xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 1-7 ก.พ.2553

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ผู้พิพากษาประจำศาล สำนักงานศาลยุติธรรม เฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ณ รพ.ศิริราช(1ก.พ.)
 คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
 

1. “ในหลวง” ทรงแนะผู้พิพากษาศาลฎีกา รักษาความยุติธรรมจนกว่าชีวิตจะหาไม่!

เมื่อวันที่ 1 ก.พ. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายสบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกา นำผู้พิพากษาประจำศาล สำนักงานศาลยุติธรรมจำนวน 168 คน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ณ ห้องประชุมชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช โอกาสนี้ ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทให้ผู้พิพากษาศาลฎีกาปฏิบัติหน้าที่ดังที่ได้ปฏิญาณ คือปฏิบัติหน้าที่ในทางที่ดีที่สุด ซึ่งหมายถึงปฏิบัติอย่างถูกต้อง เคร่งครัดและเข้มแข็งในความยุติธรรมตลอดเวลา จนกว่าชีวิตจะหาไม่ เพราะผู้พิพากษาคือผู้ที่รักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ “เมื่อคนเขาเห็นว่านี่คือผู้พิพากษาศาลฎีกาของประเทศ แม้จะไม่ได้แต่งเครื่องแบบของศาล คนก็จะจำได้ว่านี่คือผู้พิพากษาที่ประสาทความยุติธรรมแก่ประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกพวก ทุกเมื่อ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะถ้าเขาจำได้ว่านี่คือผู้พิพากษาที่ต้องรักษาความยุติธรรมของประเทศ เขาก็หวังพึ่งความยุติธรรมของท่าน ก็จะต้องเห็นความยุติธรรม ความศักดิ์สิทธิ์ของศาล เขาก็มีความหวังว่าในประเทศมีความยุติธรรม ในประเทศมีผู้ที่รักษาความยุติธรรม ฉะนั้น ท่านจะต้องรักษาความยุติธรรมนี้ทุกเมื่อ ในหน้าที่และนอกหน้าที่ จนกระทั่งชีวิตจะหาไม่...”

“ท่านต้องเป็นผู้รักษาความยุติธรรม ทำหน้าที่เป็นของดี ทุกเมื่อ ประเทศชาติก็จะมีความหวังที่จะมีความเรียบร้อย แม้แต่ตัวคนร้ายก็หวังความยุติธรรม ผู้ที่มีจิตไม่ทำอะไรที่เรียบร้อย ที่ดี เขาก็จะทำดีขึ้น ดีกว่าที่จะไม่มีเครื่องหมายของความยุติธรรม ท่านทั้งหลายมีความสำคัญมาก เพราะแต่ละคนเป็นเครื่องหมายของความยุติธรรม เป็นเครื่องหมายของความดี เป็นเครื่องหมายของความเรียบร้อยของประเทศชาติ ...ขอให้ท่านมีกำลังใจปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษาศาลฎีกาตลอดไปตลอดชีวิต แม้เมื่อไรที่ท่านจะหมดหน้าที่ก็หมายความท่านอาจจะตาย ท่านก็ยังรักษาความดีนี้เอาไว้อย่างเหนียวแน่น...”

2. “บิ๊กจิ๋ว”ปูด คดี 7.6 หมื่นล้าน ศาลจะยึดแค่บางส่วน อ้าง ต้องให้ความเป็นธรรม “ทักษิณ”!

พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย
ความคืบหน้ากรณี พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ซึ่งอยู่ระหว่างถูกสั่งพักราชการได้ออกมาพูดทำนองข่มขู่ผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่จะพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณในวันที่ 26 ก.พ.นี้ว่า อาจถูกลอบสังหารโดยพวกโรนินหรือกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ขอให้ศาลทำหน้าที่โดยอิสระอย่างเต็มที่ ไม่ต้องเกรงกลัวสิ่งใด รัฐบาลจะให้การดูแลความปลอดภัยอย่างเต็มที่นั้น

ปรากฏว่า มีความเคลื่อนไหวจากสำนักงานศาลยุติธรรม โดยนายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ได้ออกมายืนยันว่า องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาในคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณทั้ง 9 คนไม่หวั่นไหวกับคำขู่ดังกล่าว แต่ก็ไม่ได้ประมาท โดยได้ประสานหน่วยงานด้านความปลอดภัยให้มาช่วยดูแลองค์คณะทั้ง 9 คนตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว นายวิรัช ยังเชื่อด้วยว่า การข่มขู่ดังกล่าวเพื่อหวังผลทางคดี พร้อมย้ำว่า “ผู้พิพากษาไม่มีศัตรู ทำหน้าที่ตามกฎหมาย ไม่อิงข้างฝ่ายใด ไม่มีใครขอมา ขอให้เชื่อมั่นว่า เรายังเป็นที่พึ่งได้”

ด้าน พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ได้เข้ามอบตัวต่อตำรวจกองปราบปรามเมื่อวันที่ 1 ก.พ.หลังถูกแจ้งข้อหามีและครอบครองอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกให้ได้ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า เสธ.แดงเข้ามอบตัวพร้อมด้วย พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย และ พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย นอกจากนี้ยังมีแกนนำคนเสื้อแดง(นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง และนายสุพร อัตถาวงศ์)นำมวลชนคนเสื้อแดงมาให้กำลังใจจำนวนหนึ่ง โดย เสธ.แดงให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปล่อยตัวกลับโดยไม่ต้องประกันตัว และจะนัดมาพบอีกครั้งหลังรวบรวมพยานหลักฐานเสร็จสิ้นเพื่อส่งตัวดำเนินการต่อไป

ทั้งนี้ เสธ.แดง พูดถึงกรณีที่ตนได้เตือนศาล-ป.ป.ช.-คตส.ให้ระวังจะถูกลอบปองร้ายว่า ตนไม่ได้ปล่อยข่าว แต่เพราะเหตุการณ์ช่วง 2 เ ดือนที่ผ่านมา ประชาชนสีแดงเก็บกด เพราะไม่ได้รับประชาธิปไตยของอำนาจเผด็จการที่มี 2 มาตรฐาน จะมีประชาชนที่ทนอยู่กับคนทั้งแผ่นดินเป็นล้านๆ คนมาบอกว่า กูจะฆ่ามัน กูจะพลีชีพ กูยอมตาย เพราะเขาเชื่อว่าศาลตัดสินใจไม่เป็นธรรม

ขณะที่นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ออกมาปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ โดยยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงหรือข่มขู่ศาล และว่า พ.ต.ท.ทักษิณย้ำกับคนรอบข้างว่า การต่อสู้จะต้องทำอย่างสันติวิธีและอหิงสา จึงไม่ทราบว่าใครปล่อยข่าวว่าจะมีการลอบทำร้ายผู้พิพากษา

เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากกรณี เสธ.แดงออกมาเตือนเชิงข่มขู่ผู้พิพากษา-ป.ป.ช. และ คตส.ที่เกี่ยวข้องกับคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณว่าอาจถูกลอบสังหารแล้ว ยังมีการคุกคามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีด้วย แม้จะไม่ใช่คุกคามด้วยอาวุธก็ตาม โดยเมื่อบ่ายวันที่ 1 ก.พ.ได้มีคนร้ายปาถุงอุจจาระผสมปลาร้า 4 ถุงเข้าไปในรั้วบ้านของนายอภิสิทธิ์ ก่อนจะหลบหนีไป ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้วางระบบป้องกันบริเวณโดยรอบบ้านนายกฯ ให้เข้มงวดมากขึ้น

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เชื่อว่า เหตุที่ถูกคุกคามครั้งนี้ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลจากคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง พูดถึงเหตุการณ์ปาสิ่งปฏิกูลใส่บ้านนายกฯ ว่า ตนคาดการณ์อยู่แล้วว่า ช่วงใกล้ตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ คงจะมีการสร้างสถานการณ์ที่จะกดดันฝ่ายต่างๆ ผู้สื่อข่าวถามว่า ประเมินว่าเป็นการกระทำของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งหวังผลในคดียึดทรัพย์ใช่หรือไม่ นายสุเทพ บอกว่า มีความเชื่อไปในแนวทางนั้น เนื่องจากประเมินจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากหลายฝ่ายและหลายครั้ง

ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. รีบออกมาปฏิเสธ โดยบอกว่า มีความพยายามป้ายสีว่ากรณีปาสิ่งปฏิกูลใส่บ้านนายกฯ เป็นฝีมือของคนเสื้อแดง “พฤติกรรมที่เกิดขึ้นเห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือของกลุ่มที่ต้องการให้เกิดความเข้าใจว่าเป็นฝีมือของคนเสื้อแดง มีการปิดหน้าปิดตาเพราะกลัวว่าจะรู้ว่าตัวเองเป็นใคร ผมไม่ทราบว่าเป็นฝีมือของใคร แต่ต้องถามไปยังนายกฯ และคนในรัฐบาลว่า ขณะนี้มีศัตรูที่ไหนบ้าง เรื่องแก้รัฐธรรมนูญไปเบียดหัวใจของใครบ้าง”

ด้าน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาพูดเหมือนกับรู้ผลคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณล่วงหน้า โดยเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากคำพิพากษามีการยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณจริง จะมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงหรือไม่ พล.อ.ชวลิต บอกว่า คงจะมียึดบ้างหรืออายัดบ้าง แต่ก็คงจะเป็นไปด้วยเหตุด้วยผล แต่ต้องให้ความเป็นธรรมต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ อยากให้ทุกคนสบายใจว่า วันที่ 26 ก.พ.ก็คงจะไปสู่วันที่ 27 ด้วยความเรียบร้อยทุกอย่าง เมื่อถามว่า มีการข่าวพิเศษหรือถึงทราบว่าจะมีการยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณบางส่วน พล.อ.ชวลิต บอกว่า ความลับ ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า แสดงว่ามีการยึดทรัพย์พอเป็นพิธีเท่านั้น พล.อ.ชวลิต บอกว่า อย่าพูดอย่างนั้น แต่ทำอย่างตรงไปตรงมาอย่างถูกต้อง เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ มีทรัพย์สินเยอะก่อนที่จะเข้ามาเป็นนายกฯ

3. “5 พรรคร่วมฯ” เดินหน้ายื่นญัตติแก้ รธน. 2 มาตราแล้ว ด้าน “พันธมิตรฯ” ยื่นถอดถอนทันที “102 ส.ส.”!

พันธมิตรฯ ยื่นหนังสือต่อ ปธ.วุฒิสภา เพื่อแสดงความจำนงขอรวบรวมรายชื่อประชาชน 2 หมื่นชื่อ เพื่อยื่นถอดถอน 102 ส.ส.ที่ร่วมลงชื่อยื่นญัตติแก้ รธน.(5 ก.พ.)
ความคืบหน้ากรณีที่พรรคชาติไทยพัฒนา นำโดยนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย ในฐานะประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ประสบความสำเร็จในการล็อบบี้ให้พรรคร่วมรัฐบาลอีก 4 พรรค(พรรคภูมิใจไทย-พรรคเพื่อแผ่นดิน-พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา-พรรคกิจสังคม) เห็นด้วยกับการแก้ไข รธน.2550 ใน 2 มาตรา คือ มาตรา 190 เกี่ยวกับการทำสัญญากับต่างประเทศ ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน และมาตรา 94 เรื่องเขตเลือกตั้ง ที่ต้องการแก้ไขจากเขตใหญ่เรียงเบอร์เป็นเขตเดียวเบอร์เดียว โดยทั้ง 5 พรรคร่วมรัฐบาลเตรียมนำรายชื่อ ส.ส.1 ใน 5 ของสมาชิกสภาฯ ทั้งหมดยื่นต่อนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา เพื่อขอแก้ไข รธน.ในวันที่ 3 ก.พ. ขณะที่นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติไทย ในฐานะที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ได้เขียน จม.เปิดผนึกโจมตีนายกฯ และพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีมติไม่เห็นด้วยกับการแก้ รธน.2 มาตราดังกล่าว ด้านพรรคเพื่อไทยสบช่อง รีบออกมายุให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์นั้น

ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 1 ก.พ. นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ได้ออกมายืนยันว่า แกนนำพรรคประชาธิปัตย์เคยให้คำมั่นตั้งแต่ก่อนเข้าร่วมรัฐบาลว่า เห็นด้วยที่จะผลักดันให้มีการแก้ไข รธน. โดยรวมถึงมาตรา 237 เกี่ยวกับการยุบพรรคการเมืองด้วยซ้ำ ดังนั้น เมื่อพรรคประชาธิปัตย์มีมติไม่แก้ไข รธน. ก็ไม่อยากคุยกับพรรคประชาธิปัตย์อีก เพราะไม่จำเป็นและไม่ซีเรียส เนื่องจากไม่เกี่ยวกับรัฐบาล นายบรรหาร ยังย้ำด้วยว่า พรรคชาติไทยพัฒนาจะไม่เปลี่ยนขั้ว เพราะเป็นคนรักษาสัจจะ “จะช่วยให้อยู่ต่อไปอาจครบเทอมก็ได้ ผมจะช่วยให้อยู่ แต่เรื่องแก้ รธน. นายกฯ บอกว่า เป็นเรื่องของสภา พรรคชาติไทยพัฒนาไม่ทิ้งพรรคประชาธิปัตย์”

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ให้นายบรรหารช่วยประเมินวิสัยทัศน์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งนายบรรหาร ทั้งชมและติติง “...ถือว่าเป็นรุ่นหลาน เพราะพ่อนายอภิสิทธิ์เป็นเพื่อนผม นายอภิสิทธิ์ก็เป็นคนเก่ง ทำงานเร็ว วิสัยทัศน์ดี ศึกษางานเยอะ แต่บางอย่างด้อยไปหน่อย 1.ความอดทนไม่มี อยากให้ใจกว้างกว่านี้ อย่าแคบ ต้องใจกว้าง และ 2.ต้องรู้เขารู้เรา สำคัญ รู้ว่าคนนี้เป็นอย่างไรมาตัดสินวินิจฉัยเอา อย่างอื่นดีหมด แต่ต้องเพิ่มแบบนี้จะเป็นนายกฯ ได้ 8 ปี” ด้านผู้สื่อข่าวได้ไปถามนายอภิสิทธิ์ถึงกรณีที่นายบรรหารระบุว่า ถ้านายกฯ ใจกว้างจะเป็นนายกฯ ได้นาน โดยนายอภิสิทธิ์ อมยิ้มก่อนตอบว่า “ก็ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ”

ขณะที่แกนนำ 5 พรรคร่วมรัฐบาล ได้เปิดแถลงร่วมกันเมื่อวันที่ 2 ก.พ. พร้อมออกแถลงการณ์ประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะเสนอญัตติแก้ไข รธน.เพิ่มเติม มาตรา 190 และ 94 โดยอ้างว่า การแก้ไข 2 มาตราดังกล่าวสอดคล้องกับข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไข รธน.ของรัฐสภาก่อนหน้านี้

หลังเปิดแถลงข่าว 1 วัน(3 ก.พ.) แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 5 พรรค นำโดยนายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ,นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ,นายไชยยศ จิรเมธากร เลขาธิการพรรคเพื่อแผ่นดิน ,นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล หัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา และแกนนำพรรคกิจสังคม ก็ได้เข้ายื่นญัตติร่างแก้ไข รธน.แก้ไขเพิ่มเติม ต่อนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา เพื่อขอแก้มาตรา 190 และ 94 พร้อมแนบรายชื่อ ส.ส.จำนวน 102 คน ตามที่มาตรา 291 ของ รธน.กำหนดว่า การจะยื่นขอแก้ไข รธน.ต้องใช้เสียง ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 1 ใน 5 ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด หรือไม่ต่ำกว่า 95 คน

สำหรับ ส.ส.ที่ร่วมลงชื่อเพื่อยื่นญัตติขอแก้ไข รธน.ครั้งนี้ ประกอบด้วย ส.ส.ของ 7 พรรค แบ่งเป็น พรรคภูมิใจไทย 31 คน ,พรรคเพื่อแผ่นดิน 28 คน ,พรรคชาติไทยพัฒนา 25 คน ,พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา 9 คน พรรคกิจสังคม 5 คน พรรคเพื่อไทย 2 คน(ลงในนามพรรคภูมิใจไทย คือ ร.ต.ปรพล อดิเรกสาร ส.ส.สระบุรี และนายจุมพฏ บุญใหญ่ ส.ส.สกลนคร) และพรรคประชาราช 2 คน(ลงในนามพรรคภูมิใจไทย คือ นายจักรกฤษณ์ ทองศรี ส.ส.บุรีรัมย์ และนายสมชัย เจริญชัยฤทธิ์ ส.ส.นครสวรรค์)

ทั้งนี้ หลังยื่นญัตติต่อนายชัยแล้ว นายชัยได้ส่งมอบรายชื่อ ส.ส.และญัตติให้นายพิทูร พุ่มหิรัญ เลขาธิการสำนักงานสภาผู้แทนราษฎร ไปตรวจสอบรายละเอียด หลังจากนั้น แกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ได้ให้นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย อ่านเหตุผลที่ยื่นญัตติแก้ไข รธน. โดยอ้างว่า รธน.2550 ก่อให้เกิดปัญหามากมาย จึงสมควรนำมาสู่การแก้ไข 2 มาตราดังกล่าว “รธน.2550 ได้ประกาศใช้มาแล้วเป็นเวลา 2 ปีเศษ ตลอดระยะเวลาที่ใช้ รธน.นี้ ก่อให้เกิดปัญหาและอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดิน สร้างความแตกแยกในสังคม องค์กรอิสระทำงานตามอำเภอใจ มีข้อครหาว่าสองมาตรฐาน ตลอดระยะเวลา 2 ปีเศษ รธน.ฉบับนี้ถูกกล่าวหามีเจตนาพิเศษ มิได้มุ่งหวังที่จะต่อยอดการพัฒนาประชาธิปไตยให้เดินไปข้างหน้า ตรงกันข้ามกลับฉุดให้การพัฒนาประชาธิปไตยย่ำอยู่กับที่ ถอยหลังสู่วังวนการเมืองแห่งอดีต”

ด้านแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำโดยนายพิภพ ธงไชย ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เมื่อวันที่ 5 ก.พ. เพื่อแสดงตนเป็นผู้ริเริ่มรวบรวมรายชื่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อขอให้วุฒิสภาดำเนินการถอดถอน ส.ส.ทั้ง 102 คนที่ร่วมลงชื่อเสนอญัตติแก้ไข รธน.2550 ใน 2 มาตรา เนื่องจากพฤติการณ์ของ ส.ส.ดังกล่าวเข้าข่ายความผิดมาตรา 270 เพราะการแก้ รธน.2 มาตราดังกล่าว เป็นการแก้เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง จึงส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อ รธน.มาตรา 122 คือเป็นการปฏิบัติหน้าที่อันเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ด้านนายประสพสุข บอกว่า จะตรวจสอบรายชื่อผู้แสดงตนว่า ถูกต้องตามขั้นตอนหรือไม่ หากถูกต้อง ผู้ริเริ่มจะต้องรวบรวมรายชื่อประชาชนให้ครบ 2 หมื่นชื่อภายใน 180 วัน

ด้านแกนนำ นปช.นำโดย นพ.เหวง โตจิราการ และนายจรัล ดิษฐาอภิชัย เมื่อเห็นพรรคร่วมรัฐบาลยื่นญัติขอแก้ไข รธน.2 มาตราต่อประธานรัฐสภา จึงได้ยื่นหนังสือต่อประธานรัฐสภาบ้าง(5 ก.พ.) เพื่อขอให้เร่งรัดนำร่างแก้ไขเพิ่มเติม รธน.2550 ฉบับคณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไข รธน.(คปพร.) ที่พวกตนยื่นไว้และบรรจุอยู่ในวาระการประชุมร่วมรัฐสภาตั้งแต่เดือน ต.ค.2551 เข้าสู่การพิจารณาในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นอันดับแรก ก่อนญัตติแก้ไข รธน.2 มาตราของพรรคร่วมรัฐบาล เนื่องจากร่างแก้ไข รธน.ของพวกตนบรรจุอยู่ในวาระมาตั้ง 1 ปี 4 เดือนแล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่จะขัดขวางการนำร่างดังกล่าวขึ้นมาพิจารณา และว่า หากนำร่างแก้ไข รธน.ของพรรคร่วมรัฐบาลขึ้นมาพิจารณาก่อน จะถือว่าเป็นการกระทำที่ 2 มาตรฐาน

4. “เสื้อแดง” แตก! “พัลลภ-เสธ.แดง” ถอนตัว นปช. แต่ขอสู้ใต้ดินต่อ ด้าน “ทักษิณ”วางตัว “ชวลิต” นายกฯ นอมินี!

พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง เข้ามอบตัวต่อกองปราบฯ ก่อนเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เมืองดูไบ พร้อม พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย(1 ก.พ.)
ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวว่า พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย และ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ซึ่งอยู่ระหว่างถูกพักราชการ และได้ออกมาพูดข่มขู่ผู้พิพากษาศาลที่จะพิพากษาคดียึดทรัพย์ รวมทั้ง ป.ป.ช.และ คตส.ว่าอาจถูกลอบสังหารโดยกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ได้เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ ที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ซึ่งปรากฏว่า พล.อ.พัลลภ และ เสธ.แดง ได้เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณจริงเมื่อวันที่ 1 ก.พ. โดยไปพร้อมกับแกนนำคนเสื้อแดงบางส่วน เช่น นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง และนายสุพร อัตถาวงศ์ นอกจากนี้ยังมีกองเชียร์คนเสื้อแดงอีกจำนวนหนึ่ง โดยมีการคาดว่า การเดินทางไปดังกล่าวเพื่อหารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณเกี่ยวกับการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงหลังตรุษจีน(14 ก.พ.) หรือก่อนที่ศาลจะพิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทในวันที่ 26 ก.พ.

ทั้งนี้ พล.อ.พัลลภ เผยผลการหารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณว่า ขณะนี้ฝ่ายที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณและฝ่ายที่เห็นความไม่ถูกต้อง ไม่เป็นประชาธิปไตย และ 2 มาตรฐานได้มาร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว เราจึงตั้งเป็นกองทัพประชาชนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว(กปช.) โดยมีมติให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของ กปช. เพื่อนำการต่อสู้ นำความสงบสุขและประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับคืนมา โดยจะต่อสู้ในแนวทางของเรา เพราะทนไม่ไหวกับสภาพบ้านเมือง

ขณะที่ เสธ.แดง ก็ยอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณและแกนนำกลุ่มเสื้อแดง รวมทั้งพรรคเพื่อไทยได้หารือถึงแผนการต่อสู้ในเดือน ก.พ.นี้ ก่อนการตัดสินคดียึดทรัพย์ และมีมติจัดตั้งเป็น กปช. โดยประกาศพร้อมเจรจากับรัฐบาล ก่อนแตกหักในปลายเดือนนี้ เสธ.แดง ยังบอกด้วยว่า ได้หารือกันว่า แนวทางการต่อสู้ของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นอย่างไร ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรง และพร้อมที่จะเจรจากับรัฐบาล แต่ไม่ใช่ต่อรองเรื่องคดียึดทรัพย์ แต่ต้องการให้มีการยุบสภา แล้วนำ รธน.2540 กลับมาใช้ แล้วเลือกตั้งกันใหม่ “ท่านขอเวลาก่อนที่จะมีการชุมนุมใหญ่ เพื่อรอให้รัฐบาลติดต่อเจรจาเข้ามาเสียก่อน แต่เราคงมีเวลาให้แค่ราวปลายเดือน ก.พ.นี้ ถ้าช่วงนี้คุยกันได้ก็ดี แต่ถ้าเลยจากนี้เป็นขั้นการปลดปล่อยกองทัพประชาชนแล้ว นายกฯ ทักษิณจะไม่สามารถควบคุมม็อบได้แล้ว เพราะเราตกลงกันแล้วว่า ถ้าพวกเราเดินหน้า ท่านก็ไม่สามารถมาหยุดพวกเราได้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จะรุนแรงหรือไม่ หากมีการชุมนุมใหญ่แล้ว ตอนนั้น พ.ต.ท.ทักษิณจะมาสั่งหยุดอะไรไม่ได้แล้ว เราจะเดินหน้าเต็มที่”

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พูดถึงกรณีที่ พล.อ.พัลลภและ เสธ.แดง หารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณว่าจะตั้ง กปช. และจะให้ พล.อ.ชวลิตเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด(ผบ.สส.) ของ กปช.ว่า เป็นความพยายามเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดความหวาดกลัว ให้รู้สึกว่าจะมีความวุ่นวายเกิดขึ้น “อย่าตื่นตระหนก แต่อย่าประมาท ผมไม่ทราบว่า พล.อ.ชวลิตท่านรับตำแหน่งนี้หรือไม่ อย่างไร ผมขอเรียนว่า ท่านก็เป็นอดีตนายกฯ ผมคิดว่าคนอย่างท่านคงไม่อยากจะเห็นบ้านเมืองวุ่นวาย รุนแรง และอยากจะให้ท่านใช้ความเป็นผู้อาวุโสได้ทำให้สถานการณ์ต่างๆ คลี่คลายไปในทางที่ดี”

ด้าน นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงผลการประชุมคณะกรรมการประสานข้อมูลพรรคประชาธิปัตย์(วอร์รูม)เมื่อวันที่ 4 ก.พ.ว่า ที่ประชุมเห็นว่าการจัดตั้ง กปช.ของคนเสื้อแดงและ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการสร้างรูปการณ์เพื่อจะสร้างความรุนแรง โดยพรรคขอประณามการกระทำที่จะก่อให้เกิดการปฏิวัติประชาชน โดยใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือต่อรองคดียึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และว่า สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือ การแอบอ้างสถาบัน โดยระบุคำว่า “ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”ต่อท้ายชื่อองค์กร กปช. ซึ่งทีมวอร์รูมมองว่า เป็นการใช้ยุทธศาสตร์ต่อรองสถาบัน หวังตั้งรัฐไทยใหม่ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเกินกว่าการเปลี่ยนแปลงเมื่อปี 2475 รัฐบาลจึงต้องเร่งสร้างความเข้าใจกับประชาชน

ด้าน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีที่ พล.อ.พัลลภ และ เสธ.แดงระบุว่าที่ประชุม พ.ต.ท.ทักษิณและแกนนำคนเสื้อแดงมีมติให้ตนเป็น ผบ.สส.ของกองทัพประชาชนฯ (กปช.)ว่า คงไม่ใช่กองทัพที่จะไปสร้างความเดือดร้อนเสียหายให้กับคนอื่น และว่า การกล่าวของ พล.อ.พัลลภ คงหมายถึงจะให้มาเป็นหัวหน้าหน่วยงานหรือประชาชนที่ใฝ่สันติเพื่อผลประโยชน์ของชาติ ผู้สื่อข่าวถามว่า จะรับเป็น ผบ.สส.ของกองทัพประชาชนฯ หรือไม่ พล.อ.ชวลิต ไม่ปฏิเสธ แต่บอกว่า “อย่าไปเรียกอย่างนั้น น่าเกลียด และอาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด ทั้งๆ ที่ผู้พูดอาจจะไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น ต้องขอปฏิเสธที่จะใช้คำนี้ แต่ก็โอเคถ้าเป็นส่วนหนึ่งของประชาชนที่รักบ้านรักเมืองและใฝ่สันตินั้นได้อยู่แล้ว และไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำ เพราะมีอยู่แล้ว ...ฝากบอกนายกฯ ด้วย ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกลัว เพราะมันไม่มีอะไร อย่าตกใจ สามารถไปเมืองนอกได้”

ขณะที่ พล.อ.พัลลภ ออกมาพูดใหม่ว่า เป็นความผิดของตนที่พูดว่าเป็นกองทัพประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แล้วให้ พล.อ.ชวลิตเป็น ผบ.สส. แต่ความจริงสมาชิกเสื้อแดงเขาเรียกตัวเองว่าเป็นกองทัพประชาชนอยู่แล้ว ตนจึงใช้คำนี้มา และว่า แม้ พล.อ.ชวลิตปฏิเสธที่จะเป็น ผบ.สส. แต่ท่านพร้อมที่จะเป็นผู้นำประชาชน ผู้สื่อข่าวถามว่า โครงสร้างการจัดตั้งองค์กรประชาชนเป็นอย่างไร พล.อ.พัลลภ บอกว่า องค์กรของเรามีแกนนำ 3 เกลอ(นายวีระ มุสิกพงศ์-นายจตุพร พรหมพันธ์-นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) เป็นผู้ดำเนินการด้านมวลชน ส่วน พล.อ.ชวลิต เป็นผู้นำที่คอยให้คำแนะนำว่าการเคลื่อนไหวตรงไหนมีความเหมาะสม ส่วนตนจะเป็นผู้ดูแลด้านการรักษาความปลอดภัยให้กับการชุมนุม

ด้านนายจตุพร ไม่พอใจการจัดตั้ง กปช.ตามที่ พล.อ.พัลลภระบุ จึงออกมาบอกว่า กลุ่มคนเสื้อแดงที่เคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในขณะนี้ คือกลุ่ม นปช.ที่มีพวกตนเป็นแกนนำ ส่วนเรื่อง กปช.ถือเป็นความเห็นส่วนตัวของ พล.อ.พัลลภ และ พล.ต.ขัตติยะ และว่า พล.อ.พัลลภ และ พล.ต.ขัตติยะไม่ใช่แกนนำ นปช. และไม่เคยเข้าร่วมประชุม รวมถึง พ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่เคยสั่งการ นปช.ได้ ...ไม่มีอำนาจในการสั่งการให้คนเสื้อแดงเคลื่อนไหวใดใดได้

ทั้งนี้ คำพูดของนายจตุพร ทำให้ พล.อ.พัลลภน้อยใจ จึงได้ออกมาประกาศเลิกสนใจ นปช.อีกต่อไป “เมื่อเขาออกมาตัดรอน และเขาไม่ได้ว่าผมคนเดียว แต่ว่าไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณและ พล.อ.ชวลิตด้วย ดังนั้น เมื่อผมนอนคิดทั้งคืนแล้ว จึงตัดสินใจว่าวันนี้ผมจะอยู่เฉยๆ ผมจะดูเขา และปล่อยให้เขาดำเนินการไปเลย ผมจะไม่ยุ่งเกี่ยว ถ้ามันเกิดเหตุเหมือนช่วงเมษายนปีที่ผ่านมา ก็อย่ามาเรียกกัน เพราะผมช่วยอะไรไม่ได้ ส่วนสถานภาพในพรรคเพื่อไทยก็ยังคงทำหน้าที่ ไม่เกี่ยวกัน”

ด้าน เสธ.แดง บอกว่า อยากให้นายจตุพรไปขอโทษ พล.อ.พัลลภ เพราะ พล.อ.พัลลภเป็นผู้ใหญ่ พร้อมยืนยัน กองทัพประชาชนเป็นนโยบายของ พ.ต.ท.ทักษิณ และว่า นายจตุพรไม่มีกำลังอยู่ในมือ เพราะคุมประชาชนที่ไม่มีอาวุธ แต่เราคุมทหารพราน และกลุ่มฮาร์ดคอร์ เป็นกลุ่มที่เป็นกองกำลังติดอาวุธ เสธ.แดง ยังบอกด้วยว่า การที่ พล.อ.พัลลภประกาศเลิกเคลื่อนไหวกับ นปช.เป็นการหยุดเคลื่อนไหวบนดินเท่านั้น แต่ยังเคลื่อนไหวใต้ดินต่อไป “พล.อ.พัลลภ โทรศัพท์มาขอให้ผมหยุดเหมือนกัน แต่ท่านบอกว่าหยุดบนดิน แต่ใต้ดินต้องทำต่อไป เพราะต้องทำตามนโยบายของ พ.ต.ท.ทักษิณ นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณยังได้โทรศัพท์มาหา พล.อ.ชวลิต หลังจากที่มีการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 4 ก.พ.ว่า ให้เดินหน้าต่อ โดยมีข้อตกลงด้วยว่า หากชนะ จะให้ พล.อ.ชวลิตเป็นนายกรัฐมนตรี 1 ปี และให้อิสระในการวางกระบวนการต่างๆ ทั้งระบบรัฐสภา การเมือง ไม่ว่าจะเป็นการออกบทเฉพาะกาลนิรโทษกรรม รวมถึงจะให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศเมื่อไร จะให้ พล.อ.ชวลิตเป็นคนคิดและดำเนินการทั้งหมด”

ด้าน นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลง(6 ก.พ.) ว่า คำพูดที่ออกมาจากปาก เสธ.แดง อาจนำไปสู่การยุบพรรคเพื่อไทยได้ เพราะเป็นคำพูดที่ชัดเจนว่า 1.แกนนำคนเสื้อแดงไม่มีกำลังอยู่ในมือ แต่พวกเราคุมทหารพรานและพวกฮาร์ดคอร์ที่เป็นกองกำลังติดอาวุธ 2.พล.ต.ขัตติยะ ระบุว่า พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย โทร.หาตนก่อนบอกให้หยุดเคลื่อนไหวบนดิน แต่ใต้ดินต้องทำต่อไป เพราะเป็นนโยบายของ พ.ต.ท.ทักษิณ และ 3.เสธ.แดง ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ต่อสายตรงถึงตนให้เดินหน้าเคลื่อนไหวต่อไป หากชนะจะให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทยเป็นนายกฯ 1 ปี ซึ่งหากการเคลื่อนไหวเป็นไปตามแนวที่ เสธ.แดงพูดจริง ก็เข้าข่ายล้มล้างรัฐบาลโดยใช้กำลังที่จัดเตรียมไว้แล้ว ซึ่งแม้ยังไม่ลงมือกระทำ แต่ถือว่าความผิดสำเร็จตามกฎหมายอาญา เพราะเป็นความผิดพิเศษ โดยพรรคการเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวดังกล่าว ถือว่ามีส่วนร่วมใช้วิธีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง เข้าข่ายถูกยุบพรรคได้.
กำลังโหลดความคิดเห็น