“ผ่าประเด็นร้อน”
กลายเป็นว่าเขายังสามารถยืนระยะอยู่ได้จนถึงวันนี้ และมีแนวโน้มอยู่ต่อไปได้เรื่อยๆ ยิ่งเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับฝ่ายตรงกันข้ามมองหน้าเรียงกันไปแต่ละคนมีแต่น่าขนลุกขนพองทั้งสิ้น แม้ว่าหากจะว่าไปแล้วปัญหาการคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นในรัฐบาลมีไม่น้อยกว่ารัฐบาลทักษิณ มิหนำซ้ำอาจมากกว่าเสียอีก แต่สังคมยังเชื่อมั่นในความซื่อสัตย์ของนายกฯ ที่ไม่มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน มีความรู้และภาพผู้นำอินเตอร์รุ่นหนุ่มเป็นเทรนด์ใหม่ที่ขายได้ ขณะที่ไม่มีเรื่องของภรรยาหรือลูกๆหรือญาติคนอื่นๆมาจุ้นจ้านให้เกิดภาพความหมั่นใส้ จึงถือเป็นต้นทุนที่เหนือกว่า
ไม่น่าเชื่อว่าสถานการณ์แค่เวลาผ่านมาเพียงแค่ 1-2 สัปดาห์ทำให้เกิดการพลิกผันจนเห็นความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดถึงเพียงนี้ อาจเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่สามารถควบคุมคนพาลหรือใช้คนพาลไม่เป็นก็ไม่รู้ ทำให้สูญเสียแนวร่วมมากขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่เป็นรองอยู่แล้วก็ยิ่งถูกทิ้งห่างไม่เป็นฝุ่นใช่ สถานการณ์ที่ระบุข้างต้นเป็นการเปรียบเทียบความเป็นไปของบุคคลสองคน นั่นคือ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ ทักษิณ ชินวัตร
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องแยกอธิบายเพื่อให้เห็นภาพประกอบกันไป เริ่มจากฝ่ายทักษิณ ก่อน ซึ่งสถานะในปัจจุบันนอกจากเป็นนักโทษหลบหนีอาญาแผ่นดินที่ถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี และยังมีคดีทุจริตคาอยู่ในศาลอีกเป็นพรวน รวมไปถึงคดียึดทรัพย์ที่จะมีคำพิพากษาออกมาในวันที่ 26 ก.พ.ที่ผ่านมา ทักษิณ ใช้เครือข่ายหลายรูปแบบเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลที่นำโดยอภิสิทธิ์เป็นระยะ ส่วนใหญ่ใช้กลุ่มคนเสื้อแดงเป็นหลัก มีการชุมนุมกดดดันอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า ระยะหลังเริ่มมีการเบนเป้าไปถล่มสถาบันองคมนตรี ซึ่งทักษิณ สร้างกระแสเปรียบเทียบให้เป็น อำมาตย์และอภิสิทธิ์ชน หัวขบวนก็คือ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
แต่ก็ต้องยอมรับว่า การหยิบยกเอาเรื่องการบุกรุกป่าสงวนฯบนเขายายเที่ยงของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีก็ถือว่าได้ผลพอสมควร เพราะบีบให้ พล.อ.สุรยุทธ์ ต้องคืนพื้นที่ครอบครองที่ดินผืนดังกล่าว หลังจากอัยการและกรมป่าไม้ระบุว่าไม่มีสิทธิ์ครอบครอง อย่างไรก็ดีเมื่อไม่มีการขัดขืนและรัฐบาลมีการสั่งให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างรวดเร็วก็ทำให้ลดเงื่อนไขในการชุมนุมไม่ให้บานปลายลงได้
หลายฝ่ายประเมินว่า การเคลื่อนไหวของเครือข่ายทักษิณที่กำลังเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดความปั่นป่วน เป้าหมายเพื่อล้มคดียึดทรัพย์และนิรโทษกรรมลบล้างความผิดทั้งหมด อย่างไรก็ดีการเคลื่อนไหวที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องนานนับปีไม่จบไม่สิ้น ก็ทำให้สังคมเริ่มเบื่อหน่ายเกิดความรำคาญ กลายเป็นว่าคนเสื้อแดงกำลังก่อกวนความสงบสุขของชาวบ้าน ขัดขวางการพัฒนาประเทศ ทำให้สูญเสียโอกาส ขณะเดียวกันระยะหลังอาจเป็นเพราะเวลาไล่หลังเข้ามาทุกขณะต้องรีบปิดเกมให้เร็วที่สุด ทำให้เปิดรับแนวร่วมเข้ามาไม่เลือกหน้า ขณะเดียวกันสภาพภายในก็เกิดการแข่งขันแย่งชิงการนำ เพื่อให้ “เข้าตา” นายใหญ่ เพราะนั่นหมายความว่าจะมีผลประโยชน์ตามมา ดังที่กำลังเกิดขึ้นทั้งในกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยกันเองทั้งในส่วนกลางและตามต่างจังหวัดที่หากสังเกตให้ดีจะพบว่าในระยะหลังแต่ละกลุ่มมักมีการเคลื่อนไหวแบบอิสระไม่ขึ้นต่อกัน
กรณีของ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี “เสธ.แดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ที่กำลังมีปัญหากับกลุ่ม “สามเกลอ” โดยเฉพาะ จตุพร พรหมพันธุ์ ในเรื่องการจัดตั้งกองทัพประชาชนอันชวนสยดสยองก็เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการแย่งชิงบทบาทและผลประโยชน์ในเรื่องของค่าใช้จ่าย
นี่ยังไม่นับรวมเอา พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่เพิ่งเข้ามาเป็นประธานพรรคเพื่อไทยและมีบทบาทชวนเวียนหัวในภาพของ “คนทรยศ” ชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน หรือแม้แต่ในพรรคเพื่อไทยที่ฟัดกัน “จมเขี้ยว” ระหว่าง เฉลิม อยู่บำรุง กับ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่ออกมาในโทนของแรงริษยาอาฆาตไม่มีวันเลิกราอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ ภาพที่สังคมกำลังรับรู้ในเวลานี้ก็คือ การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงและเครือข่ายทั้งหลายกำลังนำไปสู่ความรุนแรงเพื่อต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างขนานใหญ่ ในลักษณะของการก่อจลาจล ซึ่งการข่มขู่ฆ่าผู้พิพากษา องค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และอดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นต้น ที่ผ่านมาภาพดังกล่าวเคยเกิดขึ้นเมื่อช่วงเดือนเมษายน 2552 ที่ผ่านมา
แม้กระทั่งการปาถุงใส่ปฏิกูลเข้าไปในบ้านของนายกฯเมื่อหลายวันก่อนสังคมส่วนหนึ่งก็ต้องชี้หน้าไปที่คนเสื้อแดงแน่นอน ความเคลื่อนไหวและภาพจน์ที่ออกมาดังกล่าวช่วยไม่ได้ที่จะสร้างความกลัว ทำให้สังคมเกิดความชิงชังรังเกียจ ขณะเดียวกันในกลุ่มคนเสื้อแดงและคนที่เคยสนับสนุน ทักษิณ ที่มีคุณภาพ คิดว่าเป็นความหวังในการสร้างความเปลี่ยนแปลงก็เริ่มเห็นความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ว่านี่คือ การต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวล้วนๆ
หรือกรณีล่าสุด พันธมิตด้านตะวันออกอย่าง ฮุนเซน ผู้นำกัมพูชา ที่อุตส่าห์ลงทุนเดินทางมาบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในช่วงเวลาสำคัญพอดิบพอดี เพื่อหวังสร้างความตึงเครียดเกิดขึ้น แต่กลายเป็นว่าไม่ได้มีแรงกระเพื่อมเท่าที่ควรจะเป็น ตรงกันข้ามอาจทำให้การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา มีความยุ่งยากมากขึ้นไปอีก เพราะนอกจากไม่สามารถเสนอพื้นที่บริหารจัดการได้ตามกำหนด อีกทั้งวัตถุประสงค์ของยูเนสโกต้องการให้เกิดความร่วมมือและสันติภาพเป็นหลัก หากยังมีข้อขัดแย้งกันอยู่ก็ยิ่งทำให้การขึ้นทะเบียนต้องห่างไกลออกไป
ส่วนอีกด้านหนึ่ง มาพิจารณาในฝั่งของรัฐบาลที่นำโดยนายกฯอภิสิทธิ์ ซึ่งก็ต้องแยกออกมาเฉพาะบางส่วน เฉพาะตัวบุคคล ซึ่งต้องโฟกัสไปที่ตัวนายกรัฐมนตรีเป็นหลัก ก็ต้องยอมรับว่าในช่วงแรกคงไม่มีใครคาดคิดว่าจะอยู่ได้นานเป็นปีแบบนี้ เพราะคิดว่าในช่วง “จลาจลเดือนเมษายน” ต้องไปแน่
แต่กลายเป็นว่าเขายังสามารถยืนระยะอยู่ได้จนถึงวันนี้ และมีแนวโน้มอยู่ต่อไปได้เรื่อยๆ ยิ่งเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับฝ่ายตรงกันข้ามมองหน้าเรียงกันไปแต่ละคนมีแต่น่าขนลุกขนพองทั้งสิ้น แม้ว่าหากจะว่าไปแล้วปัญหาการคอรัปชั่นที่เกิดขึ้นในรัฐบาลมีไม่น้อยกว่ารัฐบาลทักษิณ มิหนำซ้ำอาจมากกว่าเสียอีก แต่สังคมยังเชื่อมั่นในความซื่อสัตย์ของนายกฯ ที่ไม่มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน มีความรู้และภาพผู้นำอินเตอร์รุ่นหนุ่มเป็นเทรนด์ใหม่ที่ขายได้ ขณะที่ไม่มีเรื่องของภรรยาหรือลูกๆหรือญาติคนอื่นๆมาจุ้นจ้านให้เกิดภาพความหมั่นใส้ จึงถือเป็นต้นทุนที่เหนือกว่า
ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว ทำให้สินค้าเกษตรหลักมีราคาดี การลงทุนเริ่มกลับมาขยายตัวอีกครั้ง ทำให้หลายฝ่ายต้องร่วมมือกันประคับประคองกันโดยปริยาย และคงไม่มีใครอยากให้บ้านเมืองวุ่นวาย หรือมัวแต่บ้าทวงสมบัติ-ทวงอำนาจให้ ทักษิณ คนเดียวหรอก อีกทั้งสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ก็ได้บังคับให้กองทัพต้องเลือกข้างเข้ามารวมกลุ่มกับรัฐบาลโดยปริยาย
ดังนั้น หากพิจารณาในภาพรวมเวลานี้จึงช่วยไม่ได้ที่บรยากาศส่วนใหญ่กำลังเป็นใจและเข้าทางกับ นายกฯ อภิสิทธิ์ อย่างไม่น่าเชื่อ ขณะที่อีกด้านในฝ่ายทักษิณ นับวันมีแต่ความเสื่อม ส่วนสำคัญน่าจะมาจากการใช้คนไม่เลือกหน้าไม่ดูปูมหลัง คิดฝันแต่เป้าหมายเฉพาะหน้า นับวันจึงมีแต่เรื่องติดลบ และกำลังจะถูกก้าวข้ามผ่านไป!!