ASTVผู้จัดการรายวัน - “พรทิวา” ฉวยจังหวะตลาดโลกต้องการข้าว คู่แข่งชะลอส่งออก วิกฤตอาหารมีแนวโน้มกลับมา เล็งระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาล หลังกขช. ไฟเขียวแล้ว หวั่นหากช้าเกินไปไทยเสียโอกาสขายข้าวราคาดี
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์กำลังพิจารณาที่จะระบายข้าวสารในสต๊อกรัฐบาล หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้อนุมัติยุทธศาสตร์การระบายข้าวมาแล้ว โดยเห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะภาวะการค้าและราคาข้าวอยู่ในเกณฑ์ที่ดี หลายๆ ประเทศมีความต้องการซื้อข้าวเพิ่มขึ้น ขณะที่คู่แข่ง เช่น เวียดนาม ผลผลิตยังไม่ออกสู่ตลาดและได้ชะลอการส่งออกข้าว อินเดีย จากประเทศส่งออก แต่ต้องนำเข้าข้าว และมีแนวโน้มว่าในช่วงต้นปี 2553 อาจจะเกิดวิกฤตอาหารขึ้นอีกเช่นเดียวกับปี 2551
“หากไม่ระบายช่วงนี้ ไทยอาจจะเสียโอกาสในการขายข้าวได้ราคาดี เพราะราคาข้าวในตลาดมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยที่ว่ามาข้างต้น จึงต้องใช้จังหวะนี้ขายข้าวในสต๊อกรัฐบาลออกไปบ้าง โดยกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางที่เหมาะสม ซึ่งจะมีหลายๆ รูปแบบ ทั้งการเปิดประมูล การขายจีทูจี และขายในตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าแต่จะไม่ขายทีละมากๆ เพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคา”นางพรทิวากล่าว
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า ขณะนี้หลายประเทศมีความต้องการซื้อข้าว โดยฟิลิปปินส์ อิรัก ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ได้เปิดประมูลเพื่อซื้อข้าวมาแล้วหลายครั้ง และประเทศอื่นๆ ได้แสดงความสนใจซื้อข้าวเพื่อเก็บสต๊อกมากขึ้น ส่งผลทำให้ราคาข้าวในตลาดโลก ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หลังจากที่ฟิลิปปินส์ที่มีการเปิดประมูลและตกลงซื้อข้าวในราคาที่สูง
ทางด้านประเทศผู้ส่งออก อย่างเวียดนาม ได้กำหนดมาตรการให้ผู้ส่งออกทำสัญญาขายข้าวล่วงหน้าเพื่อส่งมอบระยะยาวแทนการส่งออกมอบระยะสั้น เพื่อรอผลผลิตข้าวฤดูกาลใหม่ที่จะออกในเดือนมี.ค.2553 และชะลอการทำสัญญาขายข้าวใหม่เพื่อส่งมอบข้าวตามสัญญาเก่าให้หมด ส่วนอินเดีย ที่จากเดิมเป็นประเทศผู้ส่งออก กำลังพิจารณานำเข้าข้าวในปริมาณมากในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2553 เพราะผลผลิตเสียหาย
จากสถานการณ์ข้างต้น ได้ส่งผลทำให้ราคาข้าวไทยส่วนใหญ่ในเดือนธ.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยข้าวเปลือกเจ้านาปีและข้าวเปลือกเหนียว ราคาเฉลี่ยตันละ 8,908 บาท และ 9,368 บาท สูงกว่าเดือนก่อนซึ่งมีราคาเฉลี่ยตันละ 8,323 บาท และ 8,361 บาท หรือเพิ่มขึ้น 7% และ 12% สำหรับข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาเฉลี่ยตันละ 13,802 บาท ต่ำกว่าเดือนก่อนซึ่งมีราคาเฉลี่ยตันละ 15,546 บาท หรือลดลง 11.2% เนื่องจากผลผลิตออกสู่ตลาดมาก แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ราคาเพิ่มขึ้น 15.9%
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในเดือนธ.ค. ไทยจะส่งออกข้าวได้ประมาณ 6.5 แสนตัน ทำให้การส่งออกข้าวทั้งปี 2552 จะมีปริมาณรวม 8.5 ล้านตัน เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์กำลังพิจารณาที่จะระบายข้าวสารในสต๊อกรัฐบาล หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้อนุมัติยุทธศาสตร์การระบายข้าวมาแล้ว โดยเห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะภาวะการค้าและราคาข้าวอยู่ในเกณฑ์ที่ดี หลายๆ ประเทศมีความต้องการซื้อข้าวเพิ่มขึ้น ขณะที่คู่แข่ง เช่น เวียดนาม ผลผลิตยังไม่ออกสู่ตลาดและได้ชะลอการส่งออกข้าว อินเดีย จากประเทศส่งออก แต่ต้องนำเข้าข้าว และมีแนวโน้มว่าในช่วงต้นปี 2553 อาจจะเกิดวิกฤตอาหารขึ้นอีกเช่นเดียวกับปี 2551
“หากไม่ระบายช่วงนี้ ไทยอาจจะเสียโอกาสในการขายข้าวได้ราคาดี เพราะราคาข้าวในตลาดมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยที่ว่ามาข้างต้น จึงต้องใช้จังหวะนี้ขายข้าวในสต๊อกรัฐบาลออกไปบ้าง โดยกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางที่เหมาะสม ซึ่งจะมีหลายๆ รูปแบบ ทั้งการเปิดประมูล การขายจีทูจี และขายในตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าแต่จะไม่ขายทีละมากๆ เพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคา”นางพรทิวากล่าว
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า ขณะนี้หลายประเทศมีความต้องการซื้อข้าว โดยฟิลิปปินส์ อิรัก ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ได้เปิดประมูลเพื่อซื้อข้าวมาแล้วหลายครั้ง และประเทศอื่นๆ ได้แสดงความสนใจซื้อข้าวเพื่อเก็บสต๊อกมากขึ้น ส่งผลทำให้ราคาข้าวในตลาดโลก ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หลังจากที่ฟิลิปปินส์ที่มีการเปิดประมูลและตกลงซื้อข้าวในราคาที่สูง
ทางด้านประเทศผู้ส่งออก อย่างเวียดนาม ได้กำหนดมาตรการให้ผู้ส่งออกทำสัญญาขายข้าวล่วงหน้าเพื่อส่งมอบระยะยาวแทนการส่งออกมอบระยะสั้น เพื่อรอผลผลิตข้าวฤดูกาลใหม่ที่จะออกในเดือนมี.ค.2553 และชะลอการทำสัญญาขายข้าวใหม่เพื่อส่งมอบข้าวตามสัญญาเก่าให้หมด ส่วนอินเดีย ที่จากเดิมเป็นประเทศผู้ส่งออก กำลังพิจารณานำเข้าข้าวในปริมาณมากในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2553 เพราะผลผลิตเสียหาย
จากสถานการณ์ข้างต้น ได้ส่งผลทำให้ราคาข้าวไทยส่วนใหญ่ในเดือนธ.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยข้าวเปลือกเจ้านาปีและข้าวเปลือกเหนียว ราคาเฉลี่ยตันละ 8,908 บาท และ 9,368 บาท สูงกว่าเดือนก่อนซึ่งมีราคาเฉลี่ยตันละ 8,323 บาท และ 8,361 บาท หรือเพิ่มขึ้น 7% และ 12% สำหรับข้าวเปลือกหอมมะลิ ราคาเฉลี่ยตันละ 13,802 บาท ต่ำกว่าเดือนก่อนซึ่งมีราคาเฉลี่ยตันละ 15,546 บาท หรือลดลง 11.2% เนื่องจากผลผลิตออกสู่ตลาดมาก แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ราคาเพิ่มขึ้น 15.9%
อย่างไรก็ตาม คาดว่าในเดือนธ.ค. ไทยจะส่งออกข้าวได้ประมาณ 6.5 แสนตัน ทำให้การส่งออกข้าวทั้งปี 2552 จะมีปริมาณรวม 8.5 ล้านตัน เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้