xs
xsm
sm
md
lg

TUFโอ่ปีนี้กำไรโตกว่า20% เล็งหาโอกาสลงทุนใหม่เสริม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

TUF ยันปีนี้ทุบสถิติกำไรสูงสุดอีกครั้ง โดยมีกำไรเติบโตกว่า 15-20%จากปีที่แล้ว เนื่องจากไม่มีภาระค่าใช้จ่ายปิดโรงงานกว่า 500 ล้านบาทเหมือนปี52 ขณะที่เป้ายอดขายในรูปเหรียญสหรัฐโต 12% จากปีก่อนยอดขายลดลง ทุ่มงบลงทุน 2.4พันล้านบาทลุยห้องเย็นให้เสร็จปลายปีนี้ แย้มมองโอกาสลงทุนใหม่เพื่อสร้างการเติบโต หลังหยุดเทกโอเวอร์มานานกว่า 3ปี ประเมินเศรษฐกิจยุโรปแย่ ส่งผลดีให้ยอดขายบริษัทพุ่งขึ้น

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน)(TUF) เปิดเผยว่า บริษัทฯคาดว่าปีนี้จะมีกำไรสุทธิเติบโตไม่น้อยกว่า 15-20%จากปี2552 ที่มีกำไรสุทธิ 3,344 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้จะไม่มีการตัดค่าใช้จ่ายในการปิดโรงงานที่อเมริกันซามัวจำนวน 568 ล้านบาทเหมือนเมื่อปีก่อน ขณะที่วางเป้ายอดขายในรูปเงินเหรียญสหรัฐเติบโต12%จากปีที่แล้วมียอดขายรวม 2,014 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้ปีนี้เป็นปีประวัติศาสตร์ที่มีรายได้และกำไรสุทธิสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯมาร่วม 20 ปี

"ในปีนี้จะเป็นอีกปีที่เรามียอดขายและกำไรเพิ่มขึ้น โดยจะมีกำไรสุทธิโตขึ้นมากกว่า 15-20% หากพิจารณาในรูปเปอร์เซ็นจะขยายตัวน้อยกว่าปีที่แล้วซึ่งมีกำไรสุทธิโต 52% แต่ต้องเข้าใจด้วยว่าปีที่แล้วเป็นการปรับพื้นฐานโครงสร้าง ทำให้กำไรโตแบบก้าวกระโดด เมื่อตัวเลขฐานกำไรใหญ่ ขึ้น ฉะนั้นการสร้างการเติบโตของกำไรยากขึ้นด้วย แต่ทั้งนี้บริษัทฯจะรักษาการเติบโตไว้"

สำหรับผลประกอบการTUF ในปี 2552 บริษัทฯมีรายได้รวมในรูปเงินเหรียญสหรัฐเท่ากับ 2,014 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากปีก่อน 3% ส่วนรายได้ในรูปเงินบาทเท่ากับ 68,995 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย สาเหตุจากราคาวัตถุดิบปลาทูน่าต่ำกว่าปีก่อน ทำให้ราคาสินค้าส่วนใหญ่ถูกลง ขณะที่ปี 2552 บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 3,344 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52% คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 3.79 บาท เพิ่มขึ้น 51% ซึ่งเป็นปีแรกที่บริษัทฯมีกำไรสุทธิเกิน2,300 ล้านบาท

ส่วนผลดำเนินงานไตรมาส 4/2552 บริษัทสามารถทำกำไรสุทธิเพิ่มสูงถึง 134% จาก 307 ล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เป็น 718 ล้านบาท โดยยอดขายในรูปของเงินเหรียญสหรัฐเท่ากับ กับ 519 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงเล็กน้อย 2% ขณะที่ยอดขายในรูปของเงินบาทเท่ากับ 17,202 ล้านบาท ลดลง 7%

สัดส่วนยอดขายตามผลิตภัณฑ์ในปี 2552 ผลิตภัณฑ์ปลาทูน่ายังเป็นสินค้าหลักที่มีสัดส่วนการส่งออกถึง 44% ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัท รองลงมาได้แก่ กุ้งแช่แข็ง 20% อาหารแมวบรรจุกระป๋อง 9% อาหารทะเลบรรจุกระป๋อง 9% อาหารกุ้ง 6% ผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ 5% ปลาซาร์ดีน/แมคเคอเรล บรรจุกระป๋อง 4% และปลาหมึกแช่แข็ง 3% ส่วนตลาดส่งออกหลักนั้นยังคงเป็นสหรัฐอเมริกา
โดยมีสัดส่วนการส่งออก 49% สหภาพยุโรป 13% ญี่ปุ่น 12% ขายในประเทศ 11% อัฟริกา 6% โอเชียเนีย 3% ตะวันออกกลาง 2% เอเชีย 2% แคนาดา 1% และอเมริกาใต้ 1%

ดังนั้นที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯมีนโยบายจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง 2552 หุ้นละ 1.00 บาท คิดเป็นการจ่ายเงินปันผลที่ 50%ของกำไรสุทธิ และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 29 มี.ค.นี้

ก่อนหน้านี้บริษัทฯวางเป้าหมายรายได้ในรูปเหรียญสหรัฐในอีก 4ปีข้างหน้า (2552-2555)อยู่ที่ 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่จากปี 2552 รายได้ไม่โตขึ้นเลย แต่กำไรสุทธิเติบโตมากถึง 52% เชื่อว่าผู้ถือหุ้นก็คงพอใจ อย่างไรก็ตาม หากรายได้ปีนี้พลาดเป้า ก็คงต้องมาพิจารณาว่าจะรีวิวเป้าหมายรายได้อย่างไรต่อไป

ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ บริษัทฯยังเน้นการที่บริหารจัดการให้มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ บริหารสินค้าคงคลังให้น้อยกว่า 100 วันจากปีก่อนที่สินค้าคงคลังอยู่ที่ 108 วัน ส่วนวัตถุดิบอย่างราคาปลาทูน่าขณะนี้ได้ปรับตัวลดลงต่ำกว่า 1,000 เหรียญสหรัฐ/ตันแล้ว จากปลายปีก่อนที่ราคาปลาทูน่าปรับขึ้นไปถึง 1,200 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะเดียวกันก็จะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ระดับ 14-16%จากปี2552 ที่อยู่ระดับ 15.1% และอัตรากำไรสุทธิไว้ที่ระดับ 5%

รวมทั้งเร่งควบรวม 2 บริษัทย่อยในสหรัฐฯให้แล้วเสร็จในกลางปีนี้ เพื่อให้เกิดSynergy ระหว่างกันส่งผลให้ต้นทุนการผลิตต่ำลง เพราะมีการควบรวมทีมบริหารของ 2 บริษัทย่อยเข้าด้วยกัน และมีการเฝ้าติดตามอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด ยอมรับว่าหากค่าเงินบาทยังอยู่ที่ระดับ 33 บาท/เหรียญสหรัฐ การส่งออกไทยยังไปได้ดี แต่ถ้าบาทแข็งค่าเกินกว่า 33 บาท ผู้ส่งออกคงลำบาก

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรายได้ของบริษัทเป็นรูปเงินเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 89% ส่วนต้นทุนวัตถุดิบเป็นรูปเงินเหรียญสหรัฐ 62% ส่วนที่เหลือเป็นรูปเงินบาท จึงทำให้บริษัทสามารถจัดการบริหารได้ไม่ยาก

ในปีนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้น แต่จะระมัดระวังอย่างใกล้ชิดเนื่องจากเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว รวมทั้งมองหาลู่ทางการลงทุนใหม่และช่องทางการขยายธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโต โดยบริษัทฯมีความสามารถในการลงทุนถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจุบันมีอัตราหนี้สินต่อทุนค่อนข้างต่ำอยู่ที่ 0.7 เท่า ทั้งนี้ บริษัทฯไม่ได้มีการซื้อกิจการหรือควบรวม (M&A)มาเป็นระยะเวลา 3 ปีแล้ว จากในอดีตการเติบโตแบบก้าวกระโดดของTUF มาจากการซื้อกิจการเพื่อสร้างฐานธุรกิจ

ส่วนผลกระทบเศรษฐกิจในยุโรปช่วงนี้ ปรากฎว่ายอดขายของบริษัทยังเติบโตดีอยู่ ซึ่งสนับสนุนความคิดว่าหากเศรษฐกิจไม่ดี สินค้าของบริษัทฯยิ่งขายดี ปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากตลาดยุโรป 13% แต่ตลาดสหรัฐกัยังคงเป็นตลาดหลักของบริษัทสัดส่วน 49% ของรายได้

นายธีรพงศ์ กล่าวต่อถึงงบการลงทุนในปี 2553 ว่า บริษัทฯกำหนดงบลงทุนไว้ 2,400 ล้านบาท แบ่งเป็น 1,200 ล้านบาทเพื่อใช้ลงทุนห้องเย็นขนาด 4 หมื่นตัน ซึ่งเป็นแผนต่อเนื่อง 2 ปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในปลายปีนี้ ส่วนที่เหลือเป็นการลงทุนปกติ ส่วนจะมีการลงทุนเพื่อซื้อกิจการหรือควบรวมกิจการหรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้
กำลังโหลดความคิดเห็น