xs
xsm
sm
md
lg

“สนธิ” เปิดใจ นั่งหัวหน้า “ก.ม.ม.”-จวกสื่อเลอะเทอะมั่วข่าวพบนายกฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“สนธิ” เปิดใจ รับเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ เพราะชีวิตอยู่ในกำมือ ปชช.จะเอาอย่างไรต้องว่าตาม หลังจากเป็นแกนนำปลุกพี่น้องตื่นตัวออกมาร่วมต่อสู้จนบาดเจ็บล้มตาย สวนกลับนักการเมืองเก่า กระแนะกระแหน เพราะกลัว “ก.ม.ม.” ที่เกิดขึ้นจากฐานมวลชน ไม่ใช่เกิดจากนายทุนเหมือนพรรคทั่วไป ย้ำไม่มุ่งเน้นจำนวน ส.ส.แต่มุ่งรักษาอุดมการณ์ “ซื่อสัตย์-เสียสละ-กล้าหาญ-ทำงานเป็น” และไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่ง ส่วนคดีความไม่เป็นอุปสรรค หากศาลฎีกาให้ติดคุก ก็เลือกหัวหน้าคนใหม่ จวกสื่อเลอะเทอะ มั่วข่าวพบนายกฯ ที่บ้าน “กอร์ปศักดิ์”


“สนธิ” เปิดใจ รับเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ช่วงที่ 1


“สนธิ”เปิดใจ รับเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ช่วงที่ 2


คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ “คนในข่าว”  
 
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวเปิดใจผ่านรายการ “คนในข่าว” ทางเอเอสทีวี ช่วงเวลา 20.30-22.00 น.วันที่ 8 ต.ค.ที่ผ่านมา ถึงการรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ว่า สาเหตุที่ตัดสินใจรับตำแหน่งนั้น เพราะชีวิตของตนไม่เหมือนเดิมมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ลุกขึ้นมาสร้างภาคประชาชนเมื่อปลายปี 2548 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2549 มาเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งชีวิตของแกนนำทั้ง 5 คน ก็เปลี่ยนไปหมดในลักษณะที่ 1.เราไม่ได้ทำอะไรเพื่อตัวเราเองอีกต่อไป 2.เราไม่มีชีวิตเป็นของเราเองเลย จู่ๆ จะหยุดไปเลยไม่ได้ เมื่อได้สร้างภาคประชาชนให้หันมาสนใจเรื่องราวต่างๆ ของสังคม ให้รู้สึกว่าชาติบ้านเมืองก็เป็นของเขาเช่นกัน และสร้างให้ทุกคนมีปัญญาขึ้นมาแล้ว

นายสนธิ กล่าวต่อว่า ด้วยเหตุที่ภาคประชาชนเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ เราหยุดยั้งไม่ได้ โดยเฉพาะคนที่มาร่วมชุมนุมร้อยละ 60-70 เป็นผู้หญิง ซึ่งจะดึงดูดคนอื่นๆ ในครอบครัวให้มาร่วมและขยายวงขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อเราปลุกให้ประชาชนลุกขึ้นมาสู้ และที่สำคัญเมื่อเขาสู้แล้วเกิดตายบาดเจ็บหรือพิการขึ้นมา ความรับผิดชอบทางมโนธรรมเรามี แม้ว่าการบาดเจ็บล้มตายจะเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่และนักการเมืองที่สั่งฆ่า ไม่ใช่ความผิดของเราทางกฎหมาย แต่ความรู้สึกในทางมโนธรรมเรามีหมด เมื่อมีแล้ว จะบอกว่าผมพอแล้วเลิกแล้ว ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะชีวิตเราไม่ใช่ของเรา แต่อยู่ในกำมือของประชาชน ประชาชนจะเอาอย่างไรเราต้องทำตาม

นายสนธิ กล่าวว่า หลังสิ้นสุดการชุมนุม แต่ละคนต้องถามตัวเองว่าจะเอาอย่างไร ตนเองนั้นไม่เป็นไร ก็อยู่เอเอสทีวีผู้จัดการ ให้ปัญญาประชาขนทางข่าวสาร แต่มวลชนที่มีเป็นล้านๆ จะนั่งอยู่หน้าจอฟังเอเอสทีวีอย่างเดียวหรือ เจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมืองไทยที่ดื้อด้านเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว พวกเขาจะไปต่อต้านคนพวกนี้อย่างไร เขาไม่มีเครื่องมือ ทั้งที่รู้ว่านักการเมืองพวกนี้เลว แต่จะไล่เขาออกไปแอย่างไร จะไล่เฉลิม อยู่บำรุง เสนาะ เทียนทอง บรรหาร ศิลปอาชา หรือ พวก ส.ส.ที่เห็นแก่ตัวกันเกือบทั้งสภาออกไปอย่างไร ซึ่งเราต้องมีเครื่องมือ นั่นคือพรรคการเมือง

“ขนาดเราประท้วงที่ทำเนียบ 193 วัน มันยังหน้าด้านสุดๆ ไม่ยอมออกไป แล้วจะให้ประชาขนจรจัดอยู่ริมถนนไปตลอดมันไม่ได้”

นายสนธิ กล่าวต่อว่า ที่เห็นชัดเจนคือการเมืองขณะนี้ต้องเปลี่ยน ไม่เปลี่ยนไม่ได้ มันเป็นประชาธิปไตย 4 วินาที ที่ชาวบ้านถูกซื้อสิทธิซื้อเสียง แล้วพวก ส.ส.ที่เข้าไปก็อ้างว่ามาจากประชาชน เป็นตัวแทนประชาชน ทั้งที่ไม่ใช่ตั้งแต่เริ่มตั้งพรรคแล้ว ที่เริ่มจากคน 2-3 คนมานั่งคุยกันว่าถ้าตั้งพรรคการเมืองจะใช้เงินเท่าไหร่จึงจะได้ ส.ส.1 คนใช้เงินเท่าไหร่ ได้ ส.ส.กี่คนจึงจะได้เป็นรัฐมนตรี 1 กระทรวง แต่ละกระทรวงมีงบให้คอรัปชั่นได้เท่าไหร่ รวมแล้วคุ้มกับที่ลงทุนไปไหม พรรคการเมืองเหล่านี้ไม่มีมวลชน แต่ซื้อหัวคะแนนแล้วไปซื้อมวลชนต่อ

นอกจากนี้ การเมืองแบบเดิมจะมีการสืบทอดตำแหน่งให้ทายาทหรือคนใกล้ชิด ส่วนคนที่ซื่อสัตย์ตั้งใจจริงอยากเล่นการเมืองก็ไม่ได้เล่น เพราะถูกผูกขาดอยู่กับกลุ่มตระกูลเดียว การตั้งพรรคก็ไม่ต่างอะไรกับการตั้งบริษัท หาคนมาลงหุ้น แต่มีบางพรรคถือหุ้นคนเดียว คือไทยรักไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถือคนเดียว พอตั้งเสร็จก็ไปเทกโอเวอร์พรรคอื่นเข้ามา เช่น พรรคเสรีธรรม ความหวังใหม่ มาควบรวมกิจการกัน เป็นการมองการเมืองแบบธุรกิจ และต้องได้ผลประโยชน์ตอบแทนคืนมา

ขณะที่นักการเมืองเขี้ยวลากดินบางคน ที่ไม่ยอยากควักเงินตัวเอง ก็ไปหานักธุรกิจมาสนับสนุน แล้วให้ตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นคนของนักธุรกิจคนนั้น เพื่อเข้ามาดูแลนโยบายรัฐบาลไม่ให้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของตัวเอง

นายสนธิ กล่าวว่า การตั้งพรรคการเมืองใหม่ ทำให้นักการเมืองเก่าหลายคนกลัว แล้วมาพูดกระแนะกระแหน ทั้งที่ลึกๆ แล้วพวกเขากลัว เพราะเขาไม่มีมวลชน ขณะที่พรรคการเมืองใหม่เกิดจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและมีมวลชนอยู่ทั่วประเทศ และพรรคการเมืองใหม่เป็นเครื่องมือหนึ่งของพันธมิตรฯ และทำงานเป็นเนื้อเดียวกัน อะไรที่สู้ในสภาได้เราก็สู้ในสภา แต่ถ้าเรื่องไหนเป็นเรื่องใหญ่ที่ภาคประชาชนต้องเคลื่อน เราก็ต้องเคลื่อน

“ภาคประชาชนในช่วง 4-5 ปีมานี้ ไม่เหมือนเดิม ที่พรรคการเมืองเก่าๆ จะมาสั่งสอนเดินหน้าถอยหลังได้ คนพวกนี้มีปัญญาทุกคน จะมาสั่งเหมือนเดิมไม่ได้ โอกาสของพวกคุณที่จะเข้าไปโกง ก็ยากขึ้น คนที่กระแนะเรา นั้น เป็นพวกปากกล้าขาสั่น ไม่มีฐานมวลชนเลย ไม่ว่าบรรหาร ศิลปอาชา ชวลิต ยงบใจยุทธ สนั่น ขจรประศาสน์ นอกจากหัวคะแนน พวกเขาถึงลำบากและกลัวเรา เพราะว่ายุคของคนพวกนี้ใกล้หมดแล้ว ยิ่งพวกเขาแสดงออก ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเวลาของพวกเขาใกล้มาถึงแล้ว”

นายสนธิ กล่าวต่อว่า ใครที่บอกว่า เมื่อพันธมิตรฯ มีพรรคการเมืองแล้วจะต้องไม่มีการชุมนุมอีกนั้น เข้าใจผิด เพราะการเมืองใหม่เกิดขึ้นจากพันธมิตรฯ จึงมีสิทธิเคลื่อนไหวตามสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย และเราไม่ได้ใช้ความรุนแรง เราจึงมีสิทธิเคลื่อนไหวเมื่อมันมีเหตุให้เคลื่อนไหว เช่น การต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นจุดยืนที่ชัดเจน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2551 มาจนการชุมนุม 193 วัน ซึ่งการตายของพันธมิตรฯ การต่อสู้อย่างไม่ย่อท้อ ไม่ท้อถอย เป็นเหตุให้ รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ เป็นเหตุให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นนายก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้เป็นรองนายก แต่นายสุเทพตอบกระทู้ในสภาว่า ไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณพันธมิตรฯ แต่เป็นหนี้บุญคุณ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลที่ยกมือให้เขา จึงอยากให้พี่น้องชาวใต้ที่ร่วมต่อสู้กับเราจำคำพูดของนายสุเทพไว้ให้ดี

นายสนธิ กล่าวว่า การตั้งพรรคการเมือง ประเด็นไม่อยู่ที่ว่าเราจะมี ส.ส.กี่คน แต่การทำพรรคเป็นการเริ่มต้นอีกบริบทหนึ่งของการต่อสู้ หลังจากเราผ่านช่วงการเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มาตั้งแต่ปี 48 49
ถึงตอนนี้ก็เป็นอีกบริบทหนึ่งที่ต่างจากตอนแรก ตอนนั้นตนยังไม่มีมวลชน มีแต่ความหล้า ความไม่กลัว ความอดทน จนกรทะทั่งมีคนเริ่มเห็นว่านายสนธิทำจริง เห็นว่า พิภพ ธงไชย จำลอง ศรีเมือง และแกนนำทุกคนทำจริง ประชาชนจึงมาร่วมด้วย จากครั้งแรกที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันที่ 23 ก.ย.48 ไม่กี่พันคน จนวันนี้เป็นหลายล้านคน และอาจจะถึง 10 ล้าน

นายสนธิ กล่าวต่อว่า เราเริ่มพรรคการเมืองใหม่ ไม่เหมือนเมื่อปี 48 แต่เราเริ่มจากคนหลายล้านคน เราได้สร้างจิตวิญญาณของการรักความเป็นธรรม รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราไม่มีอุดมการณ์ทางการเมืองของใคร หรือยึดถือทฤษฎีอะไร ที่จะมาแย่งมวลชน แต่เรามีจิตอันบริสุทธิ์ที่จะทำให้ชาติอยู่ได้ มีจิตที่เสียสละ กล้าหาญ เพื่อให้ชาติอยู่ได้ เราไม่มีทฤษฎี แต่เรายึดชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เป็นที่ตั้ง หรือนัยหนึ่ง เรายึดส่วนรวม เป็นที่ตั้งหรือทำงานเพื่อแผ่นดิน เราจึงไม่จำเป็นต้องมีที่ปรึกษาจากฝ่ายซ้าย หรือดอกเตอร์พิเศษเข้ามา เรามีแต่อะไรที่เป็น ประโยชน์ต่อชาติ ทำให้ชาติเข้มแข็ง ศาสนาเจริญรุ่งเรือง สถาบันกษัตริย์มั่นคง นั่นแหละใช่

นายสนธิ ยอมรับว่า หลังจากมติของพันธมิตรฯ ให้มีการตั้งพรรคการเมืองเมื่อวันที่ 25 พ.ค.52 แล้ว ก่อนถึงวันที่ 6 ต.ค.มีการลังเลบ้างว่าจะรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคหรือไม่ เพราะมีคนคิดที่จะทำพรรคการเมืองมานานแล้ว ตนปฏิเสธมาตลอดว่าไม่เอา อยากทำหน้าที่สื่อมวลชนตามความถนัดมากกว่า แต่ปรากฏว่า วันหนึ่งนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ มาบอกว่ามีคนเรียกร้องมากให้ตั้งพรรคการเมือง ตนก็บอกไม่เอา และแนะนำให้ไปปรึกษา พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ก็บอกไม่เอาเช่นกัน แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป จนในที่สุดมีการประชุมแกนนำ ก็มีการเสนอว่า เรื่องนี้ไม่ควรจะคุยกันแค่แกนนำ 5 คน ให้ประชาชนตัดสินดีกว่า จึงเป็นที่มาของการประชุมวันที่ 25 พ.ค. ซึ่งพี่น้องก็สนับสนุนให้ตั้งพรรค แต่ในการทำโพล มีข้อหนึ่งที่ถามว่าใครควรเป็นหัวหน้าพรรค ปรากฏว่าประมาณ 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ สนับสนุนให้นายสนธิ ลิ้มทองกุลเป็น ก็กระอักกระอ่วน เพราะอยากจะพัก หลังจากนำมวลชนมาตั้งแต่ปี 2548

“แต่เมื่อประชาชน 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ เขามีความศรัทธาให้ผมนำเขาอีกครั้งหนึ่งในฐานะที่เป็นพรรคการเมือง ซึ่งเป็นเครื่องมือหนึ่งของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อุปมาอุปไมยเหมือนประชาชนบอก สนธิคุณไปบุกป่า ขยายเขตดินแดน ไปตีคนป่าเถื่อนแล้วไปตั้งเมืองตรงนั้น เหมือนกับมอบหมายภารกิจให้ผมแล้ว ชีวิตไม่ใช่ของผมอีกต่อไปแล้ว แล้วถ้าผมปฏิเสธ ผมลูกเล่นเยอะ เที่ยวพูดอย่างโน้นอย่างนี้ ประชาชนจะถามผมกลับคำ ผมจะตอบเขาอย่างไร บอก ก็คุณเป็นคนของประชาชนไม่ใช่เหรอ คุณนำพวกผมมาแล้ว พอถึงเวลาที่พวกผมจะให้คุณนำต่อคุณไม่เอา แล้วคุณมาประชุมทำไมว่าควรจะให้พวกผมตัดสินว่า ควรจะตั้งพรรคหรือไม่ควรจะตั้งพรรค คุณก็ไม่ต้องประชุม ไม่ต้องพูดเรื่องนี้เลย เมื่อคุณมาล่อให้ผมบอกจะตั้งพรรคดีไม่ดี พวกผมก็บอกตั้งดีกว่า แล้วพวกผม 80 เปอร์เซ็นต์บอกตั้งดีกว่า แล้ว 70 กว่าเปอร์เซ็นต์บอกให้คุณเป็นหัวหน้าพรรคแล้วคุณไม่เอา แล้วคุณมาประชุมทำไม ผมในฐานะหนึ่งในแกนนำผมต้องรับผิดชอบ”

นายสนธิ ได้ตอบโต้กรณีที่นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทยที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองจากคดียุบพรรค บอกว่าการนำพรรคไม่ง่ายเหมือนนำม็อบว่า ตนเห็นว่าการชุมนุม 193 วันยากกว่าการทำพรรค ที่นายบรรหารบอกว่าทำพรรคยาก คือต้องไปหาเงินมา เวลาขนเงินไปจังหวัดต่างๆ มันยาก ต้องแตกแบงก์ ไปเจรจาตำรวจ เจรจาผู้ว่าฯ ได้ ส.ส.มาแล้วต้อวงติดต่อพรรคแกนนำที่จะเป็นรัฐบาลเพื่อขอร่วมด้วยและต้องขอตำแหน่งดีๆ แล้วนายทุนพรรคก็บอกขอที่นั่งบ้าง ขณะที่คนของพรรคที่เอา ส.ส.เข้ามาได้ก็ขอตำแหน่งด้วย ซึ่งมันยาก เพราะคนพวกนี้จิตไม่บริสุทธิ์

ขณะที่พันธมิตรฯ ได้ลงหลักปักฐานไว้แล้วเรื่องความเสียสละ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ ทำงานเป็น ในระหว่างการชุมนุม จิตวิญญาณตรงนี้จึงผ่องถ่ายมาสู่พรรคการเมืองใหม่ คนที่มาชุมนุมเสียสละ คนที่เข้าสู่พรรคการเมืองใหม่ก็เสียสละ ถ้าได้เข้าไปในสภาก็ต้องเสียสละ เรื่องความซื่อสัตย์ กล้าหาญ และทำงานเป็นก็เช่นกัน นี่เป็นอุดมการณ์ 4 ข้อ ที่เป็นเสาหลัก 4 เสานี้ พรรคจะทำให้อุดมการณ์นี้คงอยู่ต่อไป ได้ ส.ส.กี่คนไม่สำคัญ แต่ขอให้ 4 ข้อนี้คงอยู่เป็นเสาหลัก ให้คนค่อยๆ ก้าวเข้ามา จะเป็น ส.ส. รัฐมนตรี นายกฯ หรือไม่ ไม่สำคัญ เราไม่ได้สร้างพรรคมาเพื่อเป็นรัฐบาลพรุ่งนี้ เพื่อเข้าไปมีอำนาจ เราสร้างพรรคเพื่อให้ปัญญาคน จะได้ ส.ส.กี่คนเข้าไปในสภาก็ตาม จะเป็นตัวอย่างของการเป็น ส.ส.ที่ดี ทำให้คนไม่สิ้นหวังกับการเมืองไทย เป็นตัวอย่างของการเป็น ส.ส.ที่มีแต่ให้ ไม่ใช่คอยแต่จะเอา

นายสนธิ ได้ตอบคำถามที่ว่า สมมุติหากได้เป็นนายกรัฐมนตรีจะมีจุดยืนในเรื่องต่างๆ เหมือนเดิมหรือไม่ ว่า เรื่องนี้จะดูเฉพาะหน้าไม่ได้ ต้องดูที่ประวัติตนเองตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา อย่าว่าแต่สู้กับอำนาจเลย ความตายก็สู้มาแล้ว และเห็นว่าทุกอย่างเป็นแค่เรื่องสมมุติ คนที่เคยยิ่งใหญ่ตอนนี้ไปอยู่ไหนแล้วไม่รู้ แต่การทำงานเพื่อแผ่นดินนั่นแหละสำคัญที่สุด

ส่วนที่เคยพูดว่าจะไม่รับตำแหน่งทางการเมืองนั้น นายสนธิ กล่าวว่า ตอนนั้นมีคนถามว่าที่ตนออกมาสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณก็เพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณเอาตำแหน่งทางการเมืองให้หรือไม่ ตนก็ตอบว่าไม่ใช่ และยืนยันไม่รับตำแหน่งทางการเมือง และการมาเป็นหัวหน้าพรรคครั้งนี้ เหมือนมาสร้างบ้าน ถ้าสร้างบ้านเสร็จให้น่าอยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องรับตำแหน่ง

นายสนธิ กล่าวต่อว่า จุดยืนของพันธมิตรฯ คือ สถาบันหลักของชาติ สถาบันกษัตริย์ต้องคงอยู่ตลอดไป แต่ในขณะนี้สถาบันกษัตริย์พึ่งกองทัพไม่ค่อยจะได้แล้ว เพราผู้นำกองทัพบางคนจงรักภักดีไม่เต็มร้อย ตนต้องการเข้ามาสร้างการเมืองเพื่อให้เป็นสถาบันกษัตริย์สามารถพึ่งการเมืองได้ เราต้องทำการเมืองนี้เพื่อปกป้องค้ำจุนสถาบันกษัตริย์ เมื่อภาคประชาชนต้องการปกป้องสถาบันกษัตริย์ การเมืองก็ต้องปกป้องสถาบันกษัตริย์

ส่วนที่กลัวว่าเมื่อมีอำนาจแล้วจะเปลี่ยนไปนั้น นายสนธิกล่าวว่าไม่ต้องกลัว เพราะถ้าตนหลงอำนาจแล้ว ไม่ต้องตั้งพรรคการเมืองหรอก เพราะอำนานแฝงมีมากอยู่แล้ว จากการที่ประชาชนให้มา ซึงตนไม่เคยหลงเลย

สำหรับข่าวที่ว่า นายสนธิไปพบกับนายกรัฐมนตรีที่บ้านนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เพื่อหารือถึงการแต่งตั้งเลขาธิการนายกฯ นั้น นายสนธิ กล่าวว่า ตนไม่ได้ไปบ้านนายกอร์ปศักดิ์ จึงไม่ได้คุย และเป็นการเข้าใจผิด ตนไม่เคยไปบ้านนายกอร์ปศักดิ์เลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบ้านนายกอร์ปศักดิ์อยู่ไหน เขียนกันไปเอง เลอะเทอะเปรอะเปื้อน

อย่างไรก็ตาม หากมีโอกาสได้พบกับนายกฯ อยากแนะนำให้นายกฯ ใช้อำนาจเต็มที่กว่านี้ กล้าหาญกว่านี้ อย่ายึดติดตำแหน่ง และเชื่อว่าพรรคภูมิใจไทยไม่กล้าถอนตัว เพราะเขายังไม่พร้อม และพรรคร่วมอื่นๆ ด้วย นายกฯ กลัวมากเกินไปว่าเขาจะถอนตัว จึงไม่เป็นตัวของตัวเอง

นายสนธิยืนยันว่าเรื่องคดีความไม่เป็นอุปสรรคในการเป็นหัวหน้าพรรค เพราะคดียังไม่สิ้นสุด ถ้าศาลฎีกายังไม่ตัดสินให้ผิด ก็ยังเป็นได้อยู่ แต่ถ้าคดีสิ้นสุดและศาลฎีกาให้ติดคุก ก็ไปติด แล้วเลือกหัวหน้าพรรคใหม่ ตนไม่ยึดติดอยู่แล้ว แต่กว่าจะถึงวันนั้น พรรคการเมืองใหม่ก็มั่นคงแล้ว

ส่วนความสัมพันธ์กับเอเอสทีวีก็เหมือนเดิม เพราะเอเอสทีวีทำงานบนพื้นฐานความจริง เสียสละ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ ทำงานเป็นเหมือนกัน ไม่ต้องมีความขัดแย้ง และถ้าเปรียบเทียบกับ พ.ต.ท.ทักษิณสมัยก่อนเป็นเจ้าของไอทีวี ลูกพรรคคือนายประชา มาลีนนท์ เป็นเจ้าของช่อง 3 ได้คุมกระทรวงกลาโหมที่ดูแลสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 และเป็นเจ้าของสัมปทานช่อง 7 ขณะที่ช่อง 9 ช่อง 11ก็ขึ้นกับสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปว่าคุมได้หมด แถมยังมีคอลัมนิสต์บางคนรับเงินรับทองจากพรรคไทยรักไทย ซึ่งตอนนี้ก็รับเงินมาวิ่งเพื่อล้มรัฐบาลประชาธิปัตย์ เพราะฉะนั้นมอย่ามากังวลกับสื่อมวลชนสายเรา คนเอเสทีวีมีปัญญาทุกคน สั่งไม่ได้ ตราบใดที่เอาความจริงมานำเสนอ และมีความเสียสละ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ ก็ปรัชญาเดียวกันอยู่แล้ว

ในช่วงท้ายรายการ นายสนธิ ได้มองสถานการณ์ทางการเมืองปัจจุบันว่า ไม่มีพรรคไหนอยากให้ยุบสภา พรรคภูมิใจไทยก็อยากอยู่ถึงปีหน้า ให้ครบอีก 1 รอบงบประมาณ เพราะกำลังอร่อยเคี้ยวมัน แต่มองว่ามีความเคลื่อนไหวผิดปกติในเดือนตุลาคมนี้ และยังมีความพยายามโค่นล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์โดยเฉพาะการบีบให้ยุบสภาโดยเร็วเพื่อเลือกตั้งใหม่ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณประกาศจะมาเป็นหัวหน้าพรรคในปีหน้า ไม่รู้ว่าเอาพื้นฐานอะไรมาพูดนอกจากว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนการโค่นล้ม หรือเป็นหัวหน้าแผนการโค่นล้มเสียเอง

“แต่ประเด็นที่ผมกำลังกังวลก็คือว่า ในขณะนี้ตั้งแต่พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมา ยังไม่มีการทำถูกให้เป็นถูกผิดให้เป็นผิด ดีให้เป็นดีชั่วให้เป็นชั่ว ทุกอย่างยังลูบหน้าปะจมูกเหมือนเดิม คนจะพูดเรื่องสมานฉันท์ คนจะพูดบอกว่า ประชาชน 2 ฝ่ายจะฆ่ากันเอง ก่อนจะพูดคำนี้ คำถาม คนจะต้องถามก่อนว่า ประชาชนแต่ละฝ่ายเขามีจุดยืนกันอย่างไร ตัดคำว่า จะฆ่ากันเองออกเสียก่อน ผมยังหาไม่พบเลยว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พวกเสื้อเหลือง มีอะไรที่เป็นภัยต่อชาติบ้านเมือง ผมยังหาไม่เจอ เขารักชาติ เขาไม่ต้องการให้ชาติสูญเสียไปมากกว่านี้ เขาไม่ต้องการให้ชาติเสียแผ่นดิน ผิดหรือ”

“มาดูกลุ่มคนเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทย ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากทำเพื่อคุณทักษิณคนเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คำวิเคราะห์ของ อ.นิธิ ที่บอกว่า ประชาชนจะฆ่ากันเอง คุณนิธิวิเคราะห์จากประเด็นไหน ถ้าประชาชนจะฆ่ากันเอง คุณนิธิต้องวิเคราะห์ว่า คุณทักษิณ และกลุ่มเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทย จะหาเรื่องเพื่อมาฆ่าประชาชนฝ่ายเสื้อเหลือง อย่างนั้นพูดถูก”นายสนธิกล่าว

คำต่อคำ"สนธิ"เปิดใจ เหตุรับเก้าอี้ หน.พรรคการเมืองใหม่







กำลังโหลดความคิดเห็น