xs
xsm
sm
md
lg

5ปีแม้วรวย 8 แสนล. กมม.กระตุ้นคนไทย จับตาคดียึดทรัพย์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - วงสัมมนาพรรคการเมืองใหม่ เรียกร้องคนไทยจับตาคดียึดทรัพย์ นช.แม้ว 7.6 หมื่นล้าน "ปานเทพ" ระบุจะเป็นประวัติศาสตร์และบรรทัดฐานที่ใช้ส่วนกำไรมาเป็นบทลงโทษได้หรือไม่ ถาม “แม้ว”นั่งนายกฯ 5 ปี รวยอะไรทำกำไรถึง 8 แสนล้าน ขณะที่น้องเดียวตื่นแล้ว เผยจะเริ่มใช้สื่อรัฐให้ข้อมูลคดีแม้ว 8 ก.พ.นี้

วานนี้ (3ก.พ.) ที่พรรคการเมืองใหม่ ถ.พระสุเมรุ ย่านสะพานวันชาติ จัดสัมมนาเวทีประชาชนกำหนด (Pepople Forum) หัวข้อ “เหลียวหลังแลหน้าคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน” โดยมีนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายสุนันท์ ศรีจันทรา คอลัมนิสต์อิสระ และนายประพันธ์ คูณมี ผู้อำนวยการพรรคการเมืองใหม่ ร่วมเสวนา

นายปานเทพ กล่าวว่า คดีการยึดทรัพย์ของนช.ทักษิณชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนทุจริตเชิงนโยบาย จนนำไปสู่การตรวจสอบ ซึ่งที่ผ่านมาเชื่อว่ามีการโอนหุ้นกันในระหว่างครอบครัวในลักษณะนิติกรรมอำพราง เพราะไม่เคยมีหลักฐานเลยที่แสดงว่านายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย อดีตนายกรัฐมนตรี มีการซื้อขายหุ้นในเครือ บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จริง ดูได้จากพฤติกรรมการโอนหุ้นที่นำเงินปันผลมาใช้ชำระหนี้ในการซื้อหุ้นจากมารดาเท่ากับว่าไม่ได้มีการซื้อขายจริง อย่างไรก็ตามคดีนี้จะเป็นคดีประวัติศาสตร์ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร และกลายเป็นบรรทัดฐานในอนาคตของประเทศ

“มีคนตั้งข้อสงสัยกรณีที่ลูก คือนายพานทองแท้ ย่อมถือหุ้นแทนพ่อแม่ กลัวคนจะรู้ก็สร้างหนี้ยัดหนี้ให้ลูก และให้ลูกโอนปันผลไปเรื่อย ๆจนกว่าจะขายหุ้น ถือว่าผิดกฎหมายหรือไม่ ทำไมลูกถึงไม่เคยเรียกเก็บหนี้จากพ่อแม่ที่เกินมา และไม่เคยคืนหนี้ที่เกินมาให้พ่อ ปฏิบัติการผองถ่ายหุ้นสัมปทานและยัดหนี้ให้ลูกจึงเกิดอย่างรวดเร็วเพียง 2 วัน คืนวันที่ 30 ส.ค.2543 “เป็นวันแม่ยัดหนี้ให้ลูก”และวันที่ 1 ก.ย.2543 เป็นวัน “โอนหุ้นให้ลูกเพื่อรอวันปันผลคืนให้แม่ เท่ากับว่าพานทองแท้ ต้องเป็นหนี้แม่ 4,500 ล้านบาท แต่เป็นหนี้เกินความเป็นจริง 3,000 ล้านบาท”นายปานเทพกล่าว

ทั้งนี้ ประกอบกับพานทองแท้ ที่เป็นผู้ถือหุ้นของแอมพิลริช แต่ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และดีเอสไอ กลับพบหลักฐานชัดเจนว่า วินมาร์คและแอมเพิลริชเป็นของพ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานโดยในปี 2548 ที่พ.ต.ท.ทักษิณขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหนังสือรับรองของบริษัทแอมเพิลริช ระบุว่า “ การถอนเงินใด ๆ จะต้องได้รับมอบอำนาจจาก ดร.ที ชินวัตร เท่านั้น”

นายปานเทพ กล่าวว่า แสดงให้เห็นว่าเป็นการถือหุ้นสัปทานรัฐแทนพ่อแม่ เป็นการปันผลที่ซุกหุ้นใช่หรือไม่ หรือกรณีของบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายคนโตคุณหญิงพจมาน ก็ยืมเงินจากคุณหญิงพจมานมาซื้อหุ้น และไม่เคยคืนใน 3-4 ปี พอปันผลถึงก็เอามาคืน แต่ใช้วิธีแยกบัญชีเพื่อให้เห็นว่าเป็นการเตรียมคืน หรือกรณีของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ค้างเงินคุณหญิงพจมาน และค้างเงินถึง 20 ล้านบาทเอาไว้ซื้อหุ้น คนก็สงสัยว่า เป็นการเอาเงินมาติดหนี้ กลายป็นการปันผลว่า เกินหนี้จนมีวิธีการขีดฆ่า ตรงนี้ถือว่าสะท้อนเจตนาอะไร ใช่หรือไม่ เป็นต้น

“กรณีนช.ทักษิณ ออกมาบอกว่า เขาหากินมารวยก่อนหน้าแล้ว หากผมสมมติว่าหากินมาโดยสุจริตได้เงินมาหนึ่งล้านบาท และสมมติว่าหากเอาเงินหนึ่งล้านบาทไปลงทุนซื้อมาขายไปกับยาเสพติด และหากเขาถูกจับได้ จะมาบอกว่า ให้ยึดทรัพย์เพียงเงินที่ได้จากกำไรค้ายาเสพติด ไม่ควรยึดจากเงินทั้งก้อนที่ทำสุจริตมา ถามว่าหากยึดเอาเงินจากต้นทุนที่ร่วมซื้อขายยาเสพติดด้วยได้หรือไม่ เพราะถือว่าเงินก้อนนั้นเป็นเงินที่ร่วมกระทำความผิดโดยสมบูรณ์”

นายปานเทพ กล่าวอีกว่า ดังนั้นอย่ามาพูดว่า รวยมาก่อนเป็นนักการเมือง เพราะหากเข้ามาและทำให้รัฐร่ำรวย แต่ให้ตัวเองเข้ามาลงทุนมากกว่ากว่า 2 แสนล้านบาทจะคิดอย่างไร ดังนั้นเชื่อว่าคดียึดทรัพย์ จะเป็นคดีประวัติศาสตร์ และเป็นความสำคัญให้เห็นว่า เงินเป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่สามารถถูกยึดหรือไม่ และเป็นบรรทัดฐานว่า การคิดส่วนกำไรเพื่อยึดทรัพย์ จะมีหรือไม่มีบทลงโทษเลยใช่หรือไม่”

ทั้งนี้ หากคิดตามคำอธิบายของนายสิทธิชัย โภไคยอุดม อดีตรมว.ไอซีที โดยเฉพาะความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรัฐในกรณีของการนำพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บได้จากกิจการการโทรคมนาคมของเอกชนไปคืนให้กับเอกชนเพื่อนำไปหักลดค่าสัมปทานกิจการ จะพบว่า กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเข้ามาแก้สัญญาให้รัฐได้ประโยชน์น้อยลงไม่ใช่เพียงบริษัทในเครือ บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เท่านั้นมีการลดค่าสัมปทานในกลุ่มธุรกิจ

กรณีเดียวกันยังมีกรณีของเอกสารที่รายงานต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.)ที่พบว่า มีผู้ถือหุ้นเกิน มีการซ่อน มีการซุก ตรงนี้ถือว่าผิดกฎหมายหรือไม่ มีการหลีกเลี่ยงภาษีไม่จ่ายภาษีมาตั้งปต่ปี 2543-52 รวมกว่า 8 ปี ถือว่าเป็นการหลบเลี่ยงภาษีหรือไม่ ซึ่งยังไม่รวมกับเรื่องที่ทุจริตในหลาย ๆกิจการที่ไม่ปรากฎ ซึ่งยังมีตัวเลขที่ไม่ได้ถูกอายัดไว้ทั้งสิ้น เช่น เงินที่เข้าไปลงทุนเหมืองเพชร เหมืองทองคำ เครื่องบินส่วนตัว เป็นต้น

“ผมเชื่อว่าเงิน 7.6 หมื่นล้านบาท เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งไม่เชื่อว่า นช.จะมีเงินเพียงเท่านี้ หมายความว่า เงินส่วนนั้นไม่ได้แจ้งทางบัญชี ก่อนเข้ามาเป็นนักการเมือง และไม่เชื่อว่าเงินที่ลงทุนต่าง ๆนานา ไม่ใช่เงินจากการปันผลจากการขายหุ้นเท่านั้น ”

**แม้วพลาดใช้คดียึดทรัพย์ทำลายตัวเอง

นายสุนันท์ กล่าวว่า คดีนี้ถือเป็นจุดสำคัญจุดแตกหักทางการเมือง และเป็นสัญลักษณ์สำคัญในการต่อสู้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ดูเหมือนว่าะเอาคดีนี้มาเดิมพันการต่อสู้ของตนเองในครั้งนี้ แต่จริงๆ แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้หวังเงินก้อนนี้ แต่ขอสู้เพื่อกลับมามีอำนาจใหม่ เพราะถ้ากลับมาได้ภายใน 2 ปีนี้ ก็สามารถกลับมาทำเงินได้มากกว่า 7.6 หมื่นล้าน และกลับมาเช็คบิลคนที่จัดการกับตัวเอง

ทั้งนี้เคยมีการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของพ.ต.ท.ทักษิณ พบว่ามี 2-3 หมื่นล้านบาท และหลังจากพ้นตำแหน่ง มีคนเคยพูกว่า เขามีทรัพย์สิน 3 แสนล้านบาท 6 แสนล้านบาท และล่าสุดออกมาระบุว่า เขามีทรัพย์สินถึง 8 แสนล้านบาท และเขายังถูดอายัดเงินอีกหลายหมื่นล้านถึงหลายแสนล้านบาท โดยเฉพาะในสิงคโปร์ อังกฤษซึ่งยังไม่นับกรณีของการลงทุนกับกลุ่มดูไบเวิล์คหรือที่อื่น ๆ ดังนั้นต้องข้อสังเกตได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณร่ำรวยมาจากไหน ทั้งที่ดำรงตำแหน่งนายกฯมาเพียง 5 ปีเท่านั้น

“ถือว่ามีสารพัดโกง สมัยทักษิณ หากซื้อของ 100บาทจะต้องคืนเงินทอนให้กับคนตระกูลนี้ 95 บาท เชื่อได้ว่าเป็นไปได้ จะเห็นได้จากโครงการจัดซื้อรถเข็นในสนามบินสุวรรณภูมิ 9 พันคัน แต่ที่เอามาจริง ๆ มีเพียง 3 พันคันเท่านั้น พอเรื่องจะแตก คือเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล พอใกล้ตัวก็บอกว่ารถหาย มีผู้โดยสารไปขโมยรถออกมาบ้าง หายบ้างถามว่าหายทีเดียว 6 พันคันจะเป็นไปได้หรือไม่ เรื่องนี้ก็ไม่มีใครไปค้นหา เพราะถ้าไปตรวจสอบคนจะติดคุกกันเยอะ

ทั้งนี้ เชื่อว่า หลังจากการตัดสินคดียึดทรัพย์ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ จะมีเหตุวุ่นวายเกิดขึ้นจากกลุ่มผู้สนับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่รัฐบาลจะยังไม่ทำอะไร จนกว่าจะมีประชาชนอีกฝั่งลุกขึ้น เรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาจัดการ ถึงเวลานั้นรัฐบาลจะอ้างความชอบธรรม เพื่อจับแกนนำมาดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งแต่ละคนต่างมีคดีติดตัวอยู่หลายคดี

“กรณียึดทรัพย์ 7.6หมื่นล้าน เชื่อว่า ทักษิณเขาก็อยากได้คืน เพราะเป็นคนที่ ไม่ยอมเสียเงินตัวเองให้ใคร แม้จะโกงหรือปล้นมา เขาจะยั้วจะโกรธ เขาไม่ยอมเสียเงินให้ใครง่าย ๆ คดีนี้จึงอาจนำไปสู่จุดแตกหักทางการเมืองรอบนี้เชื่อว่าจะสนุก ส่วนที่บอกว่าจะฆ่ากันหรือตีกัน ผมว่ามีแนวโน้ม แต่โอกาสที่เสื้อแดงจะถูกไล่ตีมากกว่า และเชื่อว่าทักษิณอาจจะจบในคดีนี้ เพราะไปพลาดที่นำมาต่อสู้ จริงๆเขาต้องการกลับมามีอำนาจใหม่ ภายใน 1-2 ปี เงินจะมีมากกว่า 7.6 หมื่นล้าน คือจะเข้ามากินกันต่อ เห็นได้จากความปรารถนาของเขาที่จะเข้ามาแก้แค้น แต่ผมกลับเห็นว่า โอกาสที่จะเข้ามาวิธีเดียวคือ นอนมา” นายสุนันท์

นายสุนันท์ กล่าวว่า แม้ภาพรัฐบาลขณะนี้จะถือว่าหน่อมแหน่ม แตื่อว่าหากคนเสื้อแดงล้ำเส้นเมื่อไร เมื่อถึงจุดนั้น ความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงก็มีมากขึ้น เชื่อว่าคนอย่างนายอภิสิทธิ์ จะทำอะไรก็ต้องทำภายใต้กฎหมาย แต่จะไม่ใช้วิธีกฎหมู่ และเชื่อว่า ถ้าคนเสื้อแดงถูกปราบปรามจะถึงขั้นถูกจับเข้าคุกทันที รัฐบาลคงอ่านขาด รอดูสถานการณ์ ที่สุกงอม หากจับทหารเลว พวกหัวขวดไม่เกิน 50 คน ถามว่าคนเสื้อแดง จะมีฤทธิ์ต่อ หรือไม่ หากมีการทำจริง เชื่อคนพวกนี้ก็คงจะหนีไปอยู่เขมรกันเยอะ”

**เปิดงานวิจัย 13 ตระกูลธุรกิจการเมือง

ขณะที่นายประพันธ์ กล่าวว่า พรรคการเมืองในประเทศไทยปัจจุบัน ล้วนแต่เป็นของนายทุน มีการเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจตัวเองหลายอย่าง กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ เห็นได้ชัดในหลายเรื่อง เช่น การเก็บภาษีสรรพสามิตในธุรกิจโทรคมนาคม ที่ทำให้รัฐต้องเสียรายได้เป็นจำนวนมาก คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีถือเป็นบุคคลที่มีอำนาจในมือมาก ดังนั้นต้องไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้อง แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับทำหลายเรื่องที่ขัดต่อกฎหมาย อย่างไรก็ตามไม่รู้ว่าผลที่จะออกมาเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าสำนวนที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้องในคดีนี้สามารถเอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณได้

มีงานวิชาการระบุว่า ปี2544-48 ที่กลุ่มตระกูลธุรกิจที่โยงใยทางการเมืองใน 13 ตระกูล สมัย นช.ทักษิณ ประกอบด้วย ตระกูลชินวัตร ตระกูลกาญจนพาสน์ ตระกูลเจียรวนนท์ ตระกูลตรีวิศวเวทย์ ตระกูลทีปสุวรรณ ตระกูลเบญจรงคกุล ตระกูลโพธารามิก ตระกูลมาลีนนท์ ตระกูลว่องกุศลกิจ ตระกูลวิไลลักษณ์ เป็นต้น

ทั้ง 13 ตระกูล ในยุครัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พบว่าผลตอบแทนจากการเข้าสู่การเมืองของตระกูลชินวัตร มีอัตราตอบแทนจากการถือหุ้นสูงกว่าบริษัทอื่นถึงร้อยละ 141 จุด ส่วนบริษัทจดทะเบียนที่มีสายสัมพันธ์กับรัฐมนตรี มีผลกำไรสูงกว่าระดับเฉลี่ยร้อยละ 18.56 จุด คือจะต้องได้กำไร 141บาทต่อหุ้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจนี้กลับต้องผลกำไรต่อปีถึงร้อยละ 208.1ซึ่งเป็นวิธีการที่เข้ามาเอื้อประโยชน์กับธุรกิจตัวเอง จะเห็นได้จาดการหาประโยชน์จากโครงการใหญ่ ๆที่เรียกเก็บเปอร์เซ็นต์ 7-10% แต่ธุรกิจที่ไม่ได้โยงใสทางการเมืองจะได้กำไรเพียง 18 บาทต่อหุ้นจะเห็นได้กลุ่มที่ไม่มีอำนาจทางการเมืองเขาได้กำไรเพียงเล็กน้อย ทำให้เห็นว่าธุรกิจหุ้นที่ได้ประโยชน์เกิดขึ้นในปี 2544-2546 ที่เกี่ยวโยงทางการเมืองทั้งสิ้น โดยเฉพาะการเข้ามาแก้สัญญาให้รัฐได้ประโยชน์น้อยลง

(ทั้งนี้งานวิจัยเรื่อง "แรงจูงใจและผลตอบแทนทางธุรกิจจากการเข้าสู่อำนาจการเมือง" โดยเปรียบเทียบจาก "ตระกูลเจ้าสัว" 100 ตระกูลที่เล่นการเมืองและไม่เล่นการเมือง เห็นว่า13 ตระกูลที่เล่นการเมือง มีทรัพย์สินเฉลี่ย 4,418.46 ล้านเหรียญฯ)

**เทือกเชื่อ“จิ๋ว”เดาเอาเองยึดครึ่งเดียว

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง และ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมากล่าวถึงคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่อาจจะยึดไม่หมด เหลือคืนบางส่วน ดูจะเป็นการชี้นำการพิจารณาของศาลนั้น ตนไม่มองว่ามีนัยยะอะไร คิดว่าท่านคงคาดการณ์เอาตามความคิดของท่าน คงไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นเรื่องถูกหรือผิด คนคาดการณ์ก็คาดการณ์ไปต่างๆ นานา

"ผมไม่ไปวิจารณ์อะไรที่ใกล้เคียง หรือเกี่ยวข้องไป ถึงศาล เพราะผมเป็นคนที่ถูกสอนในเคารพ เชื่อในระบบศาล ผมก็เชื่อมั่นในระบบศาลสถิตยุติธรรมของประเทศไทย" นายสุเทพกล่าว

**พี่แม้ว เชื่อน้องได้ความเป็นธรรม

พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวถึงการตัดสินคดียึดทรัพย์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่า เราต้องมั่นใจกระบวนการยุติธรรม เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงย้ำในเรื่องความเป็นธรรม ตนคิดว่ากระบวนการยุติธรรมก็ต้องยุติธรรม หากตนพูดมากไปก็ไม่ดี เพราะนามสุกลชินวัตร แต่ประชาชนทุกคนอยากเห็นความเป็นธรรม ส่วนการที่อดีตคตส.ระบุว่าการยึดทรัพย์ต้องยึดทั้งหมดนั้น ตนคิดว่าพวก คตส.คือศัตรูที่ตั้งมาตรวจสอบไม่ใช่องค์กรกลาง ธงเขามีแบบนั้นเขาก็ต้องไปแบบนั้น แต่พอมาถึงศาลตนคิดว่าศาลมีความยุติธรรม ศาลพิเคราะห์ได้

**น้องเดียวตื่นใช้สื่อรัฐแจง 8 ก.พ.

นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในสัปดาห์หน้าเครือข่ายสื่อของรัฐจะเสนอรายการเพื่อการชี้แจงในหลากหลายรูปแบบ ทั้งสกุ๊ป และเสวนา เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้รับทราบใน 2 เรื่อง คือคดีของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่มีการโจมตีว่าพิจารณา 2 มาตรฐานหรือไร้มาตรฐาน ทั้งมีการให้ร้ายกระบวนการยุติธรรม และคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และการดำเนินคดีกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง โดยรายการดังกล่าวมีกำหนดนำเสนอผ่านสื่อรัฐในวันที่ 8 - 25 ก.พ. นี้

ทั้งนี้วัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการบิดเบือน จนนำไปสู่การสร้างสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ประชาชนเข้าใจมากยิ่งขึ้น ยืนยันว่าการชี้แจงในรายการดังกล่าวไม่ต้องการให้เกิดความคลาดเคลื่อนทางการเมือง แต่ต้องการให้ประชาชนเข้าใจในสถานการณ์ต่าง ๆ และรัฐบาลไม่ได้ใช้สื่อรัฐมาเป็นเครื่องมือของตัวเอง โดยขณะนี้ได้มีการรวบรวมข้อมูลเพื่อนำเสนอต่อสาธารณ เนื่องจากที่ผ่านมาได้มีการปลุกระดมให้เกิดความสับสนมา โดยตลอดว่าการดำเนินคดีต่าง ๆไม่ยุติธรรม และมีการบิดเบือนแบบกระบวนการใต้ดิน เช่นทำใบปลิวเถื่อน ซีดีเถื่อน.
กำลังโหลดความคิดเห็น