โดย...วิทยา วชิระอังกูร
คำว่า “สองมาตรฐาน” (double standard) ที่กลายเป็นถ้อยคำยอดนิยมใช้เชือดเฉือนฝ่ายตรงกันข้ามทางการเมืองในขณะนี้ หากจะอธิบายความหมายอย่างง่ายๆ ก็คือ เรื่องเดียวกัน การกระทำเดียวกัน แต่ได้รับการปฏิบัติแตกต่างกัน หรือไม่เหมือนกัน ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม จะเกิดขึ้นโดยความจงใจของผู้มีอำนาจหน้าที่ หรือโดยการละเลยละเว้นการปฏิบัติแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือไม่เจตนาตั้งใจก็ตาม
แท้ที่จริง การปฏิบัติแบบสองมาตรฐานเกิดขึ้นให้เห็นอยู่มากมายทั้งในวงการราชการและการเมืองไทย ที่ระบบอุปถัมภ์ฝังรากลึกมายาวนาน การปฏิบัติให้คุณให้โทษ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นพรรคเล่นพวก หรือการปฏิบัติต่อกลุ่มคนที่มีสถานะแตกต่างกันทั้งทางฐานะ ตำแหน่งหรือการศึกษา สื่อแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำต่ำสูงในสังคมไทยต่อเนื่องกันมาทุกยุคทุกสมัย จนแทบจะกลายเป็นความเคยชินและจำยอมของสังคมไทยไปเสียแล้ว
ซึ่งน่าจะถือเป็นอุปสรรคใหญ่สำคัญยิ่งปัจจัยหนึ่ง ที่ขัดขวางต่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบอบประชาธิปไตยที่คนไทยทุกฝ่ายร่ำร้องเรียกหากัน
หนึ่งในเหตุผลหลักสำคัญที่ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มคนเสื้อแดง ชอบใช้อ้างในการปลุกระดมผู้คนให้ออกมาประท้วงต่อต้านรัฐบาล และโค่นล้มระบอบอำมาตยาธิปไตย ก็คือ การอ้างว่า ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายอำมาตย์ปฏิบัติต่อทักษิณ และพวกอย่าง “สองมาตรฐาน”
ซึ่งเป็นข้ออ้างฮิตติดปาก ทักษิณที่พร่ำพูดตลอดเวลาว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรมทางศาล เพราะศาลไทยมีสองมาตรฐาน พร่ำพูดจนแม้แต่เพื่อนซี้ปึ๊กอย่าง สมเด็จฮุนเซน ยังพลอยเชื่อไปด้วย ถึงกับกล้าบังอาจสำรากผ่านสื่อดูหมิ่นศาลยุติธรรมไทยว่าไม่ยุติธรรมต่อทักษิณ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์กักขฬะพิสดารที่ไม่เคยมีผู้นำประเทศใดในโลกเขาประพฤติปฏิบัติกัน
แต่ที่น่าเศร้ามาก ก็คือ กลับกลายเป็นความชื่นชมยินดีและภาคภูมิใจที่กลุ่มคนเสื้อแดงมีต่อผู้นำเขมรตนนี้ถึงขั้นยกพวกไปกราบไหว้มอบดอกไม้ถึงกรุงพนมเปญ
และที่น่าประหลาดใจ ก็คือ ทักษิณเองกลับใช้ช่องทางศาลที่ตนกล่าวหาว่าไม่ยุติธรรม หรือที่เล่นสำบัดสำนวนว่า ยุติความเป็นธรรมในการฟ้องร้องกล่าวโทษผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา และเมื่อศาลพิพากษาลงโทษฝ่ายตรงกันข้ามที่คุณทักษิณฟ้องร้อง ก็กลับกลายเป็นว่า ศาลตัดสินยุติธรรมเที่ยงตรงแล้ว
นี่ต่างหาก คือความคิดแบบสองมาตรฐานของทักษิณ ชินวัตร ใช่หรือไม่?
และยิ่งหากจะฟื้นฝอยหาตะเข็บย้อนเวลากลับไปพินิจพิจารณาการใช้อำนาจรัฐ ของทักษิณ ชินวัตร ในช่วงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะการปฏิบัติต่ออาณาประชาราษฎร์ ต่อข้าราชการ ต่อวงการธุรกิจเอกชน หรือแม้แต่ต่อนักการเมืองทั้งต่างพรรคหรือพรรคเดียวกัน ก็จะได้เห็นวิถีทางการปฏิบัติแบบสองมาตรฐานในการใช้อำนาจอยู่มากมาย เพื่อสนองประโยชน์ทางการเมืองของทักษิณและพวกเพียงถ่ายเดียว
อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ทักษิณและกลุ่มคนเสื้อแดง ยังคงชูประเด็น “สองมาตรฐาน” เพื่อกล่าวหาฝ่ายรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง และเมื่อวันที่ 11 มกราคม ที่ผ่านมา กลุ่มคนเสื้อแดงก็ระดมพลบุกเขายายเที่ยงเพื่อทวงคืนที่ดิน 21 ไร่ และกล่าวโทษเอาผิดพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ โดยมีการสร้างสัญลักษณ์เปิดป้าย “หมู่บ้านสองมาตรฐาน” เพื่อประจานการทำงานของภาครัฐ และฝ่ายอำมาตย์
โดยที่กลุ่มคนเสื้อแดงอาจลืมเลือนไปว่า กรณีการบุกรุกครอบครองที่ดินป่าสงวนเขายายเที่ยง โดยเฉพาะกรณีบ้านพักบนเนื้อที่ 21 ไร่ของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้มีการหยิบยกมาชี้แจงแถลงไขตั้งแต่ช่วงที่พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดย น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ในฐานะสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และทำหน้าที่ประธานกรรมาธิการวิสามัญศึกษาและส่งเสริมการสร้างคุณธรรมและจริยธรรมแก่นักการเมือง ข้าราชการ และประชาชนได้อภิปรายชี้ชัดถึงการครอบครองที่ดินบนเขายายเที่ยงที่ไม่ถูกต้องของพล.อ.สุรยุทธ์ เมื่อเดือนตุลาคม 2550 และได้เรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรีสุรยุทธ์ ตอนหนึ่งว่า
“.....ในฐานะที่นายกฯ ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี ทั้งด้านคุณธรรม จริยธรรม ถ้าเป็นแบบนี้ ผมขอร้องให้นายกฯ สร้างบรรทัดฐานใหม่ ถ้านายกฯ อยู่ได้ ทำไมศาลสีคิ้วตัดสินจำคุกชาวบ้าน..........”
“.......สิ่งที่ผมอภิปราย คือ หัวหน้ารัฐบาลมีปัญหาส่วนตัว และปัญหาด้านการทำงาน ดังนั้น เรื่องคุณธรรมจึงเป็นเรื่องที่อยู่ในจิตสำนึกมากน้อยแค่ไหน ถ้าทุจริตมาก็ต้องนำไปคืน......”
กรณีนี้จึงต้องตั้งคำถามกับทักษิณ และกลุ่มคนเสื้อแดงว่า เมื่อหมดยุคพล.อ.สุรยุทธ์ รัฐบาลที่ครอบครองอำนาจต่อมา ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ สมัคร สุนทรเวช หรือนายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งล้วนเป็นรัฐบาลของฝ่ายทักษิณ และกลุ่มคนเสื้อแดง เหตุผลกลใด จึงไม่มีการดำเนินการเอาผิด หรือยึดบ้านยึดที่ดินบนเขายายเที่ยงคืนจากพล.อ.สุรยุทธ์ ปล่อยให้เรื่องคาราคาซังเงียบหายไปได้อย่างไรถึงสองรัฐบาล จนเพิ่งมานึกขึ้นได้เอาตอนนี้ เมื่อล่วงพ้นมาเกือบสามปีแล้ว
ซึ่งมีผู้สันทัดกรณีวิเคราะห์ว่า ทักษิณและกลุ่มคนเสื้อแดงจำเป็นต้องละเลยเรื่องสำคัญนี้ เพราะอยู่ในระหว่างการพยายามเจรจารอมชอมกับฝ่ายอำมาตย์ เพื่อหาทางฟอกผิดและเปิดช่องให้ทักษิณกลับคืนประเทศไทยอย่างรอดปลอดภัย
อย่างนี้จะยังให้ถือว่า ฝ่ายทักษิณ และพวกมีมาตรฐานเดียว หรือกี่มาตรฐานกันแน่?
และขณะที่ไชโยโฮ่หิ้วเปิดป้าย “หมู่บ้านสองมาตรฐาน” บนเขายายเที่ยงอย่างภาคภูมิใจนั้น ทักษิณและคนเสื้อแดงอาจลืมไปว่า ถ้าจะใช้มาตรฐานเดียวกันในที่ดินป่าสงวนเขายายเที่ยงทั้งหมด น่าจะไม่เฉพาะเจาะจงแค่บ้านพักบนเนื้อที่ 21 ไร่ของพล.อ.สุรยุทธ์เท่านั้น หากจะต้องรวมไปถึงการครอบครองที่ดินป่าสงวนรายอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งที่ป่าสงวนเขายายเที่ยง และป่าสงวนทั่วประเทศไทยที่ถูกบุกรุกกว่า 5 ล้านไร่ ซึ่งอาจจะมีพรรคพวกของทักษิณและคนเสื้อแดงบุกรุกครอบครองอย่างไม่ถูกต้องอยู่ไม่มากก็น้อย
และเมื่อประกาศจะขยายผลไปสร้างสาขาหมู่บ้านสองมาตรฐาน ในพื้นที่ครอบครองโดยผิดกฎหมายอื่นๆ อีกต่อไป โดยจะเริ่มต่อที่เขาสอยดาว และสนามกอล์ฟโรยัลกอล์ฟคลับเชียงใหม่ ซึ่งล้วนแล้วแต่เสมือนหนึ่งจะตั้งเป้าเลือกใช้มาตรฐานเอาผิดฝ่ายตรงข้ามกับตนเท่านั้น เอาไปเอามาก็จะกลายเป็นว่า ทักษิณกับคนเสื้อแดง ก็ชอบใช้สองมาตรฐาน อย่างที่กล่าวหาฝ่ายอำมาตย์อยู่ร่ำไป
เอาเป็นว่า ถ้าทักษิณ และกลุ่มคนเสื้อแดงรังเกียจขยะแขยงระบบ “สองมาตรฐาน”จริง ก็อยากจะเสนอแนะว่า น่าจะกำหนดแผนงานการก่อตั้งหมู่บ้านสองมาตรฐานให้เป็นกิจจะลักษณะวางยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีให้ถูกต้องรัดกุม กำหนดเป้าหมาย เรียงลำดับเพื่อสะดวกต่อการเดินทางของพลพรรค และประหยัดงบประมาณ ซึ่งทราบว่าเริ่มฝืดเคืองลงทุกที โดยน่าจะเรียงลำดับจากใกล้ไปหาไกล เมื่อหมู่บ้านแรกอยู่ที่เขายายเที่ยง เป้าหมายต่อไป ก็น่าจะเป็นสนามกอล์ฟ อีกหลายแห่งแถบเขาใหญ่ เขาบันไดม้า เขาแผงม้า เขาวังน้ำเขียว แล้วเลือกเอาเองว่าจะเลยไปทางกบินทร์บุรีออกสายตะวันออก หรือจะวกกลับมาแถบมวกเหล็ก สระบุรีอีกหลายเขา แล้วต่อเข้าไปตั้งเมืองหลวงหมู่บ้านสองมาตรฐานที่สนามกอล์ฟอัลไพน์มันเสียเลย เพราะอยู่ในชัยภูมิเหมาะใกล้กรุงเทพมหานคร
สำหรับหมู่บ้านหลักทางอีสาน ก็น่าจะยึดเขากระโดง บุรีรัมย์ เป็นหลัก และในแต่ละภาคก็พิจารณาเลือกเอาตามความหมาะสม
รีบๆ เร่งๆ ทำให้เสร็จในเร็ววันเลยนะครับ ประเทศชาติบ้านเมืองจะได้หมดไปจากระบบสองมาตรฐาน (double standard) เสียที
ว่าแต่ว่า อย่าทำให้คนอื่นเขาเห็นเป็นว่า ทักษิณ และคนเสื้อแดงต่างหากเล่า ที่เป็นต้นแบบสองมาตรฐานที่แท้จริง