ASTVผู้จัดการรายวัน-กขช.โยน “พาณิชย์” ถกโรงสีเปิดจุดรับซื้อข้าวเพิ่มวันนี้ สกัดชาวนารวมตัวประท้วงกับม็อบเสื้อแดง
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้หารือถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาข้าวเปลือกตกต่ำ โดยมอบหมายให้นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ประชุมร่วมกับตัวแทนจากสมาคมโรงสีข้าวไทยในวันนี้ (10 มี.ค.) เพื่อหาแนวทางการเร่งเปิดจุดรับซื้อข้าวเปลือกเพิ่มจากปัจจุบันที่โรงสีเข้าร่วมเปิดจุดตั้งโต๊ะรับซื้อข้าวแล้ว 42 แห่ง จากเครือข่ายโรงสีทั้งหมด 300 โรง เพื่อซื้อผลผลิตข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2553 เพราะมีโรงสีหลายแห่งที่ประสบปัญหาสภาพคล่อง จึงไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ โดยต้องให้ได้ข้อสรุปก่อนวันที่ 12 มี.ค.นี้
ทั้งนี้ โรงสีขอให้รัฐบาลช่วยเหลือเรื่องสภาพคล่อง เพื่อจูงใจให้เข้าร่วมเปิดจุดรับซื้อ เช่น ชดเชยดอกเบี้ย 2% หรือเพิ่มค่าใช่จ่ายในการฝากเก็บข้าวมากกว่าที่ให้ปัจจุบันตันละ 55 บาท/เดือน และทางโรงสียังเรียกร้องให้รัฐบาลระบายข้าวเปลือกที่รับซื้อให้กับโรงสี แต่ทางกขช.เห็นว่ายังไม่ควรระบาย เพราะจะทำให้ข้าวหมุนเวียนกลับสู่ตลาด โรงสีจะรอซื้อข้าวรัฐบาลไม่ซื้อข้าวจากชาวนา กลไกการตลาดก็จะไม่ทำงาน
“กขช.ขอให้เร่งประชุมและหาข้อสรุปให้ได้ จากนั้นให้เสนอรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งรมว.พาณิชย์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ รมช.คลัง และรองนายกรัฐมนตรี เพื่อดำเนินการ เพราะหากรอถึงการประชุมกขช. รอบหน้าในวันที่ 12 มี.ค. กลุ่มชาวนาอาจไม่พอใจและรวมตัวประท้วงร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดงได้” แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวจากสมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวว่า รัฐบาลไม่ยอมผ่อนปรนเงื่อนไขในการตั้งโต๊ะรับซื้อ โดยเฉพาะในเรื่องการระบายข้าวเปลือกให้กับโรงสี การวางค้ำประกัน 50% ทำให้โรงสีไม่สามารถเข้าร่วมซื้อข้าวได้มากกว่านี้ และที่สำคัญราคาตั้งโต๊ะรับซื้อของรัฐบาลสูงกว่าราคาตลาดเพียง 300-500 บาท เมื่อหักความชื้นก็เท่ากับราคาปกติที่โรงสีซื้อ ประมาณตันละ 8,000-8,200 บาท ขณะที่ต้นทุนเกษตรกรต่อไร่เพิ่มขึ้น เพราะผลผลิตต่อไร่ลดลงจากเดิม 700-800 กก.ต่อไร่ เหลือเพียง 500 กก.ไร่ จึงทำให้ออกมาเรียกร้อง
“โรงสีไม่มีสภาพคล่องมากพอที่จะซื้อข้าวไปตุนไว ไปดูตามโรงงานผู้ส่งออกก็ได้ โรงสีไปขายข้าว ก็ถูกผู้ส่งออกให้รอ และซื้อราคาลดลง เช่น ข้าวปทุมจาก 25 บาท เหลือ 19.50 บาท ข้าวนึ่งจาก 18 เหลือ 15 บาทเท่านั้น หากชาวนาจะประท้วงก็คงเป็นเพราะโครงการไม่ได้สร้างประโยชน์กับเกษตรกรเต็มที่ บางรายยังไม่ได้รับชดเชย”แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้หารือถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาข้าวเปลือกตกต่ำ โดยมอบหมายให้นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ประชุมร่วมกับตัวแทนจากสมาคมโรงสีข้าวไทยในวันนี้ (10 มี.ค.) เพื่อหาแนวทางการเร่งเปิดจุดรับซื้อข้าวเปลือกเพิ่มจากปัจจุบันที่โรงสีเข้าร่วมเปิดจุดตั้งโต๊ะรับซื้อข้าวแล้ว 42 แห่ง จากเครือข่ายโรงสีทั้งหมด 300 โรง เพื่อซื้อผลผลิตข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2553 เพราะมีโรงสีหลายแห่งที่ประสบปัญหาสภาพคล่อง จึงไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ โดยต้องให้ได้ข้อสรุปก่อนวันที่ 12 มี.ค.นี้
ทั้งนี้ โรงสีขอให้รัฐบาลช่วยเหลือเรื่องสภาพคล่อง เพื่อจูงใจให้เข้าร่วมเปิดจุดรับซื้อ เช่น ชดเชยดอกเบี้ย 2% หรือเพิ่มค่าใช่จ่ายในการฝากเก็บข้าวมากกว่าที่ให้ปัจจุบันตันละ 55 บาท/เดือน และทางโรงสียังเรียกร้องให้รัฐบาลระบายข้าวเปลือกที่รับซื้อให้กับโรงสี แต่ทางกขช.เห็นว่ายังไม่ควรระบาย เพราะจะทำให้ข้าวหมุนเวียนกลับสู่ตลาด โรงสีจะรอซื้อข้าวรัฐบาลไม่ซื้อข้าวจากชาวนา กลไกการตลาดก็จะไม่ทำงาน
“กขช.ขอให้เร่งประชุมและหาข้อสรุปให้ได้ จากนั้นให้เสนอรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งรมว.พาณิชย์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ รมช.คลัง และรองนายกรัฐมนตรี เพื่อดำเนินการ เพราะหากรอถึงการประชุมกขช. รอบหน้าในวันที่ 12 มี.ค. กลุ่มชาวนาอาจไม่พอใจและรวมตัวประท้วงร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดงได้” แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวจากสมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวว่า รัฐบาลไม่ยอมผ่อนปรนเงื่อนไขในการตั้งโต๊ะรับซื้อ โดยเฉพาะในเรื่องการระบายข้าวเปลือกให้กับโรงสี การวางค้ำประกัน 50% ทำให้โรงสีไม่สามารถเข้าร่วมซื้อข้าวได้มากกว่านี้ และที่สำคัญราคาตั้งโต๊ะรับซื้อของรัฐบาลสูงกว่าราคาตลาดเพียง 300-500 บาท เมื่อหักความชื้นก็เท่ากับราคาปกติที่โรงสีซื้อ ประมาณตันละ 8,000-8,200 บาท ขณะที่ต้นทุนเกษตรกรต่อไร่เพิ่มขึ้น เพราะผลผลิตต่อไร่ลดลงจากเดิม 700-800 กก.ต่อไร่ เหลือเพียง 500 กก.ไร่ จึงทำให้ออกมาเรียกร้อง
“โรงสีไม่มีสภาพคล่องมากพอที่จะซื้อข้าวไปตุนไว ไปดูตามโรงงานผู้ส่งออกก็ได้ โรงสีไปขายข้าว ก็ถูกผู้ส่งออกให้รอ และซื้อราคาลดลง เช่น ข้าวปทุมจาก 25 บาท เหลือ 19.50 บาท ข้าวนึ่งจาก 18 เหลือ 15 บาทเท่านั้น หากชาวนาจะประท้วงก็คงเป็นเพราะโครงการไม่ได้สร้างประโยชน์กับเกษตรกรเต็มที่ บางรายยังไม่ได้รับชดเชย”แหล่งข่าวกล่าว
