐานะผู้คัดค้านที่ 2-3 ได้ยื่นคำแถลงปิดคดีจำนวน 130 หน้าเมื่อวันที่ 10 ก.พ. โดยบอกว่า ในจำนวน 7.6 หมื่นล้านนั้น เป็นทรัพย์สมบัติของนายพานทองแท้ 17,150 ล้านบาท และของ น.ส.พิณทองทา 23,529 ล้านบาท รวมแล้วกว่า 4 หมื่นล้านบาท พร้อมยืนยันว่า ทรัพย์สินดังกล่าวได้รับมอบจาก พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะดำรงตำแหน่งนายกฯ
ด้านนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ (11 ก.พ.) ขอให้มีคำสั่งห้ามอดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ให้ข้อมูลหรือให้สัมภาษณ์สื่อเกี่ยวกับคดียึดทรัพย์ โดยอ้างว่า จะทำให้สาธารณชนเข้าใจผิด และหลงเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณกระทำผิดจริงและต้องถูกยึดเงินทั้งหมด ซึ่งถือเป็นการก้าวก่ายการพิจารณาของศาล ด้านศาลฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า คำร้องของนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทาไม่ต้องด้วยบทบัญญัติของประมวลวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 30 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 18 วรรค 2 ที่ศาลจะออกข้อกำหนดใดใด เพื่อห้ามบุคคลตามคำร้องให้ข้อมูลข่าวสารหรือแสดงความคิดเห็นทางข้อกฎหมายตามคำขอในคำร้อง จึงให้ยกคำร้อง
2. “กอ.รมน.”ชี้ ม็อบเสื้อแดงส่อรุนแรง –ให้ผู้ชุมนุมทำระเบิดขวด ด้านเอกชน วอนสื้อแดงถอย เพื่อให้ ปท.ดีขึ้น!
ความเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ที่ยังไม่ทันได้นัดชุมนุมใหญ่ก่อนศาลฎีกาฯ จะพิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ 26 ก.พ.นี้ ก็เกิดอาการแตกคอกันในหมู่แกนนำเสียแล้ว หลัง พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย และ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ออกมาประกาศหลังเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณที่เมืองดูไบว่า จะตั้งกองทัพประชาชนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว(กปช.) ขึ้นมา เพื่อต่อสู้ นำความสงบสุขและประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับคืนมา ส่งผลให้นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. และ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ไม่พอใจ เหมือนกลัว พล.อ.พัลลภ และ เสธ.แดงจะมาแย่งชิงการนำมวลชน จึงประกาศไม่เอาด้วย พร้อมโจมตี พล.อ.พัลลภและ เสธ.แดงว่า บุคคลทั้งสองไม่ใช่แกนนำ นปช. ไม่สามารถสั่งการคนเสื้อแดงให้เคลื่อนไหวใดใดได้ ขณะที่ พล.อ.พัลลภ ออกอาการน้อยใจ ประกาศเลิกสนใจ นปช.อีกต่อไป ด้าน เสธ.แดง บอกว่า พล.อ.พัลลภบอกว่าจะหยุดเคลื่อนไหวบนดินกับ นปช. แต่จะเคลื่อนไหวใต้ดินต่อไป พร้อมแนะให้นายจตุพร ไปขอโทษ พล.อ.พัลลภ เพราะ พล.อ.พัลลภเป็นผู้ใหญ่นั้น
ปรากฏว่า ตอนแรกนายจตุพรก็ออกอาการว่าจะไปขอโทษ พล.อ.พัลลภ แต่ตอนหลังเกิดเปลี่ยนใจ ออกมาพูดใหม่ว่าจะไม่ไปขอโทษแล้ว เพราะแม้ พล.อ.พัลลภจะเป็นผู้ใหญ่ แต่เมื่อทำตัวไม่สมอายุ ก็ไม่จำเป็นต้องพูดคุยอะไรกันอีก นายจตุพร ยังโจมตี พล.อ.พัลลภและ เสธ.แดงอย่างรุนแรงว่า เป็นพวกของปลอม ไม่ใช่ของจริง “...วันนี้ถึงวันที่คนเสื้อแดงจะต้องมานั่งคุยกันว่าอะไรของจริง อะไรของปลอม เพราะวันนี้พวกเราเหมือนคนที่ลอยอยู่กลางน้ำ เห็นเงาตะคุ่มๆ มา ตอนแรกก็นึกว่าขอนไม้ บางคนคิดจะกระโดดลงมาจากแพไปเกาะ แต่พอเกาะไปแล้ว มันไม่ใช่ขอนไม้ เป็นแค่หมาเน่าตัวหนึ่งเท่านั้น...”
ด้าน เสธ.แดง นอกจากไม่โกรธที่ถูกนายจตุพรด่าแล้ว ยังตื๊อจะเป็นการ์ดรักษาความปลอดภัยให้คนเสื้อแดงต่อไปด้วย โดยพูดถึงนายจตุพรว่า “มึงไม่เอากู แต่กูเอามึง เพราะเรามีหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้คนเสื้อแดง วันนี้ นปช.กลัว เสธ.แดงจะแย่งชิงการเป็นแกนนำ ทั้งที่เราไม่มีเจตนาจะยุ่งกับ นปช. การที่ทุกคนออกมาเพราะต้องการนำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมา อย่าไปสำคัญตัวผิดว่ากูคือ นปช.สีแดง ถ้าไม่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่มี นปช. เราต้องทำงานร่วมกัน...”
ขณะที่ พล.อ.พัลลภ ได้ออกมาปฏิเสธกรณีที่ถูกนายจตุพรระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณเริ่มไม่ไว้ใจ พล.อ.พัลลภ กลัวจะเข้ามาเป็นไส้ศึกหรือไม่ โดยยืนยันว่า ไม่เคยเป็นไส้ศึกให้ฝ่ายใด และว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตนก็ไม่เคยเข้าไปยุ่ง
เป็นที่น่าสังเกตว่า ความขัดแย้งระหว่างนายจตุพรกับ พล.อ.พัลลภเริ่มคลี่คลายลง เมื่อ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย เข้ามาเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ย ซึ่งในเวลาต่อมา เสธ.แดง ได้ออกมาบอกว่า แกนนำคนเสื้อแดงเห็นชอบให้ พล.อ.พัลลภ และตน ดูแลรักษาความปลอดภัยให้คนเสื้อแดงเหมือนเดิม และ พล.อ.พัลลภก็รับปากแล้วว่าจะกลับมาให้ความร่วมมือ
ทั้งนี้ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มเสื้อแดงได้ดาวกระจายไปชุมนุมตามสถานที่สำคัญๆ หลายแห่ง เช่น เมื่อวันที่ 8 ก.พ.ชุมนุมที่หน้าสำนักงานอัยการสูงสุด วันที่ 10 ก.พ.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 12 ก.พ. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) และวันที่ 15 ก.พ.นี้ จะไปชุมนุมที่หน้าสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.บอกว่า คาดว่า ภายในวันที่ 20 ก.พ.จะแถลงข่าวนัดชุมนุมใหญ่อย่างเป็นทางการได้ โดยจะเป็นการชุมนุมแบบม้วนเดียวจบ และเผด็จศึกรัฐบาลให้ได้ในเวลาอันสั้น และหวังให้ทุกอย่างจบภายในต้นเดือน มี.ค.
ด้าน พล.ต.ดิฏฐพร ศศะสมิต โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.) บอกว่า ม็อบเสื้อแดงมีโอกาสเกิดความรุนแรงได้ เพราะแกนนำประกาศให้ผู้ที่จะมาชุมนุมเตรียมขวดเปล่ามาคนละ 1 ใบ และมีการเติมน้ำมันใส่ขวด ถือเป็นเจตนาอาจสร้างความรุนแรง ดังนั้นเจ้าหน้าที่ต้องเพิ่มความระวังมากขึ้น
ด้าน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า ที่ประชุม ส.ส.พรรคมีการประเมินว่า ก่อนศาลตัดสินคดียึดทรัพย์ คนเสื้อแดงจะเคลื่อนไหวอย่างเข้มข้น โดยวางขุมกำลังพร้อมกันทั่วประเทศเพื่อล้มรัฐบาล และว่า มีข่าวว่า เสธ.แดงได้ตั้งกองพลเสื้อดำที่ จ.อุบลราชธานีด้วย
ขณะที่ เสธ.แดง ซึ่งก่อนหน้านี้เคยขู่ผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ว่า อาจถูกลอบสังหารโดยกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ล่าสุด เสธ.แดงได้ออกมาขู่ ครม.นายอภิสิทธิ์ด้วยว่าตกอยู่ในอันตรายไม่แพ้ศาล โดยอ้างว่า ครม.ได้ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อให้ทหารออกมายิงกลุ่มเสื้อแดงเมื่อเดือน เม.ย. ชาวบ้านจึงโกรธแค้น จึงจะออกมาล้างตาหลังการพิจารณาคดียึดทรัพย์เสร็จสิ้น หากออกมาก่อนพิจารณาคดี เกรงว่าจะหาว่าทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ
ส่วนการรับมือการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดงนั้น หลังจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อติดตามตรวจสอบการชุมนุม โดยจับตา 38 จังหวัดที่ส่อว่าจะมีการเคลื่อนไหวรุนแรงแล้ว ในส่วนของ กทม.ก็จะมีการตั้งด่านสกัด 200 จุดตั้งแต่หลังวันที่ 15 ก.พ.เพื่อไม่ให้มีการขนอาวุธเข้ามาก่อความรุนแรง ด้านนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่โฆษกรัฐบาล เผยว่า ขณะนี้มีเงินไหลเข้ามาจากนอกประเทศอย่างผิดปกติ 2-3 เส้นทาง โดยไหลเข้าบัญชีผู้เชี่ยวชาญทางการเงินรายหนึ่ง ซึ่งมีทั้งการโอนผ่านบัญชีธนาคาร และหิ้วใส่กระเป๋าเข้ามาทางสนามบินสุวรรณภูมิ ตลอดช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลกำลังตรวจสอบว่า เงินดังกล่าวมีเท่าไรและไหลไปเข้ากระเป๋าใครบ้าง หากเข้ากระเป๋าพวกฮาร์ดคอร์ ก็เป็นสัญญาณว่าการชุมนุมอาจมีความรุนแรง
ทั้งนี้ มีรายงานว่า กระทรวงการคลัง ได้ตรวจสอบในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา พบว่า มีนักธุรกิจใหญ่ที่ใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมี “ส.”เป็นอักษรนำหน้าชื่อจริง เป็นคนทำธุรกรรมทางการเงินให้กับกลุ่มเสื้อแดง โดยเงินที่ใช้ในการเคลื่อนไหวมาจากทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังกำลังติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด
ด้านนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ อดีตเหรัญญิกพรรคพลังประชาชน และผู้บริหารห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล เวิลด์ ลาดพร้าว ซึ่งเป็นฐานบัญชาการของกลุ่ม นปช. ร้อนตัว รีบออกมาปฏิเสธว่า อักษรย่อ “ส.”ที่เป็นหัวจ่ายในการถ่ายเทท่อน้ำเลี้ยงจากต่างประเทศมายังแกนนำกลุ่มเสื้อแดงไม่ใช่ตน โดยบอก แม้ตนจะไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดง แต่ก็ไปในฐานะผู้ร่วมชุมนุม ไม่ใช่ในฐานะแกนนำ แม้ตนจะขึ้นเวทีบ้าง ก็เพียงแต่ในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ
ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ก็ออกมาปฏิเสธเช่นกันว่า กลุ่มเสื้อแดงไม่ได้รับเงินสนับสนุนจาก พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมยืนยัน เงินที่ใช้ในการเคลื่อนไหวมาจากการรับบริจาค ,การระดมทุนขายโต๊ะจีน ,การจัดคอนเสิร์ต นายจตุพร ยังท้านายปณิธานด้วยว่า ให้นำหลักฐานออกมาเปิดเผยว่ากลุ่มเสื้อแดงได้รับเงินสนับสนุนจากนอกประเทศ ถ้าทำไม่ได้ ขอให้ลาออกจากการเป็นมนุษย์
ทั้งนี้ ภาคเอกชนต่างไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง โดยนายดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการหอการค้าไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) บอกว่า ภาคเอกชนขอเรียกร้องให้กลุ่มเสื้อแดงที่จะจัดตั้งกองทัพประชาชนฯ ควรคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและสังคม รู้จักเสียสละและทำประโยชน์ต่อสังคม ควรถอยเพื่อให้ประเทศชาติดีขึ้น
3. รัฐบาล-รัฐสภา หวั่นญัตติแก้ รธน. โหมความวุ่นวายนอกสภา เลื่อนไปพิจารณาเดือนหน้า!
ความคืบหน้ากรณี 5 พรรคร่วมรัฐบาล(พรรคชาติไทยพัฒนา-พรรคภูมิใจไทย-พรรคเพื่อแผ่นดิน-พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา-พรรคกิจสังคม) ได้เข้าชื่อ ส.ส.จำนวน 102 คน หรือ 1 ใน 5 จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด เพื่อขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 โดยได้ยื่นญัตติร่างแก้ไข รธน.เพิ่มเติม ต่อนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา เพื่อขอแก้ไขมาตรา 190 และ 94 เมื่อวันที่ 3 ก.พ. ขณะที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ยื่นหนังสือต่อนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เพื่อแสดงตนเป็นผู้ริเริ่มรวบรวมรายชื่อประชาชน 2 หมื่นชื่อ เพื่อขอถอดถอน ส.ส.ทั้ง 102 คนที่ร่วมลงชื่อเสนอญัตติแก้ไข รธน. เพราะการแก้ รธน.2 มาตราดังกล่าว เป็นการแก้เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง จึงส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อ รธน.มาตรา 122 เพราะเป็นการปฏิบัติหน้าที่อันเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ด้านแกนนำ นปช.นำโดย นพ.เหวง โตจิราการ ได้ยื่นหนังสือถึงประธานรัฐสภา เพื่อให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณาร่างแก้ไข รธน.ฉบับคณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไข รธน.(คปพร.) ที่พวกตนยื่นไว้และบรรจุอยู่ในวาระการประชุมร่วมรัฐสภาตั้งแต่เดือน ต.ค.2551 ก่อนพิจารณาร่างแก้ไข รธน.ของพรรคร่วมรัฐบาล ไม่เช่นนั้นจะถือว่า 2 มาตรฐานนั้น
ปรากฏว่า นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ได้เรียกประชุมคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล) รวมทั้งวิปฝ่ายค้าน และตัวแทนคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา(วิปวุฒิสภา) เมื่อวันที่ 9 ก.พ.เพื่อหารือว่าจะนัดประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาญัตติร่างแก้ไขเพิ่มเติม รธน.2 มาตรา และกรอบการเจรจาระหว่างประเทศตามมาตรา 190 เมื่อใด โดยได้ข้อสรุปว่า นัดประชุมร่วมรัฐสภาในวันที่ 11 ก.พ. โดยเรื่องด่วนเรื่องแรกที่จะพิจารณาคือ ญัตติแก้ไขเพิ่มเติม รธน.ของ คปพร. ส่วนเรื่องด่วนเรื่องที่ 2 คือร่างแก้ไขเพิ่มเติม รธน.2 ประเด็นของพรรคร่วมรัฐบาล จากนั้นวาระถัดไปจึงเป็นกรอบการเจรจากับต่างประเทศตามมาตรา 190 จำนวน 4 เรื่อง
ด้านนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย และรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้ออกมาส่งสัญญาณว่า พร้อมรับร่างแก้ไข รธน.ฉบับ คปพร.ของกลุ่มเสื้อแดงที่เรียกร้องให้นำ รธน.2540 กลับมาใช้ โดยบอกว่า รธน.2540 มีบางประเด็นที่ตรงกับที่พรรคภูมิใจไทยอยากจะขอแก้ไข อย่างมาตรา 190 หรือมาตราที่เกี่ยวกับเขตเลือกตั้งที่เป็นเขตเล็กเบอร์เดียว ดังนั้นอะไรที่เข้า 2 ประเด็นที่ได้เสนอแก้ไข ก็พร้อมที่จะรับ แต่ต้องดูที่ประชุมด้วยว่าจะเห็นอย่างไร
เป็นที่น่าสังเกตว่า การนัดประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาญัตติแก้ไข รธน.ครั้งนี้เป็นการนัดอย่างเร่งรีบ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ในฐานะรองประธานรัฐสภา ได้ออกมาบอกแล้วว่า ช่วงนี้วุฒิสภามีเรื่องสำคัญต้องพิจารณาถอดถอนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ และนายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ หลังจากนั้นก็ต้องเป็นเจ้าภาพจัดประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภาระหว่างประเทศ ครั้งที่ 122 อีก ดังนั้น หากจะเรียกประชุมร่วมรัฐสภาให้เร็วที่สุด น่าจะประมาณต้นเดือน มี.ค. แต่ที่ประชุมระหว่างนายชัยกับวิปรัฐบาล-วิปฝ่ายค้าน-วิปวุฒิสภากลับรีบนัดประชุมร่วมรัฐสภาในวันที่ 11 ก.พ.
ด้านแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ยื่นหนังสือต่อนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา(11 ก.พ.) เพื่อขอใช้สิทธิรวบรวมรายชื่อประชาชน 2 หมื่นชื่อ เพื่อถอดถอดนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากการที่นายชัยบรรจุร่างแก้ไข รธน.ของ คปพร.เข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมร่วมรัฐสภา ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัด รธน. เพราะร่างแก้ไข รธน.ของ คปพร.ขัดต่อมาตรา 291(1) ที่บัญญัติว่า ญัตติขอแก้ไข รธน.จะต้องมาจากประชาชนจำนวนไม่น้อยกว่า 5 หมื่นชื่อ และต้องทำตามเงื่อนไขของกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ซึ่งกฎหมายตามมาตรานี้ยังไม่มี
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าที่พันธมิตรฯ จะยื่นขอถอดถอนนายชัย 1 วัน(10 ก.พ.) ปรากฏว่า ทางวิปรัฐบาลได้ประชุมและมีมติว่า การประชุมร่วมรัฐสภาในวันที่ 11 ก.พ. ควรเลื่อนกรอบการเจรจากับต่างประเทศตามมาตรา 190 จำนวน 4 เรื่องขึ้นมาพิจารณาก่อนญัตติแก้ไข รธน. โดยให้เหตุผลว่า เพราะมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องลงนามสนธิสัญญากับประเทศต่างๆ ในเดือน มี.ค.นี้ ส่วนการเลื่อนพิจารณาเรื่องแก้ รธน.ออกไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพรรคร่วมรัฐบาลเกรงว่า หากนำเรื่องแก้ รธน.ขึ้นมาพิจารณาทันทีอาจส่งผลต่อสถานการณ์ความรุนแรงภายนอกสภาได้
ซึ่งในที่สุด ที่ประชุมร่วมรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 ก.พ.ก็ได้มีมติ 278 ต่อ 212 ให้เลื่อนวาระการพิจารณาร่างแก้ไข รธน.ที่เสนอโดย คปพร.และร่างแก้ไข รธน.ที่เสนอโดย 5 พรรคร่วมรัฐบาล ออกไปพิจารณาในช่วงเดือน มี.ค.ตามที่วิปรัฐบาลเสนอ และให้เลื่อนญัตติกรอบการเจรจาระหว่างประเทศตามมาตรา 190 ขึ้นมาพิจารณาก่อน
ด้าน นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช.ได้ยื่นหนังสือถึงประธานวิปฝ่ายค้าน พร้อมแสดงความไม่พอใจที่ที่ประชุมร่วมรัฐสภาเลื่อนการพิจารณาญัตติแก้ รธน.ฉบับ คปพร.ออกไป “ขอประณามรัฐบาลที่ทำลายโอกาสในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองโดยสันติวิธี เพราะต้องเอาปัญหาทุกเรื่องมาคุยกันในสภา วันนี้ยังมาน้อย แต่เที่ยวหน้าคนที่ลงชื่อมา 2 แสนคนแล้วจะยุ่ง”
ด้านแกนนำพรรคเพื่อไทย(นายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้านจากพรรคเพื่อไทย) ได้ออกมาตั้งข้อสังเกตว่า การเลื่อนญัตติแก้ไข รธน.ออกไปก่อนครั้งนี้ เป็นเพราะพรรคร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ต่อรองผลประโยชน์กันลงตัวแล้ว แต่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลต่างออกมาปฏิเสธว่าไม่จริง โดยนายวัชระ กรรณิการ์ โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา ยืนยันว่า การเลื่อนญัตติแก้ไข รธน.ไม่เกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ต่อรองใดใดทั้งสิ้น “ขอฝากไปถึงกลุ่มหรือพรรคการเมืองที่ตั้งข้อสังเกต อย่าเอาบรรทัดฐานของตัวเองหรือพรรคการเมืองของตัวเองมาตัดสินคนอื่น การเลื่อนมีเพียงสาเหตุเดียวคือการทำความร่วมมือกับต่างประเทศสำคัญกว่า ...พรรคเห็นว่า หากพิจารณาเรื่องแก้ไข รธน.ในขณะนี้จะนำไปสู่ความขัดแย้งได้ ...การเลื่อนครั้งนี้ ไม่เกี่ยวกับแรงกดดันหรือแรงต้านจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งพรรคไม่สนใจและไม่ให้ความสำคัญกับแรงต้านภายนอกสภา”
4. “ฮุน เซน” สติแตก ด่านายกฯ ไทยชั่วช้าที่สุด ด้าน “อภิสิทธิ์” นิ่ง ไม่ตอบโต้ ให้ “กต.”จัดการ!
ความคืบหน้ากรณีสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ควงนางบุญ ราณี ภรรยา เดินทางตรวจเยี่ยมพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สวมชุดพรางทหารขึ้นไปทำพิธีบวงสรวงบนปราสาทพระวิหารเมื่อวันที่ 6 ก.พ. จากนั้นมีข่าวว่า สมเด็จฯ ฮุน เซน จะเดินทางเข้ามายังฝั่งไทย บริเวณปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ด้วย โดยอ้างว่าต้องการเข้าเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธมในวันที่ 8 ก.พ. ท่ามกลางความหวาดระแวงของฝ่ายไทยว่า สมเด็จฯ ฮุน เซนต้องการเข้ามาเพื่อวัตถุประสงค์ใดกันแน่
ปรากฏว่า กระทรวงการต่างประเทศ(กต.)ของไทย ได้ออกแถลงการณ์ผ่านเว็บไซต์ ย้ำว่า รัฐบาลไทยไม่ขัดข้องหากนายกฯ กัมพูชาจะเดินทางเข้ามาในพื้นที่ของไทย แต่ต้องแจ้งให้ทราบและขออนุญาตก่อน โดยรัฐบาลไทยจะมีผู้แทนไปต้อนรับในระดับที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงกำหนด สมเด็จฯ ฮุน เซน ไม่ได้เดินทางเข้ามายังปราสาทตาเมือนธม เพราะเจ้าหน้าที่ไทยแจ้งว่า ให้เข้าได้ แต่ต้องปลดอาวุธก่อน และอาจไม่สะดวก เพราะมีกลุ่มประชาชนผู้รักชาติ(นำโดยนายวีระ สมความคิด) ชุมนุมประท้วงนายกฯ กัมพูชาใกล้กับปราสาทตาเมือนธม ส่งผลให้สมเด็จฯ ฮุน เซน ไม่กล้าเข้ามา โดยได้เดินทางกลับกัมพูชาหลังไปเป็นประธานเปิดหมู่บ้านและอาคารของกองพันทหารที่ 422 บ้านโอรมจอง จ.อุดรมีชัย ซึ่งอยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธมของไทยประมาณ 6 กิโลเมตร
หลังสมเด็จฯ ฮุน เซน เดินทางกลับกัมพูชา ปรากฏว่า เว็บไซต์ “เดิมอ็อมปึล ออนไลน์” ของกัมพูชา ได้เผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ของสมเด็จฯ ฮุน เซน ที่กล่าวระหว่างเปิดที่ทำการทหารแห่งหนึ่ง โดยสมเด็จฯ ฮุน เซน ได้แสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดด่าทอนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ของไทย และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงและหยาบคาย โดยกล่าวหานายอภิสิทธิ์ว่า “ในบรรดานายกรัฐมนตรีทั้งหมด ไม่มีใครชั่วช้าเท่า” และว่า “ไอ้คนนี้บ้าๆ บอๆ ชอบถูกด่า ไอ้นี่มันไม่มีสกุลรุนชาติ ผมว่าให้ขนาดนี้ เจ็บหรือไม่เจ็บ ถ้าโต้กลับมา ผมก็จะอัดกลับไปอีก”
ทั้งนี้ สมเด็จฯ ฮุน เซน พยายามตอกย้ำว่า ไทยรุกรานกัมพูชาและบิดเบือนประวัติศาสตร์ ด้วยการเปลี่ยนชื่อปราสาทเปรียะวิเฮียร์ เป็นปราสาทพระวิหาร นอกจากนี้ ยังแช่งชักหักกระดูกนายสุเทพและนายอภิสิทธิ์ด้วย หากยืนยันว่าไทยไม่ได้รุกรานวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ(พื้นที่พิพาทที่ทั้ง 2 ฝ่ายต่างอ้างสิทธิ) โดยสมเด็จฯ ฮุน เซน บอกว่า “ถ้ากองทัพไทยไม่เข้ารุกรานวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ขอให้ผมฉิบหายวายวอด ขอให้รู้จักฮุน เซน หน่อย สุเทพ ...ถ้าไทยรุกรานจริง ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หักคอคุณ ถูกยิง รถชน ไฟช็อต ปืนลั่นใส่”
นอกจากนี้ สมเด็จฯ ฮุน เซน ยังพูดเยาะเย้ยถากถางนายอภิสิทธิ์ที่ถูกมือมืดปาอุจจาระใส่บ้านพักด้วย “ขี้ในประเทศไทยมีค่า มีราคาแพงมาก เพราะประชาชนไทยเอาไปใช้แสดงความยินดีต่อนายกรัฐมนตรีขนาดนั้นแล้ว ยังไม่ยอมลงจากตำแหน่งอีก”
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พูดถึงกรณีที่ถูกสมเด็จฯ ฮุน เซนวิพากษ์วิจารณ์ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงและหยาบคายว่า จะไม่ไปตอบโต้สมเด็จฯ ฮุน เซน แต่ในส่วนใดก็ตามที่ละเมิดประเทศไทย ละเมิดระบบหรือสถาบันของประเทศไทย กระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการตามรูปแบบที่เหมาะสม
ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ก็ออกมาส่งสัญญาณว่าไทยรับไม่ได้กับคำพูดของสมเด็จฯ ฮุน เซน “ถ้อยคำที่รุนแรงหยาบคายที่ได้รับรายงาน เป็นคำที่ไม่น่าจะออกจากปากนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนก็ตาม ซึ่งเรารับไม่ได้ หากจะให้กลับไปร่วมมือฟื้นความสัมพันธ์โดยที่ไม่ให้เกียรติกัน คงเป็นไปไม่ได้...”
1. “มือมืด” ซุกระเบิดซีโฟร์ “ศาลฎีกา” โชคดีเก็บกู้ทัน ด้าน “โอ๊ค-เอม”ร้องศาลปิดปาก “คตส.” แต่ศาลยกคำร้อง!
จากกรณีที่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ได้ออกมาขู่องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่จะพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ 26 ก.พ.ว่าอาจถูกลอบสังหารโดยกลุ่มโรนิน หรือกองกำลังไม่ทราบฝ่ายนั้น ปรากฎว่า เริ่มมีปฏิบัติการข่มขู่คุกคามที่ศาลฎีกาฯ แล้วในวันนี้(14 ก.พ.) โดยคนร้ายได้นำระเบิดใส่ไว้ในกล่องน้ำผลไม้บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกวางไว้ริมรั้วศาลฎีกา ฝั่งตรงข้ามคลองหลอด เมื่อ รปภ.ประจำศาลฯ พบ ได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ หลังจากตำรวจ สน.ชนะสงครามพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่เก็บกู้ระเบิดใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูงฉีดใส่วัตถุต้องสงสัย ได้เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว จากการตรวจสอบพบว่าเป็นระเบิดซีโฟร์ ขนาดประมาณ 3 ปอนด์ อยู่ในสภาพพร้อมทำงาน คาดว่าน่าจะจุดระเบิดด้วยโทรศัพท์มือถือหรือรีโมทที่อยู่ใกล้กับศาลฎีกา
ด้านนายพรศักดิ์ ศรีละมุล แกนนำกลุ่มกรุงเทพ 50 ซึ่งได้ยกกลุ่มเข้าสังกัดพรรคเพื่อไทยแล้ว ได้ออกมาพูดสอดคล้องกับคำขู่ของเสธ.แดงก่อนหน้านี้ว่า เชื่อว่าในการตัดสินยึดทรัพย์ อาจเกิดเหตุการณ์องค์คณะผู้พิพากษาไม่ครบ ส่งผลให้ยื้อเวลาการตัดสินคดีออกไปเรื่อยๆ
สำหรับความคืบหน้ากรณีที่องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาฯ ให้คู่ความแถลงปิดคดีภายใน 30 วันนั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 9 ก.พ. พนักงานอัยการได้ยื่นคำแถลงปิดคดีรวม 121 หน้า โดยมีเนื้อหาสรุปว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ปกปิดการถือหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือชินคอร์ป จำนวนกว่า 1,400 ล้านหุ้น เป็นเงินกว่า 7.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ได้จากการใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่เอื้อประโยชน์ ซึ่งเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม จึงเป็นการร่ำรวยผิดปกติ คิดเป็นจำนวนกว่าร้อยละ 48 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่จำหน่ายได้ อัยการ ชี้ด้วยว่า พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน คู่สมรส ได้ปกปิดและอำพรางหุ้นไว้ในชื่อบุตรและเครือญาติ คือ นายพานทองแท้ ,น.ส.พิณทองทา บุตรชาย-บุตรสาว ,น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรมคุณหญิงพจมาน ซึ่งการอ้างว่าได้โอนหุ้นให้บุคคลดังกล่าวแล้วนั้น เชื่อว่าไม่มีการซื้อขายโอนหุ้นกันจริง แต่เป็นการทำให้บุคคลอื่นเชื่อว่ามีการซื้อขายกันจริงเท่านั้น โดยตั๋วสัญญาใช้เงินที่ผู้ถูกกล่าวหานำมาอ้าง เชื่อว่าเป็นการทำขึ้นในภายหลัง
อัยการ ยังระบุในคำแถลงปิดคดีเพื่อให้เห็นกลอุบายการปกปิดการถือหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานด้วยว่า “จากพยานหลักฐานยังฟังได้ว่า บริษัท วินมาร์ค และบริษัท แอมเพิลริช เป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยให้บุตรและเครือญาติถือหุ้นแทน โดยการซื้อขายกันนั้นเป็นราคาต้นทุนที่ซื้อขายต่ำกว่าราคาตลาดเป็นอันมาก และการซื้อขายจะไม่มีการชำระเงินจากผู้ซื้ออย่างแท้จริง แต่จะใช้วิธียืมเงินผู้ขายหรือออกตั๋วสัญญาใช้เงิน โดยเงินปันผลทั้งหมดต้องส่งคืนให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานทั้งหมด” อัยการ ระบุต่อไปว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ใช้ตำแหน่งนายกฯ เอื้อประโยชน์แก่บริษัทชินคอร์ปและบริษัทในเครือ 5 กรณี คือ 1.การแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต 2.แก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรเติมเงิน 3.การแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วมหรือโรมมิ่ง และให้หักค่าใช้จ่ายจากรายรับ และการปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วม ซึ่งเป็นการเอื้อประโยชน์แก่บริษัทชินคอร์ป 4.ละเว้น อนุมัติ ส่งเสริมสนับสนุนธุรกิจดาวเทียมสื่อสารในประเทศโดยมิชอบหลายกรณี เพื่อประโยชน์แก่บริษัทชินคอร์ป 5.ให้เอ็กซิม แบงก์อนุมัติเงินกู้ให้รัฐบาลพม่า 4,000 ล้านบาท เพื่อนำไปซื้อสินค้าและบริการของบริษัท ชินแซทเทลไลท์ ในเครือชินคอร์ป
คำแถลงของอัยการ ยังระบุด้วยว่า การกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณสร้างความเสียหายแก่รัฐมาก มีทั้งที่คิดและไม่อาจคิดเป็นตัวเงินได้ จำนวนไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท เช่น การแก้ไขสัญญาลดส่วนแบ่งรายได้จากโทรศัพท์เติมเงิน ทำให้ ทศท.ขาดประโยชน์ประมาณ 8 หมื่นล้านบาท ,การให้เอกชนนำภาระภาษีสรรพสามิตมาหักจากค่าสัมปทาน ทำให้ กสท.และ ทศท.เสียหายรวม 3 หมื่นล้านบาท
ด้านนายสมพร พงษ์สุวรรณ ทนายความคุณหญิงพจมาน ในฐานะผู้คัดค้านที่ 1 ในคดียึดทรัพย์ ได้ยื่นคำแถลงปิดคดี(9 ก.พ.) โดยบอกว่า เงิน 7.6 หมื่นล้านนั้น มีทรัพย์สินของคุณหญิงพจมานที่ได้มาก่อน พ.ต.ท.ทักษิณจะเป็นนายกฯ กว่า 1 พันล้านบาท พร้อมย้ำ การซื้อขายหุ้นชินคอร์ปถูกต้องตามกฎหมาย
ส่วนนายกิตติพร อรุณรัตน์ ทนายความของนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร ในฐานะผู้คัดค้านที่ 2-3 ได้ยื่นคำแถลงปิดคดีจำนวน 130 หน้าเมื่อวันที่ 10 ก.พ. โดยบอกว่า ในจำนวน 7.6 หมื่นล้านนั้น เป็นทรัพย์สมบัติของนายพานทองแท้ 17,150 ล้านบาท และของ น.ส.พิณทองทา 23,529 ล้านบาท รวมแล้วกว่า 4 หมื่นล้านบาท พร้อมยืนยันว่า ทรัพย์สินดังกล่าวได้รับมอบจาก พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะดำรงตำแหน่งนายกฯ
ด้านนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ (11 ก.พ.) ขอให้มีคำสั่งห้ามอดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ให้ข้อมูลหรือให้สัมภาษณ์สื่อเกี่ยวกับคดียึดทรัพย์ โดยอ้างว่า จะทำให้สาธารณชนเข้าใจผิด และหลงเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณกระทำผิดจริงและต้องถูกยึดเงินทั้งหมด ซึ่งถือเป็นการก้าวก่ายการพิจารณาของศาล ด้านศาลฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า คำร้องของนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทาไม่ต้องด้วยบทบัญญัติของประมวลวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 30 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 18 วรรค 2 ที่ศาลจะออกข้อกำหนดใดใด เพื่อห้ามบุคคลตามคำร้องให้ข้อมูลข่าวสารหรือแสดงความคิดเห็นทางข้อกฎหมายตามคำขอในคำร้อง จึงให้ยกคำร้อง
2. “กอ.รมน.”ชี้ ม็อบเสื้อแดงส่อรุนแรง –ให้ผู้ชุมนุมทำระเบิดขวด ด้านเอกชน วอนสื้อแดงถอย เพื่อให้ ปท.ดีขึ้น!
ความเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ที่ยังไม่ทันได้นัดชุมนุมใหญ่ก่อนศาลฎีกาฯ จะพิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในวันที่ 26 ก.พ.นี้ ก็เกิดอาการแตกคอกันในหมู่แกนนำเสียแล้ว หลัง พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย และ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ออกมาประกาศหลังเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณที่เมืองดูไบว่า จะตั้งกองทัพประชาชนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว(กปช.) ขึ้นมา เพื่อต่อสู้ นำความสงบสุขและประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับคืนมา ส่งผลให้นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. และ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ไม่พอใจ เหมือนกลัว พล.อ.พัลลภ และ เสธ.แดงจะมาแย่งชิงการนำมวลชน จึงประกาศไม่เอาด้วย พร้อมโจมตี พล.อ.พัลลภและ เสธ.แดงว่า บุคคลทั้งสองไม่ใช่แกนนำ นปช. ไม่สามารถสั่งการคนเสื้อแดงให้เคลื่อนไหวใดใดได้ ขณะที่ พล.อ.พัลลภ ออกอาการน้อยใจ ประกาศเลิกสนใจ นปช.อีกต่อไป ด้าน เสธ.แดง บอกว่า พล.อ.พัลลภบอกว่าจะหยุดเคลื่อนไหวบนดินกับ นปช. แต่จะเคลื่อนไหวใต้ดินต่อไป พร้อมแนะให้นายจตุพร ไปขอโทษ พล.อ.พัลลภ เพราะ พล.อ.พัลลภเป็นผู้ใหญ่นั้น
ปรากฏว่า ตอนแรกนายจตุพรก็ออกอาการว่าจะไปขอโทษ พล.อ.พัลลภ แต่ตอนหลังเกิดเปลี่ยนใจ ออกมาพูดใหม่ว่าจะไม่ไปขอโทษแล้ว เพราะแม้ พล.อ.พัลลภจะเป็นผู้ใหญ่ แต่เมื่อทำตัวไม่สมอายุ ก็ไม่จำเป็นต้องพูดคุยอะไรกันอีก นายจตุพร ยังโจมตี พล.อ.พัลลภและ เสธ.แดงอย่างรุนแรงว่า เป็นพวกของปลอม ไม่ใช่ของจริง “...วันนี้ถึงวันที่คนเสื้อแดงจะต้องมานั่งคุยกันว่าอะไรของจริง อะไรของปลอม เพราะวันนี้พวกเราเหมือนคนที่ลอยอยู่กลางน้ำ เห็นเงาตะคุ่มๆ มา ตอนแรกก็นึกว่าขอนไม้ บางคนคิดจะกระโดดลงมาจากแพไปเกาะ แต่พอเกาะไปแล้ว มันไม่ใช่ขอนไม้ เป็นแค่หมาเน่าตัวหนึ่งเท่านั้น...”
ด้าน เสธ.แดง นอกจากไม่โกรธที่ถูกนายจตุพรด่าแล้ว ยังตื๊อจะเป็นการ์ดรักษาความปลอดภัยให้คนเสื้อแดงต่อไปด้วย โดยพูดถึงนายจตุพรว่า “มึงไม่เอากู แต่กูเอามึง เพราะเรามีหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้คนเสื้อแดง วันนี้ นปช.กลัว เสธ.แดงจะแย่งชิงการเป็นแกนนำ ทั้งที่เราไม่มีเจตนาจะยุ่งกับ นปช. การที่ทุกคนออกมาเพราะต้องการนำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมา อย่าไปสำคัญตัวผิดว่ากูคือ นปช.สีแดง ถ้าไม่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่มี นปช. เราต้องทำงานร่วมกัน...”
ขณะที่ พล.อ.พัลลภ ได้ออกมาปฏิเสธกรณีที่ถูกนายจตุพรระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณเริ่มไม่ไว้ใจ พล.อ.พัลลภ กลัวจะเข้ามาเป็นไส้ศึกหรือไม่ โดยยืนยันว่า ไม่เคยเป็นไส้ศึกให้ฝ่ายใด และว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตนก็ไม่เคยเข้าไปยุ่ง
เป็นที่น่าสังเกตว่า ความขัดแย้งระหว่างนายจตุพรกับ พล.อ.พัลลภเริ่มคลี่คลายลง เมื่อ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย เข้ามาเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ย ซึ่งในเวลาต่อมา เสธ.แดง ได้ออกมาบอกว่า แกนนำคนเสื้อแดงเห็นชอบให้ พล.อ.พัลลภ และตน ดูแลรักษาความปลอดภัยให้คนเสื้อแดงเหมือนเดิม และ พล.อ.พัลลภก็รับปากแล้วว่าจะกลับมาให้ความร่วมมือ
ทั้งนี้ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มเสื้อแดงได้ดาวกระจายไปชุมนุมตามสถานที่สำคัญๆ หลายแห่ง เช่น เมื่อวันที่ 8 ก.พ.ชุมนุมที่หน้าสำนักงานอัยการสูงสุด วันที่ 10 ก.พ.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 12 ก.พ. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) และวันที่ 15 ก.พ.นี้ จะไปชุมนุมที่หน้าสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.บอกว่า คาดว่า ภายในวันที่ 20 ก.พ.จะแถลงข่าวนัดชุมนุมใหญ่อย่างเป็นทางการได้ โดยจะเป็นการชุมนุมแบบม้วนเดียวจบ และเผด็จศึกรัฐบาลให้ได้ในเวลาอันสั้น และหวังให้ทุกอย่างจบภายในต้นเดือน มี.ค.
ด้าน พล.ต.ดิฏฐพร ศศะสมิต โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.) บอกว่า ม็อบเสื้อแดงมีโอกาสเกิดความรุนแรงได้ เพราะแกนนำประกาศให้ผู้ที่จะมาชุมนุมเตรียมขวดเปล่ามาคนละ 1 ใบ และมีการเติมน้ำมันใส่ขวด ถือเป็นเจตนาอาจสร้างความรุนแรง ดังนั้นเจ้าหน้าที่ต้องเพิ่มความระวังมากขึ้น
ด้าน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า ที่ประชุม ส.ส.พรรคมีการประเมินว่า ก่อนศาลตัดสินคดียึดทรัพย์ คนเสื้อแดงจะเคลื่อนไหวอย่างเข้มข้น โดยวางขุมกำลังพร้อมกันทั่วประเทศเพื่อล้มรัฐบาล และว่า มีข่าวว่า เสธ.แดงได้ตั้งกองพลเสื้อดำที่ จ.อุบลราชธานีด้วย
ขณะที่ เสธ.แดง ซึ่งก่อนหน้านี้เคยขู่ผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ว่า อาจถูกลอบสังหารโดยกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ล่าสุด เสธ.แดงได้ออกมาขู่ ครม.นายอภิสิทธิ์ด้วยว่าตกอยู่ในอันตรายไม่แพ้ศาล โดยอ้างว่า ครม.ได้ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อให้ทหารออกมายิงกลุ่มเสื้อแดงเมื่อเดือน เม.ย. ชาวบ้านจึงโกรธแค้น จึงจะออกมาล้างตาหลังการพิจารณาคดียึดทรัพย์เสร็จสิ้น หากออกมาก่อนพิจารณาคดี เกรงว่าจะหาว่าทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ
ส่วนการรับมือการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดงนั้น หลังจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อติดตามตรวจสอบการชุมนุม โดยจับตา 38 จังหวัดที่ส่อว่าจะมีการเคลื่อนไหวรุนแรงแล้ว ในส่วนของ กทม.ก็จะมีการตั้งด่านสกัด 200 จุดตั้งแต่หลังวันที่ 15 ก.พ.เพื่อไม่ให้มีการขนอาวุธเข้ามาก่อความรุนแรง ด้านนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่โฆษกรัฐบาล เผยว่า ขณะนี้มีเงินไหลเข้ามาจากนอกประเทศอย่างผิดปกติ 2-3 เส้นทาง โดยไหลเข้าบัญชีผู้เชี่ยวชาญทางการเงินรายหนึ่ง ซึ่งมีทั้งการโอนผ่านบัญชีธนาคาร และหิ้วใส่กระเป๋าเข้ามาทางสนามบินสุวรรณภูมิ ตลอดช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลกำลังตรวจสอบว่า เงินดังกล่าวมีเท่าไรและไหลไปเข้ากระเป๋าใครบ้าง หากเข้ากระเป๋าพวกฮาร์ดคอร์ ก็เป็นสัญญาณว่าการชุมนุมอาจมีความรุนแรง
ทั้งนี้ มีรายงานว่า กระทรวงการคลัง ได้ตรวจสอบในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา พบว่า มีนักธุรกิจใหญ่ที่ใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมี “ส.”เป็นอักษรนำหน้าชื่อจริง เป็นคนทำธุรกรรมทางการเงินให้กับกลุ่มเสื้อแดง โดยเงินที่ใช้ในการเคลื่อนไหวมาจากทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังกำลังติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด
ด้านนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ อดีตเหรัญญิกพรรคพลังประชาชน และผู้บริหารห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล เวิลด์ ลาดพร้าว ซึ่งเป็นฐานบัญชาการของกลุ่ม นปช. ร้อนตัว รีบออกมาปฏิเสธว่า อักษรย่อ “ส.”ที่เป็นหัวจ่ายในการถ่ายเทท่อน้ำเลี้ยงจากต่างประเทศมายังแกนนำกลุ่มเสื้อแดงไม่ใช่ตน โดยบอก แม้ตนจะไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดง แต่ก็ไปในฐานะผู้ร่วมชุมนุม ไม่ใช่ในฐานะแกนนำ แม้ตนจะขึ้นเวทีบ้าง ก็เพียงแต่ในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ
ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ก็ออกมาปฏิเสธเช่นกันว่า กลุ่มเสื้อแดงไม่ได้รับเงินสนับสนุนจาก พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมยืนยัน เงินที่ใช้ในการเคลื่อนไหวมาจากการรับบริจาค ,การระดมทุนขายโต๊ะจีน ,การจัดคอนเสิร์ต นายจตุพร ยังท้านายปณิธานด้วยว่า ให้นำหลักฐานออกมาเปิดเผยว่ากลุ่มเสื้อแดงได้รับเงินสนับสนุนจากนอกประเทศ ถ้าทำไม่ได้ ขอให้ลาออกจากการเป็นมนุษย์
ทั้งนี้ ภาคเอกชนต่างไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง โดยนายดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการหอการค้าไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) บอกว่า ภาคเอกชนขอเรียกร้องให้กลุ่มเสื้อแดงที่จะจัดตั้งกองทัพประชาชนฯ ควรคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและสังคม รู้จักเสียสละและทำประโยชน์ต่อสังคม ควรถอยเพื่อให้ประเทศชาติดีขึ้น
3. รัฐบาล-รัฐสภา หวั่นญัตติแก้ รธน. โหมความวุ่นวายนอกสภา เลื่อนไปพิจารณาเดือนหน้า!
ความคืบหน้ากรณี 5 พรรคร่วมรัฐบาล(พรรคชาติไทยพัฒนา-พรรคภูมิใจไทย-พรรคเพื่อแผ่นดิน-พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา-พรรคกิจสังคม) ได้เข้าชื่อ ส.ส.จำนวน 102 คน หรือ 1 ใน 5 จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด เพื่อขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 โดยได้ยื่นญัตติร่างแก้ไข รธน.เพิ่มเติม ต่อนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา เพื่อขอแก้ไขมาตรา 190 และ 94 เมื่อวันที่ 3 ก.พ. ขณะที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ยื่นหนังสือต่อนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เพื่อแสดงตนเป็นผู้ริเริ่มรวบรวมรายชื่อประชาชน 2 หมื่นชื่อ เพื่อขอถอดถอน ส.ส.ทั้ง 102 คนที่ร่วมลงชื่อเสนอญัตติแก้ไข รธน. เพราะการแก้ รธน.2 มาตราดังกล่าว เป็นการแก้เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง จึงส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อ รธน.มาตรา 122 เพราะเป็นการปฏิบัติหน้าที่อันเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ด้านแกนนำ นปช.นำโดย นพ.เหวง โตจิราการ ได้ยื่นหนังสือถึงประธานรัฐสภา เพื่อให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณาร่างแก้ไข รธน.ฉบับคณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไข รธน.(คปพร.) ที่พวกตนยื่นไว้และบรรจุอยู่ในวาระการประชุมร่วมรัฐสภาตั้งแต่เดือน ต.ค.2551 ก่อนพิจารณาร่างแก้ไข รธน.ของพรรคร่วมรัฐบาล ไม่เช่นนั้นจะถือว่า 2 มาตรฐานนั้น
ปรากฏว่า นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ได้เรียกประชุมคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล) รวมทั้งวิปฝ่ายค้าน และตัวแทนคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา(วิปวุฒิสภา) เมื่อวันที่ 9 ก.พ.เพื่อหารือว่าจะนัดประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาญัตติร่างแก้ไขเพิ่มเติม รธน.2 มาตรา และกรอบการเจรจาระหว่างประเทศตามมาตรา 190 เมื่อใด โดยได้ข้อสรุปว่า นัดประชุมร่วมรัฐสภาในวันที่ 11 ก.พ. โดยเรื่องด่วนเรื่องแรกที่จะพิจารณาคือ ญัตติแก้ไขเพิ่มเติม รธน.ของ คปพร. ส่วนเรื่องด่วนเรื่องที่ 2 คือร่างแก้ไขเพิ่มเติม รธน.2 ประเด็นของพรรคร่วมรัฐบาล จากนั้นวาระถัดไปจึงเป็นกรอบการเจรจากับต่างประเทศตามมาตรา 190 จำนวน 4 เรื่อง
ด้านนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย และรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้ออกมาส่งสัญญาณว่า พร้อมรับร่างแก้ไข รธน.ฉบับ คปพร.ของกลุ่มเสื้อแดงที่เรียกร้องให้นำ รธน.2540 กลับมาใช้ โดยบอกว่า รธน.2540 มีบางประเด็นที่ตรงกับที่พรรคภูมิใจไทยอยากจะขอแก้ไข อย่างมาตรา 190 หรือมาตราที่เกี่ยวกับเขตเลือกตั้งที่เป็นเขตเล็กเบอร์เดียว ดังนั้นอะไรที่เข้า 2 ประเด็นที่ได้เสนอแก้ไข ก็พร้อมที่จะรับ แต่ต้องดูที่ประชุมด้วยว่าจะเห็นอย่างไร
เป็นที่น่าสังเกตว่า การนัดประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาญัตติแก้ไข รธน.ครั้งนี้เป็นการนัดอย่างเร่งรีบ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ในฐานะรองประธานรัฐสภา ได้ออกมาบอกแล้วว่า ช่วงนี้วุฒิสภามีเรื่องสำคัญต้องพิจารณาถอดถอนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ และนายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ หลังจากนั้นก็ต้องเป็นเจ้าภาพจัดประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภาระหว่างประเทศ ครั้งที่ 122 อีก ดังนั้น หากจะเรียกประชุมร่วมรัฐสภาให้เร็วที่สุด น่าจะประมาณต้นเดือน มี.ค. แต่ที่ประชุมระหว่างนายชัยกับวิปรัฐบาล-วิปฝ่ายค้าน-วิปวุฒิสภากลับรีบนัดประชุมร่วมรัฐสภาในวันที่ 11 ก.พ.
ด้านแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ยื่นหนังสือต่อนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา(11 ก.พ.) เพื่อขอใช้สิทธิรวบรวมรายชื่อประชาชน 2 หมื่นชื่อ เพื่อถอดถอดนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากการที่นายชัยบรรจุร่างแก้ไข รธน.ของ คปพร.เข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมร่วมรัฐสภา ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัด รธน. เพราะร่างแก้ไข รธน.ของ คปพร.ขัดต่อมาตรา 291(1) ที่บัญญัติว่า ญัตติขอแก้ไข รธน.จะต้องมาจากประชาชนจำนวนไม่น้อยกว่า 5 หมื่นชื่อ และต้องทำตามเงื่อนไขของกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ซึ่งกฎหมายตามมาตรานี้ยังไม่มี
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าที่พันธมิตรฯ จะยื่นขอถอดถอนนายชัย 1 วัน(10 ก.พ.) ปรากฏว่า ทางวิปรัฐบาลได้ประชุมและมีมติว่า การประชุมร่วมรัฐสภาในวันที่ 11 ก.พ. ควรเลื่อนกรอบการเจรจากับต่างประเทศตามมาตรา 190 จำนวน 4 เรื่องขึ้นมาพิจารณาก่อนญัตติแก้ไข รธน. โดยให้เหตุผลว่า เพราะมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องลงนามสนธิสัญญากับประเทศต่างๆ ในเดือน มี.ค.นี้ ส่วนการเลื่อนพิจารณาเรื่องแก้ รธน.ออกไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพรรคร่วมรัฐบาลเกรงว่า หากนำเรื่องแก้ รธน.ขึ้นมาพิจารณาทันทีอาจส่งผลต่อสถานการณ์ความรุนแรงภายนอกสภาได้
ซึ่งในที่สุด ที่ประชุมร่วมรัฐสภาเมื่อวันที่ 11 ก.พ.ก็ได้มีมติ 278 ต่อ 212 ให้เลื่อนวาระการพิจารณาร่างแก้ไข รธน.ที่เสนอโดย คปพร.และร่างแก้ไข รธน.ที่เสนอโดย 5 พรรคร่วมรัฐบาล ออกไปพิจารณาในช่วงเดือน มี.ค.ตามที่วิปรัฐบาลเสนอ และให้เลื่อนญัตติกรอบการเจรจาระหว่างประเทศตามมาตรา 190 ขึ้นมาพิจารณาก่อน
ด้าน นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช.ได้ยื่นหนังสือถึงประธานวิปฝ่ายค้าน พร้อมแสดงความไม่พอใจที่ที่ประชุมร่วมรัฐสภาเลื่อนการพิจารณาญัตติแก้ รธน.ฉบับ คปพร.ออกไป “ขอประณามรัฐบาลที่ทำลายโอกาสในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองโดยสันติวิธี เพราะต้องเอาปัญหาทุกเรื่องมาคุยกันในสภา วันนี้ยังมาน้อย แต่เที่ยวหน้าคนที่ลงชื่อมา 2 แสนคนแล้วจะยุ่ง”
ด้านแกนนำพรรคเพื่อไทย(นายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้านจากพรรคเพื่อไทย) ได้ออกมาตั้งข้อสังเกตว่า การเลื่อนญัตติแก้ไข รธน.ออกไปก่อนครั้งนี้ เป็นเพราะพรรคร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ต่อรองผลประโยชน์กันลงตัวแล้ว แต่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลต่างออกมาปฏิเสธว่าไม่จริง โดยนายวัชระ กรรณิการ์ โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา ยืนยันว่า การเลื่อนญัตติแก้ไข รธน.ไม่เกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ต่อรองใดใดทั้งสิ้น “ขอฝากไปถึงกลุ่มหรือพรรคการเมืองที่ตั้งข้อสังเกต อย่าเอาบรรทัดฐานของตัวเองหรือพรรคการเมืองของตัวเองมาตัดสินคนอื่น การเลื่อนมีเพียงสาเหตุเดียวคือการทำความร่วมมือกับต่างประเทศสำคัญกว่า ...พรรคเห็นว่า หากพิจารณาเรื่องแก้ไข รธน.ในขณะนี้จะนำไปสู่ความขัดแย้งได้ ...การเลื่อนครั้งนี้ ไม่เกี่ยวกับแรงกดดันหรือแรงต้านจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งพรรคไม่สนใจและไม่ให้ความสำคัญกับแรงต้านภายนอกสภา”
4. “ฮุน เซน” สติแตก ด่านายกฯ ไทยชั่วช้าที่สุด ด้าน “อภิสิทธิ์” นิ่ง ไม่ตอบโต้ ให้ “กต.”จัดการ!
ความคืบหน้ากรณีสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ควงนางบุญ ราณี ภรรยา เดินทางตรวจเยี่ยมพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สวมชุดพรางทหารขึ้นไปทำพิธีบวงสรวงบนปราสาทพระวิหารเมื่อวันที่ 6 ก.พ. จากนั้นมีข่าวว่า สมเด็จฯ ฮุน เซน จะเดินทางเข้ามายังฝั่งไทย บริเวณปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ด้วย โดยอ้างว่าต้องการเข้าเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธมในวันที่ 8 ก.พ. ท่ามกลางความหวาดระแวงของฝ่ายไทยว่า สมเด็จฯ ฮุน เซนต้องการเข้ามาเพื่อวัตถุประสงค์ใดกันแน่
ปรากฏว่า กระทรวงการต่างประเทศ(กต.)ของไทย ได้ออกแถลงการณ์ผ่านเว็บไซต์ ย้ำว่า รัฐบาลไทยไม่ขัดข้องหากนายกฯ กัมพูชาจะเดินทางเข้ามาในพื้นที่ของไทย แต่ต้องแจ้งให้ทราบและขออนุญาตก่อน โดยรัฐบาลไทยจะมีผู้แทนไปต้อนรับในระดับที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงกำหนด สมเด็จฯ ฮุน เซน ไม่ได้เดินทางเข้ามายังปราสาทตาเมือนธม เพราะเจ้าหน้าที่ไทยแจ้งว่า ให้เข้าได้ แต่ต้องปลดอาวุธก่อน และอาจไม่สะดวก เพราะมีกลุ่มประชาชนผู้รักชาติ(นำโดยนายวีระ สมความคิด) ชุมนุมประท้วงนายกฯ กัมพูชาใกล้กับปราสาทตาเมือนธม ส่งผลให้สมเด็จฯ ฮุน เซน ไม่กล้าเข้ามา โดยได้เดินทางกลับกัมพูชาหลังไปเป็นประธานเปิดหมู่บ้านและอาคารของกองพันทหารที่ 422 บ้านโอรมจอง จ.อุดรมีชัย ซึ่งอยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธมของไทยประมาณ 6 กิโลเมตร
หลังสมเด็จฯ ฮุน เซน เดินทางกลับกัมพูชา ปรากฏว่า เว็บไซต์ “เดิมอ็อมปึล ออนไลน์” ของกัมพูชา ได้เผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ของสมเด็จฯ ฮุน เซน ที่กล่าวระหว่างเปิดที่ทำการทหารแห่งหนึ่ง โดยสมเด็จฯ ฮุน เซน ได้แสดงอารมณ์เกรี้ยวกราดด่าทอนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ของไทย และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงและหยาบคาย โดยกล่าวหานายอภิสิทธิ์ว่า “ในบรรดานายกรัฐมนตรีทั้งหมด ไม่มีใครชั่วช้าเท่า” และว่า “ไอ้คนนี้บ้าๆ บอๆ ชอบถูกด่า ไอ้นี่มันไม่มีสกุลรุนชาติ ผมว่าให้ขนาดนี้ เจ็บหรือไม่เจ็บ ถ้าโต้กลับมา ผมก็จะอัดกลับไปอีก”
ทั้งนี้ สมเด็จฯ ฮุน เซน พยายามตอกย้ำว่า ไทยรุกรานกัมพูชาและบิดเบือนประวัติศาสตร์ ด้วยการเปลี่ยนชื่อปราสาทเปรียะวิเฮียร์ เป็นปราสาทพระวิหาร นอกจากนี้ ยังแช่งชักหักกระดูกนายสุเทพและนายอภิสิทธิ์ด้วย หากยืนยันว่าไทยไม่ได้รุกรานวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ(พื้นที่พิพาทที่ทั้ง 2 ฝ่ายต่างอ้างสิทธิ) โดยสมเด็จฯ ฮุน เซน บอกว่า “ถ้ากองทัพไทยไม่เข้ารุกรานวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ขอให้ผมฉิบหายวายวอด ขอให้รู้จักฮุน เซน หน่อย สุเทพ ...ถ้าไทยรุกรานจริง ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หักคอคุณ ถูกยิง รถชน ไฟช็อต ปืนลั่นใส่”
นอกจากนี้ สมเด็จฯ ฮุน เซน ยังพูดเยาะเย้ยถากถางนายอภิสิทธิ์ที่ถูกมือมืดปาอุจจาระใส่บ้านพักด้วย “ขี้ในประเทศไทยมีค่า มีราคาแพงมาก เพราะประชาชนไทยเอาไปใช้แสดงความยินดีต่อนายกรัฐมนตรีขนาดนั้นแล้ว ยังไม่ยอมลงจากตำแหน่งอีก”
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พูดถึงกรณีที่ถูกสมเด็จฯ ฮุน เซนวิพากษ์วิจารณ์ด้วยถ้อยคำที่รุนแรงและหยาบคายว่า จะไม่ไปตอบโต้สมเด็จฯ ฮุน เซน แต่ในส่วนใดก็ตามที่ละเมิดประเทศไทย ละเมิดระบบหรือสถาบันของประเทศไทย กระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการตามรูปแบบที่เหมาะสม
ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ก็ออกมาส่งสัญญาณว่าไทยรับไม่ได้กับคำพูดของสมเด็จฯ ฮุน เซน “ถ้อยคำที่รุนแรงหยาบคายที่ได้รับรายงาน เป็นคำที่ไม่น่าจะออกจากปากนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนก็ตาม ซึ่งเรารับไม่ได้ หากจะให้กลับไปร่วมมือฟื้นความสัมพันธ์โดยที่ไม่ให้เกียรติกัน คงเป็นไปไม่ได้...”