แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า องค์การคลังสินค้า (อคส.) ได้ออกประกาศจำหน่ายข้าวสารในสต๊อกรัฐบาล ประกอบด้วยข้าวหอมมะลิ ข้าวหอมจังหวัด ข้าวปทุมธานี ที่ได้จากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปี 2547/48 2548/49 2549/50 และโครงการรับจำนำขาวเปลือกนาปรัง ปี 2548,2550 และ 2551 ให้กับภาคเอกชนที่สนใจ ตามนโยบายของนายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.พาณิชย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว ที่ต้องการเร่งระบายข้าวออกจากสต๊อกให้หมด เพื่อเตรียมความพร้อมในเรื่องเงิน และโกดังข้าวที่จะนำมาใช้ในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ฤดูกาล 2551/52 ที่จะเปิดโครงการวันที่ 1 พ.ย.นี้
ทั้งนี้ เงื่อนไขในการเปิดประมูลตามทีโออาร์ที่อคส.กำหนด โดยระบุว่าผู้ชนะการประมูลสามารถนำข้าวที่ได้ไปส่งออกหรือจำหน่ายในประเทศก็ได้ โดยจะต้องเสนอราคาเป็นเงินบาทต่อข้าว 1,000 กก. กำหนดให้ยื่นซองเสนอราคาได้ในวันที่ 5 พ.ย. 2551 ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาการประมูลข้าวรับซองและเปิดซองหลักฐานเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติ ก่อนที่จะเสนอคณะอนุกรรมการเจรจาต่อรองราคา เพื่อคัดเลือกผู้เสนอราคาสูงสุดและเงื่อนไขที่ดีสุด
นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ผู้ชนะประมูลวางเงินค้ำประกัน 5% ของมูลค่าข้าวที่ประมูลได้ภายใน 10 วันนับจากวันรับแจ้ง หากใครไม่มาดำเนินการตามนั้น อคส.มีสิทธิจะนำข้าวไปขายให้คนที่เสนอราคาต่ำกว่า และจะไม่พิจารณาผู้ละทิ้งการเสนอราคาในการประมูลครั้งต่อไป ส่วนการส่งมอบข้าวต้องดำเนินการภายใน 30 วันสำหรับข้าว 2 หมื่นตัน ให้เพิ่มระยะเวลาไปจนถึง 180 วัน สำหรับข้าวที่เกิน 3 แสนตัน
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า การเปิดประมูลขายข้าวล็อตใหญ่ของรัฐ คาดว่าคงมีผู้ส่งออกรายใหญ่เท่านั้นที่สนใจเข้าร่วมประมูล ส่วนรายเล็กคงเข้าร่วมได้ยาก เพราะเงื่อนไขการประมูลค่อนข้างจะเข้มงวด และมีความเสี่ยงสูง ในขณะที่สถานการณ์ราคาข้าวโลกผันผวน และปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง โดยขณะนี้ราคาส่งออกข้าวขาว 5% อยู่ที่ 580 เหรียญสหรัฐ/ตัน สูงกว่าราคาเวียดนาม ซึ่งขายเพียง 350 เหรียญสหรัฐ/ตัน ลดลงจากช่วง 1-2 สัปดาห์ก่อนที่เคยขายที่ 430-440 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาดส่งออกข้าวขาลง
“การระบายข้าวครั้งนี้ ขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะยอมขาดทุนหรือไม่ หรือจะอิงราคาจำนำ เพราะแม้จะมีผู้ส่งออกเข้าร่วมประมูล แต่ก็น่าจะเสนอซื้อในราคาต่ำ และสนใจข้าวเก่ามากกว่าข้าวนาปรัง เพราะราคาอาจจะใกล้เคียงกับตลาด โดยราคาข้าวเก่าจะซื้อได้ตันละ 1.3-1.4 หมื่นบาท คิดเป็นเอฟโอบีได้ 520 เหรียญสหรัฐ จากราคาจำนำ 7,000-8,000 บาท”
ขณะที่ข้าวใหม่ ซึ่งเป็นข้าวสารน่าจะเสนอซื้อที่ 1.6 หมื่นบาท หรือคิดเป็นเอฟโอบีได้ 580 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งหากรัฐบาลจะบังคับให้ซื้อระบบสัดส่วนข้าวใหม่ต่อข้าวเก่า 1 ต่อ 1 ความต้องการซื้อคงลดลง เพราะเมื่อเฉลี่ยราคาแล้วไม่คุ้มทุน นอกจากนี้การกำหนดให้ประมูลเพื่อจำหน่ายภายใน อาจจะทำให้ราคาข้าวในประเทศปรับลดลงได้ แต่ข้อดีก็คือจะมีผู้สนใจเข้าร่วมซื้อมากขึ้น เช่น ผู้ประกอบการข้าวถุง และโรงสี แต่รัฐบาลจะต้องระวังการประมูลข้าวเก่า เพื่อนำมาเวียนเทียนขายเข้าสู่โครงการรับจำนำฤดูกาลใหม่ ซึ่งมีส่วนต่างสูงกว่ากันอีกอย่างต่ำ 2,000 บาท/ตัน
ทั้งนี้ เงื่อนไขในการเปิดประมูลตามทีโออาร์ที่อคส.กำหนด โดยระบุว่าผู้ชนะการประมูลสามารถนำข้าวที่ได้ไปส่งออกหรือจำหน่ายในประเทศก็ได้ โดยจะต้องเสนอราคาเป็นเงินบาทต่อข้าว 1,000 กก. กำหนดให้ยื่นซองเสนอราคาได้ในวันที่ 5 พ.ย. 2551 ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาการประมูลข้าวรับซองและเปิดซองหลักฐานเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติ ก่อนที่จะเสนอคณะอนุกรรมการเจรจาต่อรองราคา เพื่อคัดเลือกผู้เสนอราคาสูงสุดและเงื่อนไขที่ดีสุด
นอกจากนี้ ยังกำหนดให้ผู้ชนะประมูลวางเงินค้ำประกัน 5% ของมูลค่าข้าวที่ประมูลได้ภายใน 10 วันนับจากวันรับแจ้ง หากใครไม่มาดำเนินการตามนั้น อคส.มีสิทธิจะนำข้าวไปขายให้คนที่เสนอราคาต่ำกว่า และจะไม่พิจารณาผู้ละทิ้งการเสนอราคาในการประมูลครั้งต่อไป ส่วนการส่งมอบข้าวต้องดำเนินการภายใน 30 วันสำหรับข้าว 2 หมื่นตัน ให้เพิ่มระยะเวลาไปจนถึง 180 วัน สำหรับข้าวที่เกิน 3 แสนตัน
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า การเปิดประมูลขายข้าวล็อตใหญ่ของรัฐ คาดว่าคงมีผู้ส่งออกรายใหญ่เท่านั้นที่สนใจเข้าร่วมประมูล ส่วนรายเล็กคงเข้าร่วมได้ยาก เพราะเงื่อนไขการประมูลค่อนข้างจะเข้มงวด และมีความเสี่ยงสูง ในขณะที่สถานการณ์ราคาข้าวโลกผันผวน และปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง โดยขณะนี้ราคาส่งออกข้าวขาว 5% อยู่ที่ 580 เหรียญสหรัฐ/ตัน สูงกว่าราคาเวียดนาม ซึ่งขายเพียง 350 เหรียญสหรัฐ/ตัน ลดลงจากช่วง 1-2 สัปดาห์ก่อนที่เคยขายที่ 430-440 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาดส่งออกข้าวขาลง
“การระบายข้าวครั้งนี้ ขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะยอมขาดทุนหรือไม่ หรือจะอิงราคาจำนำ เพราะแม้จะมีผู้ส่งออกเข้าร่วมประมูล แต่ก็น่าจะเสนอซื้อในราคาต่ำ และสนใจข้าวเก่ามากกว่าข้าวนาปรัง เพราะราคาอาจจะใกล้เคียงกับตลาด โดยราคาข้าวเก่าจะซื้อได้ตันละ 1.3-1.4 หมื่นบาท คิดเป็นเอฟโอบีได้ 520 เหรียญสหรัฐ จากราคาจำนำ 7,000-8,000 บาท”
ขณะที่ข้าวใหม่ ซึ่งเป็นข้าวสารน่าจะเสนอซื้อที่ 1.6 หมื่นบาท หรือคิดเป็นเอฟโอบีได้ 580 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งหากรัฐบาลจะบังคับให้ซื้อระบบสัดส่วนข้าวใหม่ต่อข้าวเก่า 1 ต่อ 1 ความต้องการซื้อคงลดลง เพราะเมื่อเฉลี่ยราคาแล้วไม่คุ้มทุน นอกจากนี้การกำหนดให้ประมูลเพื่อจำหน่ายภายใน อาจจะทำให้ราคาข้าวในประเทศปรับลดลงได้ แต่ข้อดีก็คือจะมีผู้สนใจเข้าร่วมซื้อมากขึ้น เช่น ผู้ประกอบการข้าวถุง และโรงสี แต่รัฐบาลจะต้องระวังการประมูลข้าวเก่า เพื่อนำมาเวียนเทียนขายเข้าสู่โครงการรับจำนำฤดูกาลใหม่ ซึ่งมีส่วนต่างสูงกว่ากันอีกอย่างต่ำ 2,000 บาท/ตัน