วงสัมมนาการเมืองใหม่ ร่วมให้ประชาชนจับตาคดียึดทรัพย์ “นช.แม้ว” จะเป็นประวัติศาสตร์และบรรทัดฐานที่ใช้ส่วนกำไรมาเป็นบทลงโทษได้หรือไม่ ถาม “แม้ว” นั่งนายกฯ 5 ปี รวยอะไรทำกำไรถึง 8 แสนล้านบาท
วานนี้ (3 ก.พ) ที่พรรคการเมืองใหม่ ถ.พระสุเมรุ ย่านสะพานวันชาติ จัดสัมมนาเวทีประชาชนกำหนด (Pepople Forum) หัวข้อ “เหลียวหลังแลหน้าคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน” โดยมีนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายสุนันท์ ศรีจันทรา คอลัมนิสต์อิสระ และนายประพันธ์ คูณมี ผู้อำนวยการพรรคการเมืองใหม่ ร่วมเสวนา
นายปานเทพกล่าวว่า คดีการยึดทรัพย์ของ นช.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนทุจริตเชิงนโยบาย จนนำไปสู่การตรวจสอบ ซึ่งที่ผ่านมาเชื่อว่ามีการโอนหุ้นกันในระหว่างครอบครัวในลักษณะนิติกรรมอำพราง เพราะไม่เคยมีหลักฐานเลยที่แสดงว่านายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย อดีตนายกรัฐมนตรี มีการซื้อขายหุ้นในเครือ บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จริง ดูได้จากพฤติกรรมการโอนหุ้นที่นำเงินปันผลมาใช้ชำระหนี้ในการซื้อหุ้นจากมารดาเท่ากับว่าไม่ได้มีการซื้อขายจริง อย่างไรก็ตาม คดีนี้จะเป็นคดีประวัติศาสตร์ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร และกลายเป็นบรรทัดฐานในอนาคตของประเทศ
“มีคนตั้งข้อสงสัยกรณีที่ลูก คือ นายพานทองแท้ ย่อมถือหุ้นแทนพ่อแม่ กลัวคนจะรู้ก็สร้างหนี้ยัดหนี้ให้ลูก และให้ลูกโอนปันผลไปเรื่อยๆ จนกว่าจะขายหุ้น ถือว่าผิดกฎหมายหรือไม่ ทำไมลูกถึงไม่เคยเรียกเก็บหนี้จากพ่อแม่ที่เกินมา และไม่เคยคืนหนี้ที่เกินมาให้พ่อ ปฏิบัติการผ่องถ่ายหุ้นสัมปทานและยัดหนี้ให้ลูกจึงเกิดอย่างรวดเร็วเพียง 2 วัน คืนวันที่ 30 ส.ค.2543 “เป็นวันแม่ยัดหนี้ให้ลูก” และวันที่ 1 ก.ย.2543 เป็นวัน “โอนหุ้นให้ลูกเพื่อรอวันปันผลคืนให้แม่ เท่ากับว่าพานทองแท้ ต้องเป็นหนี้แม่ 4,500 ล้านบาท แต่เป็นหนี้เกินความเป็นจริง 3,000 ล้านบาท” นายปานเทพกล่าว
ทั้งนี้ ประกอบกับพานทองแท้ที่เป็นผู้ถือหุ้นของแอมพิลริช แต่ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และดีเอสไอ กลับพบหลักฐานชัดเจนว่า วินมาร์ค และแอมเพิลริช เป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน โดยในปี 2548 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหนังสือรับรองของบริษัท แอมเพิลริช ระบุว่า “การถอนเงินใดๆ จะต้องได้รับมอบอำนาจจาก ดร.ที ชินวัตร เท่านั้น”
นายปานเทพกล่าวว่า แสดงให้เห็นว่าเป็นการถือหุ้นสัปทานรัฐแทนพ่อแม่ เป็นการปันผลที่ซุกหุ้นใช่หรือไม่ หรือกรณีของบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายคนโตคุณหญิงพจมาน ก็ยืมเงินจากคุณหญิงพจมานมาซื้อหุ้น และไม่เคยคืนใน 3-4 ปี พอปันผลถึงก็เอามาคืน แต่ใช้วิธีแยกบัญชีเพื่อให้เห็นว่าเป็นการเตรียมคืน หรือกรณีของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ค้างเงินคุณหญิงพจมาน และค้างเงินถึง 20 ล้านบาทเอาไว้ซื้อหุ้น คนก็สงสัยว่า เป็นการเอาเงินมาติดหนี้ กลายป็นการปันผลว่า เกินหนี้จนมีวิธีการขีดฆ่า ตรงนี้ถือว่าสะท้อนเจตนาอะไร ใช่หรือไม่ เป็นต้น
“กรณี นช.ทักษิณ ออกมาบอกว่าเขาหากินมารวยก่อนหน้าแล้ว หากผมสมมติว่าหากินมาโดยสุจริตได้เงินมาหนึ่งล้านบาท และสมมติว่าหากเอาเงินหนึ่งล้านบาทไปลงทุนซื้อมาขายไปกับยาเสพติด และหากเขาถูกจับได้ จะมาบอกว่าให้ยึดทรัพย์เพียงเงินที่ได้จากกำไรค้ายาเสพติด ไม่ควรยึดจากเงินทั้งก้อนที่ทำสุจริตมา ถามว่าหากยึดเอาเงินจากต้นทุนที่ร่วมซื้อขายยาเสพติดด้วยได้หรือไม่ เพราะถือว่าเงินก้อนนั้นเป็นเงินที่ร่วมกระทำความผิดโดยสมบูรณ์”
นายปานเทพกล่าวอีกว่า ดังนั้น อย่ามาพูดว่ารวยมาก่อนเป็นนักการเมือง เพราะหากเข้ามาและทำให้รัฐร่ำรวย แต่ให้ตัวเองเข้ามาลงทุนมากกว่ากว่า 2 แสนล้านบาทจะคิดอย่างไร ดังนั้นเชื่อว่าคดียึดทรัพย์ จะเป็นคดีประวัติศาสตร์ และเป็นความสำคัญให้เห็นว่า เงินเป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่สามารถถูกยึดหรือไม่ และเป็นบรรทัดฐานว่า การคิดส่วนกำไรเพื่อยึดทรัพย์ จะมีหรือไม่มีบทลงโทษเลยใช่หรือไม่”
ทั้งนี้ หากคิดตามคำอธิบายของนายสิทธิชัย โภไคยอุดม อดีต รมว.ไอซีที โดยเฉพาะความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรัฐในกรณีของการนำพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บได้จากกิจการการโทรคมนาคมของเอกชนไปคืนให้กับเอกชนเพื่อนำไปหักลดค่าสัมปทานกิจการ จะพบว่า กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเข้ามาแก้สัญญาให้รัฐได้ประโยชน์น้อยลงไม่ใช่เพียงบริษัทในเครือ บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เท่านั้นมีการลดค่าสัมปทานในกลุ่มธุรกิจ
กรณีเดียวกันยังมีกรณีของเอกสารที่รายงานต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่พบว่า มีผู้ถือหุ้นเกิน มีการซ่อน มีการซุก ตรงนี้ถือว่าผิดกฎหมายหรือไม่ มีการหลีกเลี่ยงภาษีไม่จ่ายภาษีมาตั้งปต่ปี 2543-52 รวมกว่า 8 ปี ถือว่าเป็นการหลบเลี่ยงภาษีหรือไม่ ซึ่งยังไม่รวมกับเรื่องที่ทุจริตในหลาย ๆกิจการที่ไม่ปรากฎ ซึ่งยังมีตัวเลขที่ไม่ได้ถูกอายัดไว้ทั้งสิ้น เช่น เงินที่เข้าไปลงทุนเหมืองเพชร เหมืองทองคำ เครื่องบินส่วนตัว เป็นต้น
“ผมเชื่อว่าเงิน 7.6 หมื่นล้านบาท เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งไม่เชื่อว่า นช.จะมีเงินเพียงเท่านี้ หมายความว่า เงินส่วนนั้นไม่ได้แจ้งทางบัญชี ก่อนเข้ามาเป็นนักการเมือง และไม่เชื่อว่าเงินที่ลงทุนต่างๆ นานา ไม่ใช่เงินจากการปันผลจากการขายหุ้นเท่านั้น”
**“แม้ว” พลาดใช้คดียึดทรัพย์ทำลายตัวเอง
นายสุนันท์กล่าวว่า คดีนี้ถือเป็นจุดสำคัญจุดแตกหักทางการเมือง และเป็นสัญลักษณ์สำคัญในการต่อสู้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ดูเหมือนว่าะเอาคดีนี้มาเดิมพันการต่อสู้ของตนเองในครั้งนี้ แต่จริงๆ แล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้หวังเงินก้อนนี้ แต่ขอสู้เพื่อกลับมามีอำนาจใหม่ เพราะถ้ากลับมาได้ภายใน 2 ปีนี้ ก็สามารถกลับมาทำเงินได้มากกว่า 7.6 หมื่นล้าน และกลับมาเช็คบิลคนที่จัดการกับตัวเอง
ทั้งนี้ เคยมีการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ พบว่ามี 2-3 หมื่นล้านบาท และหลังจากพ้นตำแหน่ง มีคนเคยพูกว่า เขามีทรัพย์สิน 3 แสนล้านบาท 6 แสนล้านบาท และล่าสุดออกมาระบุว่า เขามีทรัพย์สินถึง 8 แสนล้านบาท และเขายังถูดอายัดเงินอีกหลายหมื่นล้านถึงหลายแสนล้านบาท โดยเฉพาะในสิงคโปร์ อังกฤษซึ่งยังไม่นับกรณีของการลงทุนกับกลุ่มดูไบเวิล์คหรือที่อื่นๆ ดังนั้น ต้องข้อสังเกตได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณร่ำรวยมาจากไหน ทั้งที่ดำรงตำแหน่งนายกฯมาเพียง 5 ปีเท่านั้น
“ถือว่ามีสารพัดโกง สมัยทักษิณ หากซื้อของ 100 บาทจะต้องคืนเงินทอนให้กับคนตระกูลนี้ 95 บาท เชื่อได้ว่าเป็นไปได้ จะเห็นได้จากโครงการจัดซื้อรถเข็นในสนามบินสุวรรณภูมิ 9 พันคัน แต่ที่เอามาจริงๆ มีเพียง 3 พันคันเท่านั้น พอเรื่องจะแตก คือเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล พอใกล้ตัวก็บอกว่ารถหาย มีผู้โดยสารไปขโมยรถออกมาบ้าง หายบ้างถามว่าหายทีเดียว 6 พันคันจะเป็นไปได้หรือไม่ เรื่องนี้ก็ไม่มีใครไปค้นหา เพราะถ้าไปตรวจสอบคนจะติดคุกกันเยอะ
ทั้งนี้ เชื่อว่าหลังจากการตัดสินคดียึดทรัพย์ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ จะมีเหตุวุ่นวายเกิดขึ้นจากกลุ่มผู้สนับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่รัฐบาลจะยังไม่ทำอะไร จนกว่าจะมีประชาชนอีกฝั่งลุกขึ้น เรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาจัดการ ถึงเวลานั้นรัฐบาลจะอ้างความชอบธรรม เพื่อจับแกนนำมาดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งแต่ละคนต่างมีคดีติดตัวอยู่หลายคดี
“กรณียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน เชื่อว่าทักษิณเขาก็อยากได้คืน เพราะเป็นคนที่ไม่ยอมเสียเงินตัวเองให้ใคร แม้จะโกงหรือปล้นมา เขาจะยั้วจะโกรธ เขาไม่ยอมเสียเงินให้ใครง่าย ๆ คดีนี้จึงอาจนำไปสู่จุดแตกหักทางการเมืองรอบนี้เชื่อว่าจะสนุก ส่วนที่บอกว่าจะฆ่ากันหรือตีกัน ผมว่ามีแนวโน้ม แต่โอกาสที่เสื้อแดงจะถูกไล่ตีมากกว่า และเชื่อว่าทักษิณอาจจะจบในคดีนี้ เพราะไปพลาดที่นำมาต่อสู้ จริงๆเขาต้องการกลับมามีอำนาจใหม่ ภายใน 1-2 ปี เงินจะมีมากกว่า 7.6 หมื่นล้าน คือจะเข้ามากินกันต่อ เห็นได้จากความปรารถนาของเขาที่จะเข้ามาแก้แค้น แต่ผมกลับเห็นว่า โอกาสที่จะเข้ามาวิธีเดียวคือ นอนมา” นายสุนันท์กล่าว
นายสุนันท์กล่าวว่า แม้ภาพรัฐบาลขณะนี้จะถือว่าหน่อมแหน่ม แตื่อว่าหากคนเสื้อแดงล้ำเส้นเมื่อไร เมื่อถึงจุดนั้น ความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงก็มีมากขึ้น เชื่อว่าคนอย่างนายอภิสิทธิ์ จะทำอะไรก็ต้องทำภายใต้กฎหมาย แต่จะไม่ใช้วิธีกฎหมู่ และเชื่อว่า ถ้าคนเสื้อแดงถูกปราบปรามจะถึงขั้นถูกจับเข้าคุกทันที รัฐบาลคงอ่านขาด รอดูสถานการณ์ ที่สุกงอม หากจับทหารเลว พวกหัวขวดไม่เกิน 50 คน ถามว่าคนเสื้อแดง จะมีฤทธิ์ต่อ หรือไม่ หากมีการทำจริง เชื่อคนพวกนี้ก็คงจะหนีไปอยู่เขมรกันเยอะ”
** เปิดงานวิชาการ 13 ตระกูลธุรกิจการเมือง
ขณะที่ นายประพันธ์กล่าวว่า พรรคการเมืองในประเทศไทยปัจจุบัน ล้วนแต่เป็นของนายทุน มีการเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจตัวเองหลายอย่าง กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ เห็นได้ชัดในหลายเรื่อง เช่น การเก็บภาษีสรรพสามิตในธุรกิจโทรคมนาคม ที่ทำให้รัฐต้องเสียรายได้เป็นจำนวนมาก คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีถือเป็นบุคคลที่มีอำนาจในมือมาก ดังนั้นต้องไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้อง แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับทำหลายเรื่องที่ขัดต่อกฎหมาย อย่างไรก็ตามไม่รู้ว่าผลที่จะออกมาเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าสำนวนที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้องในคดีนี้สามารถเอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณได้
มีงานวิชาการระบุว่า ปี2544-48 ที่กลุ่มตระกูลธุรกิจที่โยงใยทางการเมืองใน 13 ตระกูล สมัยนช.ทักษิณ ประกอบด้วย ตระกูลชินวัตร ตระกูลกาญจนพาสน์ ตระกูลเจียรวนนท์ ตระกูลตรีวิศวเวทย์ ตระกูลทีปสุวรรณ ตระกูลเบญจรงคกุล ตระกูลโพธารามิก ตระกูลมาลีนนท์ ตระกูลว่องกุศลกิจ ตระกูลวิไลลักษณ์ เป็นต้น
ทั้ง 13 ตระกูล ในยุครัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พบว่าผลตอบแทนจากการเข้าสู่การเมืองของตระกูลชินวัตร มีอัตราตอบแทนจากการถือหุ้นสูงกว่าบริษัทอื่นถึงร้อยละ 141 จุด ส่วนบริษัทจดทะเบียนที่มีสายสัมพันธ์กับรัฐมนตรี มีผลกำไรสูงกว่าระดับเฉลี่ยร้อยละ 18.56 จุด คือจะต้องได้กำไร 141บาทต่อหุ้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจนี้กลับต้องผลกำไรต่อปีถึงร้อยละ 208.1ซึ่งเป็นวิธีการที่เข้ามาเอื้อประโยชน์กับธุรกิจตัวเอง จะเห็นได้จาดการหาประโยชน์จากโครงการใหญ่ ๆที่เรียกเก็บเปอร์เซ็นต์ 7-10% แต่ธุรกิจที่ไม่ได้โยงใสทางการเมืองจะได้กำไรเพียง 18 บาทต่อหุ้นจะเห็นได้กลุ่มที่ไม่มีอำนาจทางการเมืองเขาได้กำไรเพียงเล็กน้อย ทำให้เห็นว่าธุรกิจหุ้นที่ได้ประโยชน์เกิดขึ้นในปี 2544-2546 ที่เกี่ยวโยงทางการเมืองทั้งสิ้น โดยเฉพาะการเข้ามาแก้สัญญาให้รัฐได้ประโยชน์น้อยลง
(ทั้งนี้ งานวิจัยเรื่อง “แรงจูงใจและผลตอบแทนทางธุรกิจจากการเข้าสู่อำนาจการเมือง” โดยเปรียบเทียบจาก “ตระกูลเจ้าสัว” 100 ตระกูลที่เล่นการเมืองและไม่เล่นการเมือง เห็นว่า 13 ตระกูลที่เล่นการเมือง มีทรัพย์สินเฉลี่ย 4,418.46 ล้านเหรียญ)