ASTVผู้จัดการรายวัน - “ทักษิณ”ลงนามเอกสาร 162 หน้า ส่งทนายยื่นแถลงปิดคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน ย้ำข้อกล่าวหา คตส.แค่สันนิษฐาน ส่วนคดีความเป็นเรื่องการเมือง ยันทรัพย์โอนให้ครอบครัวหมดก่อนเป็นนายกฯ ส่วนเงินขายหุ้นไม่ใช่การทุจริต ขอให้ศาลยกฟ้อง-เพิกถอนอายัด
วานนี้ (21 ม.ค.)เวลา 13.30 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายฉัตรทิพย์ ตัณฑ์ประศาสน์ และนายพลพีร์ ตุลยสุวรรณ ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกกล่าวหาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท พร้อมคณะ เดินทางมายื่นคำแถลงปิดคดีก่อนที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะอ่านพิพากษาในวันที่ 26 ก.พ.นี้ เวลา 13.00 น.
โดยคำแถลงปิดคดีความยาว 162 หน้า ที่ลงลายมือชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ สรุปว่า ข้อกล่าวหาทั้งหมดของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นพียงการสันนิษฐาน คาดเดา และการจงใจบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยไม่มีมูลความจริง ปราศจากหลักฐานสนับสนุนข้อกล่าว และขัดแย้งกับเอกสารทั้งหมดของราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งขัดแย้งคำเบิกความของพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐทุกหน่วยงาน จึงไม่มีเหตุที่จะฟังว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาให้บุตรและญาติพี่น้องถือหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ไว้แทนโดยไม่เชื่อว่ามีการซื้อขายหุ้นจริง แต่ปรากฏข้อเท็จจริงชัดแจ้งจากทั้งพยานบุคคลและเอกสาร ตลอดจนพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องว่า เงินที่ได้จากการขายหุ้นทั้งหมดจำนวน 69,722,880,932.05 บาท และเงินปันผลอีกจำนวน 6,898,722,129 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 76,621,603,061.05 บาทในคดีนี้ เป็นเงินของผู้ที่รับโอนหุ้นจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาและคู่สมรสจริง ไม่ใช่เงินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาและคู่สมรสอย่างแน่นอน จึงไม่ใช่เงินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ อัยการสูงสุด ผู้ร้องคดีนี้จึงไม่มีสิทธินำมาร้องขอให้เงินนั้นตกเป็นของแผ่นดิน
ที่สำคัญข้อเท็จจริงยุติจากการไต่สวนแล้วว่า การออกมาตรการต่างๆ ทั้ง 5 ข้อ ( 1.การแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคม เป็นภาษีสรรพาสามิต ด้วยการตรา พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพาสามิต (พ.ศ.2527) พ.ศ.2546 2.กรณีแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (CELLULAR MOBILE TELEPHONE) เมื่อวันที่ 15 พ.ค.44 ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ ที่ต้องจ่ายให้ บ.ทศท จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (มือถือ) แบบบัตรเติมเงิน หรือ Prepaid Card ให้บริษัท AIS เป็นร้อยละ 20 จากเดิมที่ต้องจ่ายแบบอัตราก้าวหน้าในอัตราร้อยละ 25-30 3.กรณีแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (CELLULAR MOBILE TELEPHONE) เมื่อวันที่ 20 ก.ย.45 ปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วม (Roaming) เอื้อประโยชชน์ชินคอร์ป และ AIS โดยแก้ไขให้ AIS เข้าไปใช้เครือข่ายร่วมผู้ให้บริการรายอื่นที่มีผลให้ AIS ไม่ต้องจ่ายเงินกว่า 18,970,579,711 บาท ให้กับ บ.ทศท และ กสท
กรณีอนุมัติโครงการยิงดาวเทียม IP STAR การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ลงวันที่ 27 ต.ค.47 การอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทน ดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ เอื้อประโยชน์ บ.ชินคอร์ป และ บ.ชินแซทเทิลไลท์ จำกัด และ 5.กรณีอนุมัติให้รัฐบาลสหภาพพม่า กู้เงินธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือเอ็กซิมแบงก์ จำนวน 4,000 บาทในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน และขยายเวลาปลอดการชำระหนี้ จาก 2 เป็น 5 ปี เพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์การพัฒนาระบบโทรคมนาคมของพม่า จาก บ.ชินแซทฯ) ไม่ได้ทำให้หุ้น บมจ.ชินคอร์ป มีราคาสูงขึ้นผิดปกติ แต่ราคาหุ้นขึ้นลงไปทิศทางเดียวกันกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในอัตราที่ใก้ลเคียงกันตลอดเวลา ซึ่งเงินที่ได้จากการขายหุ้นทั้งหมดจึงไม่ใช่ทรัพย์ที่ได้มาจากการร่ำรวยผิดปกติ หรือได้ทรัพย์มาโดยไม่สมควรตามข้อกล่าว คำร้องดังกล่าวจึงไม่มีข้อเท็จจริงที่เข้าองค์ประกอบและหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งมาตรการ 5 ข้อนั้นพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างเบิกความสอดคล้องกันว่าเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน ไม่มีความเสียหายตามข้อกล่าวหาของ คตส.เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด โดยข้อเท็จจริงปรากฏต่อศาลแล้วว่า หุ้นบริษัทในคดีนี้เป็นของครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาที่ได้มาจากการทำมาหากินโดยสุจริตด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเป็นเวลาหลายสิบปีก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้าทำงานทางการเมือง และการขายหุ้นนั้นไม่ใช่เงินที่ได้มาโดยการทุจริต คดโกงประเทศชาติ หรือเบียดบังจากงบประมาณแผ่นดินหรือเงินอื่นใดของรัฐแม้แต่บาทเดียว
ท้ายคำแถลงปิดคดี พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุด้วยว่า ช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่เคยทุจริตใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ให้ประเทศชาติได้รับความเสียหาย และไม่เคยแม้แต่จะคิดทำการใดเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ยิ่งไปกว่าประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน การที่ถูกปฏิวัติรัฐประหารและตั้งข้อกล่าวหาในคดีนี้ เป็นเรื่องทางการเมืองทั้งสิ้น เมื่อข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ปรากฏต่อศาลว่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้กระทำผิด จึงขอให้ศาลโปรดมีคำพิพากาษายกคำร้องของอัยการสูงสุด และมีคำสั่งเพิกถอนการอายัดเงินและทรัพย์สินทั้งหมดที่ คตส. ได้มีคำสั่งอายัดไว้ในคดีนี้ ให้ผู้ถูกกล่าวหา และผู้คัดค้านอื่นที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงด้วย
**ทนายยังมั่นใจ 100% **
ขณะที่ นายฉัตรทิพย์ ตัณฑ์ประศาสน์ ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายก ฯ กล่าวว่า จากพยานหลักฐานที่ปรากฏในชั้นไต่สวน เรายังมั่นใจ 100% และยืนยันว่าทรัพย์สินที่ร้องในคดีได้มาโดยสุจริต ส่วนที่ก่อนหน้านี้มีการปล่อยข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีทรัพย์ซุกซ่อนในต่างประเทศ และมีส่วนหนึ่งที่ถูกยึดอายัดไว้ในประเทศอังกฤษนั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใดเป็นข่าวโคมลอย ที่ต้องการทำลายภาพลักษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ซุกซ่อนทรัพย์สินไว้ที่นั่นที่นี่ อย่างไรก็ดียืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีทรัพย์สินในต่างประเทศ
เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ประเมินหรือไม่ว่า คดีนี้จะถูกยึดทรัพย์ทั้งหมด หรือแค่บางส่วน นายฉัตรทิพย์ ทนายความกล่าวปฏิเสธว่าอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย ให้รอฟังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินดีกว่า ส่วนถ้าศาลจะมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินจริง ทรัพย์สินที่ใช้ซื้อที่ดินรัชดาภิเษก มูลค่า 772 ล้านบาทเศษ ก็จะไม่เกี่ยวกัน ซึ่งคดีที่ดินรัชดาฯ นั้น ขณะนี้ทนายความของคุณหญิงพจมานกำลังต่อสู้คดีที่กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน ยื่นฟ้องเรียกคืนที่ดิน ซึ่งศาลแพ่งนัดไต่สวนวันที่ 25 ม.ค.นี้ ส่วนบ้านของคุณหญิงพจมานในอังกฤษ ก็ไม่ใช่เงินส่วนเดียวกันกับการขายหุ้น
ด้าน นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล รองอธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ หนึ่งในคณะทำงานอัยการรับผิดชอบคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า การยื่นคำแถลงปิดคดีในส่วนของอัยการนั้น อยู่ระหว่างพิจารณาและจะดำเนินการภายในกำหนดนัดของศาลแน่นอน
**"อ้อ"แพ้ซ้ำสองฟ้องหมิ่น"นาม"**
วันเดียวกันเวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 611 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ในคดีหมายเลขดำที่ อ.1634/255 ที่คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ฟ้อง นายนาม ยิ้มแย้ม อดีตประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.), บริษัท สารสู่อนาคต จำกัด เจ้าของหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์, นายโรจน์ งามแม้น, นางกรรณิการ์ วิริยกุล กรรมการผู้มีอำนาจ และนายทวีสิน สถิตรัตนชีวิน บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และผิด พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ.2484 กรณีจำเลยที่ 1 แถลงข่าวกล่าวหาโจทก์และหนังสือพิมพ์ไทยโสต์นำลงไปตีพิมพ์ทำนองว่า การซื้อที่ดินรัชดาฯ ของโจทก์ “เหมือนโจรปล้นทรัพย์สินของเขามา เมื่อถูกจับได้ ทรัพย์ที่ได้ไปโดยผิดกฎหมายก็ต้องยึดและริบกลับมา” เหตุเกิดเมื่อวันที่ 30 ม.ค.50
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำพยานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง แล้วเห็นว่าข้อความตามฟ้องโจทก์เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ในฐานะประธาน คตส.กล่าวชี้แจงขั้นตอนการดำเนินคดีของ คตส.มิได้มีข้อความใดหมิ่นประมาทโจทก์ จึงพิพากษาให้ยกฟ้อง ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่าข้อความตามฟ้องเป็นการแถลงขั้นตอนการดำเนินคดีไม่เข้าข่ายหมิ่นประมาท ฟ้องโจทก์ไม่ครบองค์ประกอบความผิด อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืน.
วานนี้ (21 ม.ค.)เวลา 13.30 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายฉัตรทิพย์ ตัณฑ์ประศาสน์ และนายพลพีร์ ตุลยสุวรรณ ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกกล่าวหาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท พร้อมคณะ เดินทางมายื่นคำแถลงปิดคดีก่อนที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะอ่านพิพากษาในวันที่ 26 ก.พ.นี้ เวลา 13.00 น.
โดยคำแถลงปิดคดีความยาว 162 หน้า ที่ลงลายมือชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ สรุปว่า ข้อกล่าวหาทั้งหมดของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นพียงการสันนิษฐาน คาดเดา และการจงใจบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยไม่มีมูลความจริง ปราศจากหลักฐานสนับสนุนข้อกล่าว และขัดแย้งกับเอกสารทั้งหมดของราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งขัดแย้งคำเบิกความของพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐทุกหน่วยงาน จึงไม่มีเหตุที่จะฟังว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาให้บุตรและญาติพี่น้องถือหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ไว้แทนโดยไม่เชื่อว่ามีการซื้อขายหุ้นจริง แต่ปรากฏข้อเท็จจริงชัดแจ้งจากทั้งพยานบุคคลและเอกสาร ตลอดจนพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องว่า เงินที่ได้จากการขายหุ้นทั้งหมดจำนวน 69,722,880,932.05 บาท และเงินปันผลอีกจำนวน 6,898,722,129 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 76,621,603,061.05 บาทในคดีนี้ เป็นเงินของผู้ที่รับโอนหุ้นจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาและคู่สมรสจริง ไม่ใช่เงินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาและคู่สมรสอย่างแน่นอน จึงไม่ใช่เงินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ อัยการสูงสุด ผู้ร้องคดีนี้จึงไม่มีสิทธินำมาร้องขอให้เงินนั้นตกเป็นของแผ่นดิน
ที่สำคัญข้อเท็จจริงยุติจากการไต่สวนแล้วว่า การออกมาตรการต่างๆ ทั้ง 5 ข้อ ( 1.การแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคม เป็นภาษีสรรพาสามิต ด้วยการตรา พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพาสามิต (พ.ศ.2527) พ.ศ.2546 2.กรณีแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (CELLULAR MOBILE TELEPHONE) เมื่อวันที่ 15 พ.ค.44 ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ ที่ต้องจ่ายให้ บ.ทศท จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (มือถือ) แบบบัตรเติมเงิน หรือ Prepaid Card ให้บริษัท AIS เป็นร้อยละ 20 จากเดิมที่ต้องจ่ายแบบอัตราก้าวหน้าในอัตราร้อยละ 25-30 3.กรณีแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (CELLULAR MOBILE TELEPHONE) เมื่อวันที่ 20 ก.ย.45 ปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วม (Roaming) เอื้อประโยชชน์ชินคอร์ป และ AIS โดยแก้ไขให้ AIS เข้าไปใช้เครือข่ายร่วมผู้ให้บริการรายอื่นที่มีผลให้ AIS ไม่ต้องจ่ายเงินกว่า 18,970,579,711 บาท ให้กับ บ.ทศท และ กสท
กรณีอนุมัติโครงการยิงดาวเทียม IP STAR การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ลงวันที่ 27 ต.ค.47 การอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทน ดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ เอื้อประโยชน์ บ.ชินคอร์ป และ บ.ชินแซทเทิลไลท์ จำกัด และ 5.กรณีอนุมัติให้รัฐบาลสหภาพพม่า กู้เงินธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือเอ็กซิมแบงก์ จำนวน 4,000 บาทในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน และขยายเวลาปลอดการชำระหนี้ จาก 2 เป็น 5 ปี เพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์การพัฒนาระบบโทรคมนาคมของพม่า จาก บ.ชินแซทฯ) ไม่ได้ทำให้หุ้น บมจ.ชินคอร์ป มีราคาสูงขึ้นผิดปกติ แต่ราคาหุ้นขึ้นลงไปทิศทางเดียวกันกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในอัตราที่ใก้ลเคียงกันตลอดเวลา ซึ่งเงินที่ได้จากการขายหุ้นทั้งหมดจึงไม่ใช่ทรัพย์ที่ได้มาจากการร่ำรวยผิดปกติ หรือได้ทรัพย์มาโดยไม่สมควรตามข้อกล่าว คำร้องดังกล่าวจึงไม่มีข้อเท็จจริงที่เข้าองค์ประกอบและหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งมาตรการ 5 ข้อนั้นพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างเบิกความสอดคล้องกันว่าเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน ไม่มีความเสียหายตามข้อกล่าวหาของ คตส.เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด โดยข้อเท็จจริงปรากฏต่อศาลแล้วว่า หุ้นบริษัทในคดีนี้เป็นของครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาที่ได้มาจากการทำมาหากินโดยสุจริตด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเป็นเวลาหลายสิบปีก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้าทำงานทางการเมือง และการขายหุ้นนั้นไม่ใช่เงินที่ได้มาโดยการทุจริต คดโกงประเทศชาติ หรือเบียดบังจากงบประมาณแผ่นดินหรือเงินอื่นใดของรัฐแม้แต่บาทเดียว
ท้ายคำแถลงปิดคดี พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุด้วยว่า ช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่เคยทุจริตใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ให้ประเทศชาติได้รับความเสียหาย และไม่เคยแม้แต่จะคิดทำการใดเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ยิ่งไปกว่าประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน การที่ถูกปฏิวัติรัฐประหารและตั้งข้อกล่าวหาในคดีนี้ เป็นเรื่องทางการเมืองทั้งสิ้น เมื่อข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ปรากฏต่อศาลว่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้กระทำผิด จึงขอให้ศาลโปรดมีคำพิพากาษายกคำร้องของอัยการสูงสุด และมีคำสั่งเพิกถอนการอายัดเงินและทรัพย์สินทั้งหมดที่ คตส. ได้มีคำสั่งอายัดไว้ในคดีนี้ ให้ผู้ถูกกล่าวหา และผู้คัดค้านอื่นที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงด้วย
**ทนายยังมั่นใจ 100% **
ขณะที่ นายฉัตรทิพย์ ตัณฑ์ประศาสน์ ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายก ฯ กล่าวว่า จากพยานหลักฐานที่ปรากฏในชั้นไต่สวน เรายังมั่นใจ 100% และยืนยันว่าทรัพย์สินที่ร้องในคดีได้มาโดยสุจริต ส่วนที่ก่อนหน้านี้มีการปล่อยข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีทรัพย์ซุกซ่อนในต่างประเทศ และมีส่วนหนึ่งที่ถูกยึดอายัดไว้ในประเทศอังกฤษนั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใดเป็นข่าวโคมลอย ที่ต้องการทำลายภาพลักษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ซุกซ่อนทรัพย์สินไว้ที่นั่นที่นี่ อย่างไรก็ดียืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีทรัพย์สินในต่างประเทศ
เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ประเมินหรือไม่ว่า คดีนี้จะถูกยึดทรัพย์ทั้งหมด หรือแค่บางส่วน นายฉัตรทิพย์ ทนายความกล่าวปฏิเสธว่าอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย ให้รอฟังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินดีกว่า ส่วนถ้าศาลจะมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินจริง ทรัพย์สินที่ใช้ซื้อที่ดินรัชดาภิเษก มูลค่า 772 ล้านบาทเศษ ก็จะไม่เกี่ยวกัน ซึ่งคดีที่ดินรัชดาฯ นั้น ขณะนี้ทนายความของคุณหญิงพจมานกำลังต่อสู้คดีที่กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน ยื่นฟ้องเรียกคืนที่ดิน ซึ่งศาลแพ่งนัดไต่สวนวันที่ 25 ม.ค.นี้ ส่วนบ้านของคุณหญิงพจมานในอังกฤษ ก็ไม่ใช่เงินส่วนเดียวกันกับการขายหุ้น
ด้าน นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล รองอธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ หนึ่งในคณะทำงานอัยการรับผิดชอบคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า การยื่นคำแถลงปิดคดีในส่วนของอัยการนั้น อยู่ระหว่างพิจารณาและจะดำเนินการภายในกำหนดนัดของศาลแน่นอน
**"อ้อ"แพ้ซ้ำสองฟ้องหมิ่น"นาม"**
วันเดียวกันเวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 611 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ในคดีหมายเลขดำที่ อ.1634/255 ที่คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ฟ้อง นายนาม ยิ้มแย้ม อดีตประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.), บริษัท สารสู่อนาคต จำกัด เจ้าของหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์, นายโรจน์ งามแม้น, นางกรรณิการ์ วิริยกุล กรรมการผู้มีอำนาจ และนายทวีสิน สถิตรัตนชีวิน บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และผิด พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ.2484 กรณีจำเลยที่ 1 แถลงข่าวกล่าวหาโจทก์และหนังสือพิมพ์ไทยโสต์นำลงไปตีพิมพ์ทำนองว่า การซื้อที่ดินรัชดาฯ ของโจทก์ “เหมือนโจรปล้นทรัพย์สินของเขามา เมื่อถูกจับได้ ทรัพย์ที่ได้ไปโดยผิดกฎหมายก็ต้องยึดและริบกลับมา” เหตุเกิดเมื่อวันที่ 30 ม.ค.50
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำพยานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง แล้วเห็นว่าข้อความตามฟ้องโจทก์เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ในฐานะประธาน คตส.กล่าวชี้แจงขั้นตอนการดำเนินคดีของ คตส.มิได้มีข้อความใดหมิ่นประมาทโจทก์ จึงพิพากษาให้ยกฟ้อง ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่าข้อความตามฟ้องเป็นการแถลงขั้นตอนการดำเนินคดีไม่เข้าข่ายหมิ่นประมาท ฟ้องโจทก์ไม่ครบองค์ประกอบความผิด อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืน.