ซื้อ ราคาปิด (บาท) 34.00ราคาเป้าหมาย (บาท) 39.50
อัตรากำไรขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ
แม้คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 4/52 ของ TUF จะชะลอตัวลงจากไตรมาส 3/52 เนื่องจากเข้าสู่ช่วงโลว์ซีซั่น แต่กำไรสุทธิจะเติบโตถึง 132% yoy เป็น 712 ล้านบาท หากไม่รวมรายการพิเศษ คือ ค่าใช้จ่ายในการหยุดดำเนินงานโรงงานที่หมู่เกาะอเมริกันซามัวร์และค่าใช้จ่ายในการเริ่มผลิตที่โรงงานใหม่ที่ จอร์เจีย สหรัฐฯ รวมประมาณ 170 ล้านบาท (5.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) อีกทั้งการตั้งสำรองค่าความนิยมสำหรับบริษัทย่อยในสหรัฐฯ เราคาดว่า TUF จะมีกำไรปกติสูงถึง 983 ล้านบาทเติบโต 164% yoy โดยอัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มจะสูงขึ้นจาก 11.7% ในไตรมาส 4/51 มาที่ 15.9% จากการที่วัตถุดิบราคาปลาทูน่าปรับตัวลดลง 22% yoy จาก 1,173 เหรียญ/ตัน มาเป็น 915 เหรียญ/ตัน ขณะที่ราคาขายสินค้าบางส่วนไม่ได้ปรับลงตาม
คาดยอดขายลดลง 7% yoy
ยอดขายในไตรมาส 4/52 คาดว่าจะลดลง 7% yoy เป็น 17,210 ล้านบาท มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น 4.3% yoy จาก 34.86 บาท/ดอลลาร์ในไตรมาส 4/51 มาที่ 33.35 บาท/ดอลลาร์ ประกอบกับยอดขายในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง 2.3% เป็น 516 ล้านเหรียญเนื่องจากสินค้าส่วนหนึ่งเป็นสินค้า OEM ซึ่งมีการตั้งราคาแบบ Cost plus ทำให้ยอดขายลดลงตามราคาวัตถุดิบปลาทูน่า
ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสะท้อนการเติบโต
เรามีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2552 และ 2553 ขึ้น 6% และ 1% ตามลำดับเพื่อสะท้อนแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรของบริษัท โดยเราประเมินว่ากำไรสุทธิปี 2552 จะเติบโต 52% เป็น 3,338 ล้านบาท (3.78 บาท/หุ้น) ซึ่งนับว่าสูงเป็นประวัติการณ์ และหากไม่รวมรายการพิเศษซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายในการปิดโรงงานที่ซามัวร์ (16.8 ล้านเหรียญฯ หรือ 568 ล้านบาท) กำไรปกติของ TUF จะเพิ่มขึ้น 62% เป็น 3,675 ล้านบาท (4.16 บาท/หุ้น) อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มจาก 12.7% ในปี 2551 มาเป็น 15.1% โดยราคาเฉลี่ยของวัตถุดิบปลาทูน่าลดลง 28% จาก 1,585 เหรียญ/ตัน มาที่ 1,141 เหรียญ/ตัน
มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง
กำไรสุทธิในปี 2553 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง 5% yoy เป็น 3,494 ล้านบาท (3.96 บาท/หุ้น) โดยได้รับการผลักดันจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายทูน่า กุ้ง ซาร์ดีน อาหารกุ้ง และ ปลาหมึก โดยเฉพาะกุ้งส่งออกซึ่งมีอัตรากำไรเพิ่มสูงขึ้นจากการเพิ่มยอดขายสินค้ามูลค่าเพิ่มและขยายตลาดญี่ปุ่นซึ่งส่วนใหญ่ซื้อสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง ขณะที่ TUF ยังได้รับผลบวกจากการประหยัดต้นทุน 7.5 ล้านเหรียญต่อปีหลังจากการปิดโรงงานที่ซามัวร์และย้ายไปจอร์เจียตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา นอกจากนั้นยังคาดว่าค่าใช้จ่ายของ TUF จะลดต่ำลงเนื่องจากไม่มีการบันทึกค่าใช้จ่ายในการปิดโรงงานเหมือนปีก่อน
คงคำแนะนำ ซื้อ
เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ TUF โดยปรับราคาเหมาะสมขึ้นเป็น 39.50 บาทจากการประเมินมูลค่าหุ้นด้วย PER ปี 2553 ที่ 10 เท่า ขณะที่คาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลจากกำไรในครึ่งหลังของปี 2552 จำนวน 0.96 บาท/หุ้นซึ่งคิดเป็นอัตราผลตอบแทนครึ่งปีที่ 2.8%
สุทธาทิพย์ พีรทรัพย์/Suttatip.p@kimeng.co.th
อัตรากำไรขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ
แม้คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 4/52 ของ TUF จะชะลอตัวลงจากไตรมาส 3/52 เนื่องจากเข้าสู่ช่วงโลว์ซีซั่น แต่กำไรสุทธิจะเติบโตถึง 132% yoy เป็น 712 ล้านบาท หากไม่รวมรายการพิเศษ คือ ค่าใช้จ่ายในการหยุดดำเนินงานโรงงานที่หมู่เกาะอเมริกันซามัวร์และค่าใช้จ่ายในการเริ่มผลิตที่โรงงานใหม่ที่ จอร์เจีย สหรัฐฯ รวมประมาณ 170 ล้านบาท (5.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) อีกทั้งการตั้งสำรองค่าความนิยมสำหรับบริษัทย่อยในสหรัฐฯ เราคาดว่า TUF จะมีกำไรปกติสูงถึง 983 ล้านบาทเติบโต 164% yoy โดยอัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มจะสูงขึ้นจาก 11.7% ในไตรมาส 4/51 มาที่ 15.9% จากการที่วัตถุดิบราคาปลาทูน่าปรับตัวลดลง 22% yoy จาก 1,173 เหรียญ/ตัน มาเป็น 915 เหรียญ/ตัน ขณะที่ราคาขายสินค้าบางส่วนไม่ได้ปรับลงตาม
คาดยอดขายลดลง 7% yoy
ยอดขายในไตรมาส 4/52 คาดว่าจะลดลง 7% yoy เป็น 17,210 ล้านบาท มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่เงินบาทแข็งค่าขึ้น 4.3% yoy จาก 34.86 บาท/ดอลลาร์ในไตรมาส 4/51 มาที่ 33.35 บาท/ดอลลาร์ ประกอบกับยอดขายในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง 2.3% เป็น 516 ล้านเหรียญเนื่องจากสินค้าส่วนหนึ่งเป็นสินค้า OEM ซึ่งมีการตั้งราคาแบบ Cost plus ทำให้ยอดขายลดลงตามราคาวัตถุดิบปลาทูน่า
ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสะท้อนการเติบโต
เรามีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2552 และ 2553 ขึ้น 6% และ 1% ตามลำดับเพื่อสะท้อนแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรของบริษัท โดยเราประเมินว่ากำไรสุทธิปี 2552 จะเติบโต 52% เป็น 3,338 ล้านบาท (3.78 บาท/หุ้น) ซึ่งนับว่าสูงเป็นประวัติการณ์ และหากไม่รวมรายการพิเศษซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายในการปิดโรงงานที่ซามัวร์ (16.8 ล้านเหรียญฯ หรือ 568 ล้านบาท) กำไรปกติของ TUF จะเพิ่มขึ้น 62% เป็น 3,675 ล้านบาท (4.16 บาท/หุ้น) อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มจาก 12.7% ในปี 2551 มาเป็น 15.1% โดยราคาเฉลี่ยของวัตถุดิบปลาทูน่าลดลง 28% จาก 1,585 เหรียญ/ตัน มาที่ 1,141 เหรียญ/ตัน
มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง
กำไรสุทธิในปี 2553 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง 5% yoy เป็น 3,494 ล้านบาท (3.96 บาท/หุ้น) โดยได้รับการผลักดันจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายทูน่า กุ้ง ซาร์ดีน อาหารกุ้ง และ ปลาหมึก โดยเฉพาะกุ้งส่งออกซึ่งมีอัตรากำไรเพิ่มสูงขึ้นจากการเพิ่มยอดขายสินค้ามูลค่าเพิ่มและขยายตลาดญี่ปุ่นซึ่งส่วนใหญ่ซื้อสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง ขณะที่ TUF ยังได้รับผลบวกจากการประหยัดต้นทุน 7.5 ล้านเหรียญต่อปีหลังจากการปิดโรงงานที่ซามัวร์และย้ายไปจอร์เจียตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา นอกจากนั้นยังคาดว่าค่าใช้จ่ายของ TUF จะลดต่ำลงเนื่องจากไม่มีการบันทึกค่าใช้จ่ายในการปิดโรงงานเหมือนปีก่อน
คงคำแนะนำ ซื้อ
เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ TUF โดยปรับราคาเหมาะสมขึ้นเป็น 39.50 บาทจากการประเมินมูลค่าหุ้นด้วย PER ปี 2553 ที่ 10 เท่า ขณะที่คาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลจากกำไรในครึ่งหลังของปี 2552 จำนวน 0.96 บาท/หุ้นซึ่งคิดเป็นอัตราผลตอบแทนครึ่งปีที่ 2.8%
สุทธาทิพย์ พีรทรัพย์/Suttatip.p@kimeng.co.th