ดังนั้นหากพิจารณาในภาพรวมเวลานี้จึงช่วยไม่ได้ที่บรรยากาศส่วนใหญ่กำลังเป็นใจและเข้าทางกับ นายกฯ อภิสิทธิ์ อย่างไม่น่าเชื่อ ขณะที่อีกด้านในฝ่ายทักษิณ นับวันมีแต่ความเสื่อม ส่วนสำคัญน่าจะมาจากการใช้คนไม่เลือกไม่ดูปูมหลัง คิดฝันแต่เป้าหมายเฉพาะหน้า นับวันจึงมีแต่เรื่องติดลบ และกำลังจะถูกก้าวข้ามผ่านไป
หากจะเปรียบเทียบนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ อดีตนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ก็ย่อมถือว่าตรงกันข้าม และไม่น่าเชื่อว่าในปัจจุบันสถานการณ์ถึงได้พลิกผันเปลี่ยนไปจนถึงเพียงนี้
และเมื่อตัดภาพมาพิจารณากันในสถานการณ์ปัจจุบันก็ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะแทบไม่น่าเชื่อว่า ล่าสุดแค่เวลาผ่านมาเพียง 1-2 สัปดาห์ทำให้เกิดการพลิกผันจนเห็นความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดถึงเพียงนี้
หากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวโดยรวมก็อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่สามารถควบคุมคนพาล หรือใช้คนพาลไม่เป็นก็ไม่รู้ ทำให้ยิ่งนานไปยิ่งสูญเสียแนวร่วมมากขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่เป็นรองอยู่แล้วก็ยิ่งถูกทิ้งห่างไม่เป็นฝุ่น
ที่ผ่านมา ทักษิณ ใช้เครือข่ายหลายรูปแบบเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลที่นำโดย อภิสิทธิ์ เป็นระยะ ส่วนใหญ่ที่สังคมรับรู้ก็คือใช้กลุ่มคนเสื้อแดงเป็นหลัก มีการชุมนุมกดดดันอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีเป็นที่น่าสังเกตว่าระยะหลังเริ่มมีการเบนเป้าไปถล่มสถาบันองคมนตรี ซึ่งทักษิณ สร้างกระแสเปรียบเทียบให้เป็น อำมาตย์และอภิสิทธิ์ชน หัวขบวนก็คือ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ซึ่งความหมายแท้จริงก็คือต้องการกระทบชิ่งไปถึงสถาบันเบื้องสูงนั่นเอง
แต่ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่าการหยิบยกเอาเรื่องการบุกรุกป่าสงวนฯบนเขายายเที่ยงของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีก็ถือว่าได้ผลพอสมควร เพราะบีบให้ พล.อ.สุรยุทธ์ ต้องคืนพื้นที่ครอบครองที่ดินผืนดังกล่าว อย่างไรก็ดีเมื่อไม่มีการขัดขืนและรัฐบาลมีการสั่งให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างรวดเร็วก็ทำให้ลดเงื่อนไขในการชุมนุมไม่ให้บานปลายลงได้
หลายฝ่ายประเมินว่าการเคลื่อนไหวของ เครือข่าย ทักษิณ ที่กำลังเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆเพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดความปั่นป่วน เป้าหมายเพื่อล้มคดียึดทรัพย์จำนวน 76,000ล้านบาทที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกำลังจะพิพากษาในวันที่ 26 ก.พ.
อย่างไรก็ดีการเคลื่อนไหวที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนานนับปีไม่จบไม่สิ้น ก็ทำให้สังคมเริ่มเบื่อหน่ายเกิดความรำคาญ กลายเป็นว่าคนเสื้อแดงกำลังก่อกวนความสงบสุขของชาวบ้าน ขัดขวางการพัฒนาประเทศ ทำให้สูญเสียโอกาสที่ทุกอย่างกำลังจะเริ่มเดินไปได้ดี
ขณะเดียวกันระยะหลังอาจเป็นเพราะเวลาไล่หลังเข้ามาทุกขณะจำเป็นต้องรีบปิดเกมให้เร็วที่สุด ทำให้เปิดรับแนวร่วมเข้ามาไม่เลือกหน้า ที่สำคัญในระยะหลังมีการใช้บริการกลุ่ม “ฮาร์ดคอร์” ที่นิยมความรุนแรงมากขึ้นอย่างเปิดเผย ขณะเดียวกันสภาพภายในก็เกิดการแข่งขันแย่งชิงการนำ เพื่อให้ “เข้าตา” นายใหญ่ เพราะนั่นหมายความว่าจะมีผลประโยชน์ตามมา ดังที่กำลังเกิดขึ้นทั้งในกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยกันเองทั้งในส่วนกลางและตามต่างจังหวัด เพราะหากสังเกตให้ดีจะพบว่าในระยะหลังแต่ละกลุ่มมักมีการเคลื่อนไหวแบบอิสระไม่ขึ้นต่อกัน
กรณีของ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี กับ “เสธ.แดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ที่กำลังมีปัญหากับกลุ่ม “3 เกลอ” โดยเฉพาะ จตุพร พรหมพันธุ์ ในเรื่องการจัดตั้ง “กองทัพประชาชน” อันชวนสยดสยองก็เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการแย่งชิงบทบาทและผลประโยชน์ในเรื่องของค่าใช้จ่าย
นี่ยังไม่นับรวมเอา พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่เพิ่งเข้ามาเป็นประธานพรรคเพื่อไทยและมีบทบาทชวนเวียนหัวในภาพของ “คนทรยศ” ชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน หรือแม้แต่ในพรรคเพื่อไทยที่ฟัดกัน “จมเขี้ยว” ระหว่าง เฉลิม อยู่บำรุง กับ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่ออกมาในโทนของแรงริษยาอาฆาตไม่มีวันเลิกราอย่างแน่นอน
หรือกรณีพันธมิตรด้านตะวันออกอย่าง ฮุน เซน ผู้นำกัมพูชา ที่อุตส่าห์ลงทุนเดินทางมาประชิดชายแดนไทย-กัมพูชาในช่วงเวลาสำคัญพอดิบพอดี เพื่อหวังสร้างความตึงเครียดเกิดขึ้น แต่กลายเป็นว่าไม่ได้มีแรงกระเพื่อมเท่าที่ควร หลังจากรัฐบาลได้ตั้งรับได้อย่างเหมาะสม ทำให้ภาพของ “ผู้นำกุ๊ย” เด่นชัดยิ่งขึ้นหลังจากที่กล่าวคำบริภาษแช่งชักหักกระดูกผู้นำไทยอย่างไร้มารยาทางการทูตและการเมืองระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ภาพที่สังคมกำลังรับรู้ก็คือ การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงและเครือข่ายทั้งหลายกำลังนำไปสู่ความรุนแรงเพื่อต้องการเปลี่ยนแปลงอำนาจกันอย่างขนานใหญ่ ถึงขั้นก่อจลาจล ซึ่งการข่มขู่ฆ่าผู้พิพากษา องค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และอดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) เป็นต้น
แม้กระทั่งการปาถุงใส่ปฏิกูลเข้าไปในบ้านของนายกฯเมื่อหลายวันก่อนสังคมส่วนหนึ่งก็ต้องชี้หน้าไปที่คนเสื้อแดงแน่นอน
ล่าสุด ได้รับการเปิดเผยข้อมูลอันน่าสนใจจากปากของรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปณิธาน วัฒนายากร ที่ระบุเมื่อวันที่ 9 ก.พ.ว่ากำลังมีการโอนเงินจำนวนมากผิดปกติมาเข้าบัญชีของแกนนำคนเสื้อแดง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าอาจนำไปใช้ในการเคลื่อนไหวก่อความรุนแรงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ขณะเดียวกันระยะสองสามสัปดาห์ก่อนถึงดีเดย์สำคัญฝ่ายรัฐบาลก็เริ่มรู้จักใช้สื่อของรัฐอย่างสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทยมีรายการทำสกู๊ปจากสำนักข่าว “ทีนิวส์” ชี้แจงข้อเท็จจริงหักล้างคำพูดการปลุกระดมจาก ทักษิณ ได้ทุกกรณี หรือแม้แต่ชี้ให้ชาวบ้านได้เห็นถึงพิษภัยของขบวนการ “ล้มเจ้า” ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ทั่วประเทศอย่างจริงจัง
ความเคลื่อนไหวและภาพจน์ที่ออกมาดังกล่าวช่วยไม่ได้ที่จะสร้างความหวาดกลัว ทำให้สังคมเกิดความชิงชังรังเกียจเพิ่มขึ้นทุกวัน
ส่วนอีกด้านหนึ่ง มาพิจารณาในฝั่งของรัฐบาลที่นำโดยนายกฯอภิสิทธิ์ ซึ่งก็ต้องแยกออกมาเฉพาะบางส่วน เฉพาะรายบุคคล ซึ่งต้องโฟกัสไปที่ตัวนายกรัฐมนตรีเป็นหลัก ก็ต้องยอมรับว่าในช่วงแรกคงไม่มีใครคาดคิดว่าจะอยู่ได้นานเป็นปีแบบนี้ เพราะคิดว่าในช่วง “จลาจลเดือนเมษายน” ต้องไปแน่ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤตรอบด้านทั้งภายนอกภายในไม่อาจสร้างความเชื่อมั่นให้อุ่นใจได้เลย
แต่กลายเป็นว่าเขายังสามารถยืนระยะอยู่ได้จนถึงวันนี้ และมีแนวโน้มอยู่ต่อไปได้เรื่อยๆ ยิ่งเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับฝ่ายตรงกันข้ามมองหน้าเรียงกันไปตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถว แต่ละคนล้วนน่า “ขนลุกขนพอง” ทั้งสิ้น แม้ว่าหากจะว่าไปแล้วปัญหาการคอรัปชั่นที่เกิดขึ้นในรัฐบาลมีไม่น้อยกว่ารัฐบาลทักษิณ มิหนำซ้ำอาจมากกว่าเสียอีก
แต่สังคมยังเชื่อมั่นในความซื่อสัตย์ของนายกฯ ที่ไม่มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน มีความรู้และภาพผู้นำอินเตอร์รุ่นหนุ่มเป็นเทรนด์ใหม่ที่ขายได้ ขณะที่ภรรยาหรือลูกๆรวมไปถึงเครือญาติคนอื่นๆก็ไม่มาจุ้นจ้านให้เกิดภาพความหมั่นใส้ จึงถือเป็นต้นทุนที่เหนือกว่า
ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว ทำให้สินค้าเกษตรหลักๆมีราคาดี การลงทุนเริ่มกลับมาขยายตัวอีกครั้งประกอบกับนโยบายสำคัญบางอย่างเริ่มเข้าตา เช่น โครงการประกันรายได้เกษตรกร เป็นตัวฉุดให้เศรษฐกิจภายในประเทศหลุดพ้นจากภาวะถดถอย ทำให้หลายฝ่ายต้องร่วมมือกันประคับประคองกันโดยปริยาย และคงไม่มีใครอยากให้บ้านเมืองวุ่นวาย อีกทั้งสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ก็ได้บังคับให้กองทัพต้องเลือกข้างเข้ามารวมกลุ่มกับรัฐบาล จะเห็นได้จากกระแสปฏิวัติที่พยายามสร้างภาพมานานนับสัปดาห์ก็ปลุกไม่ขึ้น ไม่มีใครเอาด้วย
ดังนั้นหากพิจารณาในภาพรวมเวลานี้จึงช่วยไม่ได้ที่บรรยากาศส่วนใหญ่กำลังเป็นใจและเข้าทางกับ นายกฯ อภิสิทธิ์ อย่างไม่น่าเชื่อ ขณะที่อีกด้านในฝ่ายทักษิณ นับวันมีแต่ความเสื่อม ส่วนสำคัญน่าจะมาจากการใช้คนไม่เลือกไม่ดูปูมหลัง คิดฝันแต่เป้าหมายเฉพาะหน้า นับวันจึงมีแต่เรื่องติดลบ และกำลังจะถูกก้าวข้ามผ่านไป
ที่สำคัญหากภายในเดือนนี้หรือเดือนหน้า ทักษิณ ยังดันทุรังที่จะก่อความรุนแรงเพื่อหวังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือสร้างพลังการต่อรองอำนาจ ก็เตรียม “ถูกกวาด” ได้เลย เพราะเมื่อใดก็ตามที่เกิดความรุนแรงขึ้นสังคมก็จะชี้หน้าทันที เพราะที่ผ่านมาสถานการณ์ได้พัดพาให้คนส่วนใหญ่เข้าใจอย่างนั้น
และนี่ไงถึงได้บอกว่าภาพมันช่างตัดกันสุดขั้ว !!