xs
xsm
sm
md
lg

“สาทิตย์” เพิ่งตื่น!! เร่งอัดข้อเท็จจริงกระจายข่าว จี้ กทช.ฟันวิทยุชุมชนปลุกระดม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
“สาทิตย์” ยันรายการช่อง 11 ไม่เติมเชื้อความรุนแรง แค่หวังให้ประชาชนรู้รอบด้าน เชื่อคนผลิตพร้อมรับผิดชอบสิ่งที่พูดออกไป เร่งอัดข้อเท็จจริง โฆษณาผลงานรัฐ เผยแพร่สู่ชุมชน ยันไม่ 2 มาตรฐานหรือโจมตีกลั่นแกล้งใคร รับหนักใจวิทยุชุมชน เคเบิล ดาวเทียม ปลุกปั่น จี้ กทช.จัดการอย่ามัวแต่โบ้ย

วันนี้ (9 ก.พ.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ กล่าวตำหนิรายการ “เกาที่คัน” ของดร.เสรี วงศ์มณฑา และ “เจาะข่าวร้อน” ของสำนักข่าวทีนิวส์ ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ว่า ได้รับฟังเสียงสะท้อนประชาชน รู้สึกกังวลใจว่าเนื้อหาของรายการจะเป็นการสร้างความแตกแยกของคนในชาติมากขึ้น มีการยั่วยุว่า ในฐานะที่เป็นสื่อมวลชนก็ต้องเปิดใจกว้างรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย ลักษณะการทำรายการในช่อง 11 ผู้ผลิตรายการแต่ละคนก็ต้องมีความรับผิดชอบในส่วนของตน เข้าใจว่าสถานการณ์ที่อ่อนไหวก็อาจจะมีคนที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกันได้ และจากการที่ให้นโยบายและกำชับลงไปนั้นจะเน้นที่ว่า ทุกเรื่องขอให้สะท้อนความเป็นจริงที่เกอิดขึ้น และเมื่อมีการสะท้อนข้อเท็จจริงออกไปก็ย่อมมีมุมมองที่แตกต่างกันได้ ตนมองว่าตรงนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดา

“กรณีที่ ส.ว.ออกมาพูด ผมก็เข้าใจท่าน มุมมองอาจแตกต่างกัน ก็ยินดีรับฟังแต่เราก็พยายามกำกับดูแลเนื้อหาให้อยู่ภายใต้กรอบข้อเท็จจริง การทำความเข้าใจกับสังคม ต้องยอมรับว่าในสถานการณ์ ของประเทศขณะนี้การทำความเข้าใจและชี้แจข้อเท็จจริงเป็นเรื่อง สำคัญมาก เพราะว่า ผมจำเป็นต้องได้รับข้อมูลครบถ้วนรอบด้าน ช่อง 11 และรายการสื่อของรัฐทั้งหมดไม่มีความตั้งใจที่จะเติมสถานการณ์ให้มีความรุนแรงมากขึ้น แต่เราต้องการที่จะสื่อให้คนได้รับรู้ข้อเท็จจริงรับรู้ถึงกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้องรับรู้ถึงว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้างและที่ผลกระทบอะไร และคนที่รับสื่อเองก็มีหน้าทีที่จะไปตัดสินใจหลังจากได้รับข้อมูลเหล่านั้น” นายสาทิตย์กล่าว

เมื่อถามว่า รายการที่เอกชนเข้ามาทำจำเป็นต้องเข้าไปดู และเสนอให้ปรับปรุงรายการหรือไม่ รมต.ประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ตรงนี้ก็ดูอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายและข้อบังคับตามสัญญา ว่าจะต้องไม่เป็นรายการที่ไปกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม และตราบใดที่อยู่ภายใต้กรอบของข้อเท็จจริงเขาก็สามารถดำเนินการได้ และคิดว่าการชี้แจงจะเกิดขึ้นอีกหลายกรณี และในวันที่ 11 ก.พ.นี้ ตนก็จะไปให้นโยบายกับประชาสัมพันธ์จังหวัดทั่วประเทศผ่านระบบวิดิโอคอนเฟอเรนซ์เพื่อกำชับนโยบายเรื่องการสื่อสาร โดยจะเน้นเรื่องการปกป้องสถาบัน การให้ความรู้กับประชาชนในเรื่องข้อเท็จ จริงของคดีต่างๆ และกระบวนการยุติธรรมที่เกิดขึ้น รายการต่างๆ จะไม่ให้ร้ายใคร หรือเป็นเรื่องการบิดเบือนข้อเท็จจริง

เมื่อถามว่า ในฐานะที่รับผิดชอบช่อง 11 มีรายการไหนที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ นายสาทิตย์กล่าวว่า ในช่อง 11 ตนคิดว่าทุกรายการเป็นรายการที่มุ่งสะท้อนข้อเท็จจริง เพียงแต่วิธีการนำเสนอบางคนอาจจะทำให้เกิดความเห็นที่แตกต่างได้ เป็นเรื่องปกติ ทุกรายการอาจจะมีผลสะท้อนที่แตกต่างกลับมาได้ แต่คนที่ทำรายการเขาก็พร้อมที่จะรับผิดชอบในสิ่งที่เขาพูดไป

เมื่อถามว่า รายการนำเสนอข้อเท็จจริงต่อประชาชนนั้นรูปแบบเป็นอย่างไร นายสาทิตย์ กล่าวว่า รูปแบบเวลานี้มี 2-3 รูปแบบ คือ 1.การให้ข้อเท็จจริงโดยผ่านรายการข่าวต่างๆ ในรูปแบบสกู๊ปข่าว 2.การจัดรายการพิเศษ หรือเป็นรายการที่ไทน์อินลงไปรายการ ที่ทางช่อง 11 หรือช่องอื่นที่ประสานอยู่ ช่วยกันให้ข้อเท็จจริง ส่วนช่อง 11 อาจจะการจัดรายการพิเศษและลิงก์กับสถานีวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศ รวมทั้งวิทยุชุมชนที่เป็นเครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งก็ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 8 ก.พ.แล้ว และ 3.ทำในรูปแบบของสื่อเฉพาะ ที่อาจจะทำในรูปแบบที่ให้นายกฯสามารถสื่อกับประชาชนในพื้นที่ภาคต่างๆ

“ต้องการสะท้อนให้เห็นว่านายกฯมานี่ มาเพื่อต้องการแก้ไขปัญหาประเทศ ไม่ได้ต้องการมาเพื่อไปทะเลาะกับใคร เราไม่ได้มาทำการแก้แค้นใครเป็นการเฉพาะและงานที่ทำไปแล้วได้ประโยชน์อะไร เช่นการประกันรายได้ ต้องการทำให้คนเข้าใจ เพื่อป้องกันการไปบิดเบือนว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่ตั้งขึ้นโดยคณะปฎิวัติบ้าง ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นนอมินีใครบ้าง ต้องแก้ข้อกล่าวเหล่านี้และทำให้คนเห็นว่าจริงที่เขาได้ประโยชน์ต่างๆ นั้นมาจากรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์” นายสาทิตย์กล่าว

เมื่อถามว่า การสื่อสารผ่านรายการเชื่อมั่นฯ ยังไม่เพียงพออีกหรือ นายสาทิตย์กล่าวว่า ยังไม่พอ ใครอยู่วงการสื่อสารมวลชนกับการสื่อสารการเมือง จะรู้ดีว่า ประชาชน 60 ล้านคนดูทีวีแต่ละครั้งไม่เกิน 10 ล้านคน จำเป็นต้องสื่อหลายด้าน ทำความเข้าใจให้สังคมเห็นว่ารัฐบาลมาด้วยวิถีทางประชาธิปไตย มีหน้าที่แก้ไขปัญหาของประเทศ

“เราไม่ใช่เป็นนอมินีของใคร ไม่มีการกระทำ 2 มาตรฐาน กระบวนการยุติธรรมของไทย เป็นกระบวนการเปิด ที่เปิดให้คู่ความ 2 ฝ่ายสามารถที่จะซักค้านกันได้ ดังนั้น ทุกเรื่องจะเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้แสดงข้อเท็จจริงแล้วไม่มีการกลั่นแกล้งใคร สถาบันและองคมนตรี อยู่นอกเหนือการเมือง ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวการเมือง นี่คือเป้าหมายของเรา” นายสาทิตย์กล่าว

เมื่อถามถึงการจับตาสื่อที่ชอบปลุกระดม นายสาทิตย์กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคง แต่ที่หนักใจในเวลานี้มี 3 ส่วน คือ วิทยุชุมชน ดาวเทียม และเคเบิล ที่มีอนุฯ ของ กทช.ดูแล แต่จากการที่ตนได้ประสานกับคณะกรรมการบางคนในอนุฯ กทช.ว่า ขอให้จับตาดูใน กรณีใช้สื่อไปปลุกปั่นด้วย และถ้าจะมาบอกว่าไม่ใช่หน้าที่ก็ไม่ถูกต้อง เพราะอำนาจตรงนี้ถูกยกออกไปจากกรมประชาสัมพันธ์ตั้งแต่ปีรัฐธรรมนูญปี 40 และถ้า กทช.ไม่ทำบ้านเมืองก็จะวุ่นวาย
กำลังโหลดความคิดเห็น