นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนียน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TUF เปิดเผยว่า ผลประกอบการปีนี้ของบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้นทำสถิตสูงสุด(นิวไฮ)นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ซึ่งคาดว่าจะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 100% จากค่าเฉลี่ยเดิมของบริษัทที่อยู่ 2,000 ล้านบาท เนื่องจาก เศรษฐกิจโลกมีการปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้การส่งออกสินค้าของบริษัทมีการเติบโตต่อเนื่อง โดยทุกสินค้าของบริษัทที่มีการผลิตนั้นมียอดขายเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ปลาทูน่า กุ้ง อาหารแมวบรรจุกระป๋องฯลฯ และที่ผ่านมาบริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์โดยจะเน้นขายสินค้าที่มีกำไรสูง เช่น อาหารพร้อมปรุงมากขึ้น
นอกจากนี้บริษัทได้มีการลดต้นทุนในการดำเนินงานโดยการปิดโรงงานที่ซามัวร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้บริษัทไม่มีค่าใช้จ่ายดังกล่าวหรือประมาณ 16 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 400 ล้านบาท และบริษัทได้มีการควบรวมบริษัทย่อยทำให้บริษัทมีการบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นจากทีมบริหารเพียง 1 ทีมเท่านั้น และรวมถึงบริษัทได้มีการกระจายการขายสินค้าไปประเทศอื่นๆเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในแถบภูมิภาคแฟริกา ยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง จึงทำให้กำไรสุทธิปีนี้ของบริษัทมีการเติบโตที่สูง
สำหรับในปี 2552 บริษัทคาดว่าจะมีกำไรสุทธิทะลุ 3,000 ล้านบาท เนื่องจาก งวด9 เดือนแรกบริษัทมีกำไรสุทธิ 2,600 ล้านบาท เพราะซึ่งในไตรมาส4/52 กำไรของบริษัทมีการปรับตัวดีขึ้น จากที่บริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์ในการเน้นขายสินค้าที่มีกำไรที่สูง ถึง 80% ของยอดขาย เช่น อาหารพร้อมปรุง ส่วนสินค้ากุ้งดิบ กุ้งปลอกเปลือกนั้นบริษัทจะไม่มีการจำหน่ายแล้ว
"กำไรสุทธิปี52ของบริษัทน่าจะทะลุ 3 พันล้านบาท ซึ่งถือว่าปรับตัวสูงสุดของบริษัท แต่ปี53นั้น กำไรของบริษัทยังคงปรับตัวสูงขึ้นและทำนิวไฮด์ต่อเนื่อง จากความต้องการสินค้าที่เติบโตและบริษัทได้มีการเน้นขายสินค้าที่มีมูลค่าสูงทำให้มีกำไรที่ดี อีกทั้งได้มีการกระจายการจำหน่ายสินค้ามากขึ้นโดยเน้นแถบยุโรป พร้อมกันนี้เราได้มีการลดต้นทุนการดำเนินงาน ทำให้บริษัทมีเป้าหมายระยะกลางที่จะมีรายได้ 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2555 " นายธีรพงศ์ กล่าว
ขณะเดียวกัน บริษัทตั้งเป้าที่จะสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น (ROE)ไม่ต่ำกว่า 20% และสร้างผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA)ไม่ต่ำกว่า 10% ซึ่งบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง ในอัตรา 50% ของกำไรสุทธิ ซึ่งบริษัทคาดว่าในจะมีการจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งปีหลังปี 2552 มากกว่าครึ่งปีแรกปีก่อนที่มีการจ่าย 0.92 บาทต่อหุ้น โดยในปีที่ผ่านมานั้นราคาหุ้นของบริษัทนั้นถือว่ามีการปรับตัวลงต่ำกว่าตลาดโดยมีค่าP/E เพียง 7-8 เท่า ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานของบริษัท
นอกจากนี้บริษัทได้มีการลดต้นทุนในการดำเนินงานโดยการปิดโรงงานที่ซามัวร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้บริษัทไม่มีค่าใช้จ่ายดังกล่าวหรือประมาณ 16 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 400 ล้านบาท และบริษัทได้มีการควบรวมบริษัทย่อยทำให้บริษัทมีการบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นจากทีมบริหารเพียง 1 ทีมเท่านั้น และรวมถึงบริษัทได้มีการกระจายการขายสินค้าไปประเทศอื่นๆเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในแถบภูมิภาคแฟริกา ยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง จึงทำให้กำไรสุทธิปีนี้ของบริษัทมีการเติบโตที่สูง
สำหรับในปี 2552 บริษัทคาดว่าจะมีกำไรสุทธิทะลุ 3,000 ล้านบาท เนื่องจาก งวด9 เดือนแรกบริษัทมีกำไรสุทธิ 2,600 ล้านบาท เพราะซึ่งในไตรมาส4/52 กำไรของบริษัทมีการปรับตัวดีขึ้น จากที่บริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์ในการเน้นขายสินค้าที่มีกำไรที่สูง ถึง 80% ของยอดขาย เช่น อาหารพร้อมปรุง ส่วนสินค้ากุ้งดิบ กุ้งปลอกเปลือกนั้นบริษัทจะไม่มีการจำหน่ายแล้ว
"กำไรสุทธิปี52ของบริษัทน่าจะทะลุ 3 พันล้านบาท ซึ่งถือว่าปรับตัวสูงสุดของบริษัท แต่ปี53นั้น กำไรของบริษัทยังคงปรับตัวสูงขึ้นและทำนิวไฮด์ต่อเนื่อง จากความต้องการสินค้าที่เติบโตและบริษัทได้มีการเน้นขายสินค้าที่มีมูลค่าสูงทำให้มีกำไรที่ดี อีกทั้งได้มีการกระจายการจำหน่ายสินค้ามากขึ้นโดยเน้นแถบยุโรป พร้อมกันนี้เราได้มีการลดต้นทุนการดำเนินงาน ทำให้บริษัทมีเป้าหมายระยะกลางที่จะมีรายได้ 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2555 " นายธีรพงศ์ กล่าว
ขณะเดียวกัน บริษัทตั้งเป้าที่จะสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น (ROE)ไม่ต่ำกว่า 20% และสร้างผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA)ไม่ต่ำกว่า 10% ซึ่งบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง ในอัตรา 50% ของกำไรสุทธิ ซึ่งบริษัทคาดว่าในจะมีการจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งปีหลังปี 2552 มากกว่าครึ่งปีแรกปีก่อนที่มีการจ่าย 0.92 บาทต่อหุ้น โดยในปีที่ผ่านมานั้นราคาหุ้นของบริษัทนั้นถือว่ามีการปรับตัวลงต่ำกว่าตลาดโดยมีค่าP/E เพียง 7-8 เท่า ต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานของบริษัท
