กมธ.ยุติธรรม ตามไล่บี้ที่ดินเขายายเที่ยง เรียก รมว.ทรัพย์-ป่าไม้-อัยการ แจง สงสัยที่งอกจาก 15 เป็น 30 ไร่ รุมซักอัยการไม่สอบเพิ่มทั้งที่ข้อมูลยังไม่เพียงพอ-ไม่ได้ไปดูพื้นที่จริง แต่กลับสั่งไม่ฟ้อง เด็ก ปชป.โดดป้องใช้ กม.ล้วนๆ เกิดปัญหาทั้งประเทศ ด้าน “ประชา” ตีโพยตีพายขอพบเปรม-รายงานข้อมูลราชเลขาฯ ขู่แจ้งความเอาผิดอธิบดีป่าไม้-อัยการรับผิดชอบสำนวน
วันนี้ (13 ม.ค.) ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร มีนายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ประธาน กมธ.เป็นประธานการประชุมพิจารณากรณีการบุกรุกถือครองที่ดินบริเวณเขายายเที่ยง โดยเชิญฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง ได้แก่ กรมป่าไม้ กรมอุทยานฯ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อัยการสูงสุด นายอำเภอสีคิ้ว ผู้ว่าฯ นครราชสีมา รวมถึงพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และชาวบ้านที่ถือครองที่ดินบริเวณดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.สุรยุทธ์ มีหนังสือแจ้งมาว่า ติดภารกิจสำคัญไม่สามารถมาชี้แจง และเรื่องอยู่ในกระบวนการยุติธรรม หาก กมธ.ต้องการข้อมูล สามารถขอข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง ขณะที่ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ ไม่มาและไม่ได้ส่งตัวแทนมาชี้แจง ทำให้นายประชากล่าวว่า เรื่องนี้สำคัญและเป็นที่ดินของชาติบ้านเมือง นายกฯ ได้ออกกฎเหล็ก 9 ข้อ และระบุถึงการให้ความสำคัญในการมาชี้แจงต่อสภาและ กมธ. แต่เมื่อรัฐมนตรีไม่มา กมธ.จะทำหนังสือถึงนายกฯ ให้จัดการในเรื่องนี้
จากนั้นจึงเริ่มการพิจารณา โดยนายประชากล่าวว่า กรณีสำนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง พล.อ.สุรยุทธ์ ในคดีรุกที่เขายายเที่ยงซึ่งเป็นเขตป่าสงวนที่นำมาจัดสรรให้สิทธิ์ทำกินกับประชาชนตามมติ ครม.ปี 41 แต่ไม่ได้ให้สิทธิ์ในการถือครอง ซึ่งมีการขายเป็นทอดๆ มาจนถึงภรรยาของ พล.อ.สุรยุทธ์ ขณะที่ กมธ.ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติปี 50 ได้ศึกษาเรื่องนี้มีผลสรุปคือ นายเกษม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา อดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ พล.อ.สุรยุทธ์ เข้าข่ายผิดกฎหมายในเรื่องดังกล่าว ทำให้คดีนี้มีความเคลือบแคลง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายประชาได้พยายามซักถามอธิบดีกรมป่าไม้อย่างดุดเดือด ถึงอำนาจหน้าที่ในการปกป้องที่ดินสาธารณะ และพล.อ.สุรยุทธ์ ซึ่งมีที่ดินต้นน้ำเกรดเอ ครอบครองที่ดินในสิทธิประเภทใด และกรณีนี้ต้องคืนที่ดินหรือไม่ และทำไมราษฎร 3-4 รายที่ถูกศาลดำเนินคดีทั้งที่พื้นที่แทบจะอยู่ติดๆ กันและเป็นกรณีแบบเดียวกัน
นายสุทัศน์ เงินหมื่น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กมธ.กล่าวว่า ที่ดินที่เปลี่ยนมือจากนายเบ้า มาเป็นนายนพดล พิทักษ์วาณิชย์ มาเป็นของ พ.อ.สุรฤทธิ์ จันทราทิพย์ จนมาเป็นภรรยาของ พล.อ.สุรยุทธ์ ไม่มีระเบียบใดเลยที่อนุญาตให้สืบทอด ขณะที่ทำไมราษฎร 3-4 ราย กรณีใกล้เคียงกันถึงโดนศาลตัดสิน สงสัยว่าทำไมอัยการใช้ดุลพินิจไม่สั่งฟ้องกรณี พล.อ.สุรยุทธ์ โดยให้เหตุผลว่าขาดเจตนา เพราะถ้าเป็นชาวบ้านไม่เข้าใจกฎหมายก็พอฟังได้ ขณะที่ พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่น่าจะรู้กฎหมาย และยังมีประเด็นที่ดินงอกเพิ่มจาก 15 ไร่ เป็น 22 ไร่ โดย 7 ไร่ที่เพิ่มขึ้นตรงนี้จากนายสวัสดิ์ ท้าวธงชัย ที่เข้าใจว่าเป็นลูกเขยนายเบ้า แต่ภายหลังพื้นที่เพิ่มเป็น 30 ไร่ ซึ่ง 8 ไร่ที่งอกครั้งหลังสุดไม่มีที่มาที่ไป และยังมีการตัดไม้ปรับพื้นที่
ด้าน นายชลทิศ รองอธิบดีกรมป่าไม้ ได้รับมอบหมายจากอธิบดีให้มาชี้แจงแทน กล่าวว่า พื้นที่แปลงของ พล.อ.สุรยุทธ์ รวมถึงบริเวณเขายายเที่ยง เดิมมติ ครม.ปี 18 มีมติให้เป็นโครงการปรับปรุงป่าสงวนแห่งชาติหมู่บ้านป่าไม้ โดยจัดสรรให้ราษฎรใช้เป็นที่ทำกิน และพื้นที่ฟื้นฟูป่า บุคคลที่จะรับการจัดสรรต้องเป็นเกษตรกร และให้สิทธิการทำประโยชน์ ไม่ใช่สิทธิการเป็นเจ้าของ กรณี พล.อ.สุรยุทธ์ ครอบครองด้วยสิทธิ์ใดยังตอบไม่ได้เพราะต้องขอดูรายละเอียดที่อัยการสั่งไม่ฟ้องก่อน และต้องย้อนดูระเบียบตั้งแต่แรกสุดว่า ที่ดินหมู่บ้านป่าไม้จัดให้รายไหนเพราะเหตุใดด้วย ส่วนราษฎร 3-4 รายต้องไปดูก่อนว่าอยู่ในหมู่บ้านป่าไม้หรือไม่ แต่เบื้องต้นทราบว่าถูกดำเนินคดีเพราะอยู่ในเขตป่าสงวน
นายชลทิศกล่าวว่า พื้นที่นี้ 15 ไร่ อยู่ในโครงการจัดหมู่บ้านป่าไม้โดยมีนายเบ้าเป็นผู้ได้รับสิทธิ์ทำประโยชน์ อย่างไรก็ดี ขอบเขตหมุดพื้นที่จะแค่ไหน ตนยังไม่ทราบ และพอมาเปลี่ยนมาถึง พล.อ.สุรยุทธ์ จะเป็นทั้งแปลง หรือแค่ไหน คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงของกรมที่ตั้งขึ้นเมื่อ 12 มกราคม 53 ต้องกลับไปดูพื้นที่ทั้งหมดบริเวณดังกล่าวว่ามีการเปลี่ยนมือไปอย่างไร ส่วนแนวโน้มว่าต้องคืนที่ดินดังกล่าวหรือไม่ ต้องรอคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ไปพิจารณามาตรการภายใน 60 วัน
นายชลทิศกล่าวว่า ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า ที่ดิน พล.อ.สุรยุทธ์ งอกขึ้นมา หรือเป็นแปลงเดียวกับของนายเบ้าที่ได้รับสิทธิ์การทำประโยชน์ในหมู่บ้านป่าไม้หรือไม่นั้น ต้องขอดูเอกสารทั้งหมดก่อน โดยจะไปตรวจสอบพิกัดปัจจุบันเทียบกับของอดีตด้วยระบบจีพีเอสว่าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และตรงกันแค่ไหน ซึ่งถ้ามีความเห็นแตกต่างและหลักฐานเพิ่มเติมอื่น ก็ชอบที่จะรื้อคดีขึ้นมาดำเนินการฟ้องอีกครั้งได้ ทั้งนี้จะตรวจสอบทั้งหมด 401 ราย โดยรายแรก คือกรณี พล.อ.สุรยุทธ์ ซึ่งจะประชุมคณะกรรมการในวันที่ 14 มกราคม ทำให้นายประชา กล่าวว่า แสดงว่า พิกัดที่ดินเป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าไม่ใช่พิกัดเดียวกับของนายเบ้า ก็ฟ้องได้ จึงสงสัยว่า ทำไมไม่ใช้จีพีเอสตั้งแต่แรก จึงไม่ปรากฏในสำนวนของอัยการเลย ทำไมอธิบดีไม่ปกป้อง แปลงของนายเบ้าและ พล.อ.สุรยุทธ์ เอาอะไรมายืนยันว่า เป็นแปลงเดียวกัน
ด้าน นายอิทธิพร แสงประดับ รองอธิบดีอัยการเขต 3 ชี้แจงว่า ระเบียบหมู่บ้านป่าไม้ ไม่ได้อนุญาตให้บุคคลอื่นในการเข้ามาครอบครองเป็นกรรมสิทธิ์ กรณี พล.อ.สุรยุทธ์ ซื้อขายสิทธิการครอบครองแทนนายเบ้า ครอบครองผิดเงื่อนไขมติ ครม.ที่ไม่ให้ตกทอดแก่บุคคลอื่น แต่ไม่ได้เป็นการบุกรุก อัยการไม่สั่งฟ้อง ส่งไปผู้ว่า ผู้ว่าฯ เห็นชอบที่ไม่ฟ้อง แต่กรณีของราษฎร พื้นที่นั้นไม่ได้เป็นหมู่บ้านป่าไม้ และยังมีการไปปรับปรุงพื้นที่เป็นบ้านสวน ซึ่งถือว่ารุกป่า ส่วนกรณีอื่นๆ ถ้าอยู่ในหมู่บ้านป่าไม้ ก็ต้องสั่งไม่ฟ้องเหมือนกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ตัวแทนฝ่ายอัยการชี้แจง ทำให้ กมธ.ไม่พอใจ โดยนายประชา กล่าวว่า สิทธิทำประโยชน์ กับสิทธิการครอบครองเป็นคนละเรื่อง เพราะสิทธิทำประโยชน์เป็นการให้ไปทำประโยชน์ทำกินกับราษฎรโดยมีคณะกรรมการกลั่นกรอง เรื่องนี้น่าสงสัยมากว่า ทำไมอัยการ ถึงรีบสั่งไม่ฟ้อง และยังเป็นคำสั่งเด็ดขาด ทำไมไม่เปิดโอกาส พล.อ.สุรยุทธ์ ทั้งที่โดนโจมตีจากคนเสื้อแดง และคนสงสัยทั่วประเทศ ได้พิสูจน์ในศาล เชื่อว่า พล.อ.สุรยุทธ์ ที่เป็นชายชาติทหารอดีต ผบ.ทบ. และเรื่องกระทบสถาบันองคมนตรี ต้องการพิสูจน์ตัวเอง การที่รีบร้อนไม่ฟ้องไม่รู้ว่ากลัวอะไรหรือไม่ หรือเห็นว่าคดีนี้เกี่ยวกับยศพล.อ. แต่เมื่อเทียบกับชาวบ้านที่ถูกดำเนินคดี จึงเห็นความไม่เป็นมาตรฐาน ดังนั้น ตนจะขอเข้าพบ พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เพื่อรายงานพฤติกรรม อัยการจังหวัด และอัยการเขต 3 ทั้งหมด รวมถึงจะขอเข้าพบ รมว.ทรัพยากรฯ และนายกฯ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่แต่ฝ่ายราชการไม่รู้เรื่อง ไม่สามารถชี้แจงได้ และจะเปิดแถลงข่าว
ด้าน นายสุทัศน์กล่าวว่า 8 ไร่ ที่งอกมาจนเป็น 30 ไร่ มีที่มาที่ไปอย่างไร ตรงนี้ทำไมอัยการไม่สอบเพิ่ม แต่กลับส่งฟ้องแค่ 21 ไร่ และกรมป่าไม้ ทำไมไม่ไปสำรวจพื้นที่ก่อนฟ้องร้องดำเนินคดี และ พล.อ.สุรยุทธ์ และภรรยา ให้การว่าอย่างไร
ส่วนนายมานิต จิตต์จันทร์กลับ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ที่ปรึกษา กมธ.สอบถามว่า คดีนี้ หากไม่มีหลักฐานใหม่คำสั่งอัยการถือเป็นที่สุด แต่จะเป็นที่สุดได้เมื่อคำสั่งชอบ กรณีนี้ ก่อนอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง ได้ไปดูพื้นที่จริงหรือไม่ ถ้าไม่ ไปสั่งคดีได้อย่างไร
นายอิทธิพรชี้แจงว่า ฝ่ายอัยการไม่ได้ไปดูพื้นที่จริง อย่างไรก็ดี กรณีนี้ พนักงานสอบสวนไม่ได้แจ้งข้อหา และไม่ได้มีการเรียกมาให้ปากคำ โดยในสำนวนพนักงานสอบสวนยืนยันโดยอ้างจากการให้ปากคำของฝ่ายกรมป่าไม้ว่า พื้นที่จำนวน 21 ไร่ ไม่ปรากฏว่าเพิ่มเป็น 30 ไร่ จึงไม่มีความเคลือบแคลงที่จะสอบสวนเพิ่ม และสั่งไม่ฟ้อง เมื่อส่งเรื่องมายังอัยการจึงไม่ต้องส่งตัวผู้ต้องหามาให้อัยการ ทำให้นายสุทัศน์กล่าวสวนทันทีว่า แสดงว่าป่าไม้บกพร่อง เพราะยังตรวจสอบพื้นที่ไม่เรียบร้อยแล้วก็มายืนยันต่อพนักงานสอบสวน
ด้าน นายโกวิท ธารณา ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กมธ.กล่าวว่า หากเรื่องนี้กรมป่าไม้ยึดกฎหมายทั้งหมดและจัดการทั้งชาวบ้าน นักธุรกิจ ซึ่งต่างเป็นแกนด้านเศรษฐกิจด้วยกัน จะส่งผลกระทบต่อประเทศ ดังนั้น หากไปรื้อฟื้นกับตัวบุคคล บ้านเรือนริมแม่น้ำเจ้าพระยาคงต้องรื้อหมด เกิดปัญหาทั้งประเทศแน่ ฉะนั้น ควรหามาตรการค่อยๆ แก้ไข เอาระบบให้เดินได้ อย่ามุ่งจัดการตัวบุคคลและใช้นิติศาสตร์อย่างเดียว และกรณีนี้คนไม่รู้เสียเปรียบ คนรู้ได้เปรียบ คนจนก็ขายเพราะอยากได้เงิน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจาก กมธ.ซักถามนานกว่า 3 ชั่วโมง นายประชาสรุปว่า ให้ผู้มาชี้แจงทั้งหมดไปหาข้อมูลมาเพิ่มเติมเพื่อชี้แจงในการประชุมสัปดาห์หน้าวันที่ 20 มกราคม
ภายหลังปิดประชุม นายประชากล่าวว่า ขณะนี้กำลังประสาน พล.อ.เปรม เพื่อนำข้อมูลการสอบสวนของฝ่ายอัยการไปให้พิจารณา และจะรายงานข้อมูลทั้งหมดให้สำนักราชเลขาธิการทราบด้วย ขณะเดียวกันจะแจ้งความดำเนินคดีกับอธิบดีกรมป่าไม้ อัยการที่รับผิดชอบสำนวนคดี ในฐานะเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ