นางสดศรี สัตยธรรม กกต.กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงกรณีที่ กกต. ถูกหลายฝ่ายวิจารณ์หลังกกต.เสียงข้างมากลงมติให้นายทะเบียนพรรคการเมือง เป็นผู้ตัดสินเงินบริจาค 258 ล้านบาทที่นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตผู้บริหารบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ เป็นการดำเนินการแบบ 2 มาตรฐาน ต่างจากโดยคดียุบพรรคอื่นที่ กกต.ทำด้วยความรวดเร็ว ว่า คดีของ พรรคประชาธิปัตย์ กับคดียุบพรรคอื่นๆ ในอดีตคงนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้ เพราะคดียุบพรรคในอดีต เป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ซึ่งมีการพิจารณาในรูปแบบเต็มองค์คณะของกกต. ทั้ง 5 คน และคดีเลือกตั้งไม่ยากเย็น ไม่ซับซ้อนมาก เมื่อมีหลักฐานเป็นวิดีโอบันทึกภาพ และเหตุเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ไม่เหมือนกรณีนี้ที่เกิดขึ้นมานานแล้ว หลักฐานต่างๆมีความซับซ้อนมาก
นอกจากนี้ การพิจารณาคดียุบพรรคจากการทุจริตเลือกตั้งอย่างพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย พรรคมัฌิมาธิปไตย เมื่อ กกต.มีมติเต็มองค์คณะตัดสินกรรมการบริหารพรรคคนนั้นๆ เรื่องก็ไปที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง และใช้เวลาพิจารณาพอสมควร พอศาลมีคำตัดสินก็ส่งเรื่องกลับมายังกกต. และนายทะเบียนณ ก็เป็นผู้พิจารณาว่า มีเหตุให้ยุบพรรคแล้วถึงมาขอความเห็นชอบจาก กกต. ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ กกต.จะไม่เห็นชอบ เพราะมีการกรองมาจากศาลแล้วชั้นหนึ่ง
ส่วนกรณีพรรคประชาธิปัตย์ เป็นไปตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย พรรคการเมือง ซึ่งนายทะเบียนเป็นผู้พิจารณาโดยตรง และจะนำระยะเวลาการสอบสวนมาเทียบกันไม่ได้ ขนาดดีเอสไอสอบตั้งนานยังสอบสวนไม่เสร็จเลย ทำเสร็จ 75 % แล้วส่งมาให้ กกต. เป็นเอกสาร 3 พันกว่าแผ่น มีใบสรุปสำนวน 10 แผ่น ที่ยังสอบสวนไม่เสร็จด้วย ถามว่า ทำไมตอนนั้นดีเอสไอไม่ทำต่อให้เสร็จ และด้านกิจการพรรคการเมืองเคยเสนอที่ประชุม กกต.ด้วยซ้ำว่า เรื่องนี้เป็นคดีอาญา ดีเอสไอสามารถสอบสวนและฟ้องร้องดำเนินคดีได้ ไปๆ มาๆ ตอนนี้ มีการให้สัมภาษณ์ว่า หาก กกต.ยกคำร้อง ดีเอสไอจะทำต่อ ถามว่า ทำไมท่านไม่ทำตั้งแต่แรกให้เสร็จ
ส่วนที่นายทะเบียนฯ ตั้งคณะทำงานขึ้นมาสอบสวนอีกทั้งที่มีการตั้งอนุกรรมการสอบสวนมาแล้ว นางสดศรี กล่าวว่า เป็นอำนาจของนายทะเบียนฯ ซึ่งเป็นสิทธิ์ กกต.ไม่มีสิทธิ์คัดค้าน นายทะเบียนฯอาจจะต้องการหลักฐานอะไรเพิ่มเติม ก็คงต้องรอนายทะเบียนฯวินิจฉัย
นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง และในฐานะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวยืนยันพรรคประชาธิปัตย์ว่าไม่เคยใช้อำนาจทางใด ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือการรู้จักส่วนตัว เข้าไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เพราะเราเคยต่อสู้เรื่องนี้มาก่อน แม้กกต.จะทำหน้าที่ ตรวจสอบพรรคอยู่ เหมือนรัฐบาลที่แล้วที่เข้ามาแทรกแซงองค์กรอิสระและถูกศาลสั่งลงโทษ
อย่างไรก็ดี มีการพยายามโยงหรือให้น้ำหนักว่ากระบวนการ ยุติธรรมมีสองมาตรฐาน ทั้งที่ความจริงกระบวนการยุติธรรมไทย ได้รับความเชื่อถือ จากต่างประเทศ ส่วนคนที่ออกมาวิจารณ์เพราะได้รับการลงโทษจากกระบวนการยุติธรรมและองค์กรอิสระ และไม่ยอมรับ แต่พอได้ประโยชน์จะนิ่งเฉย ทั้งนี้ เรื่องกฎหมายมีความละเอียดอ่อน และมีความเป็นวิชาชีพ ถ้ารู้ข้อเท็จจริงไม่ครบจะกระทบกับกระบวนการทำงาน
การที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย ระบุว่า เงินบริจาค 258 ล้านบาท มาจากบริษัท พีทีไอโพลีน ทั้งที่สามารถตรวจสอบได้ว่า เงินนี้ไปเข้าบุคคล ไม่ได้เข้ามาที่พรรค หรือกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้น ขอให้ทุกฝ่ายหยุดการกดดันการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระ
นอกจากนี้ การพิจารณาคดียุบพรรคจากการทุจริตเลือกตั้งอย่างพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย พรรคมัฌิมาธิปไตย เมื่อ กกต.มีมติเต็มองค์คณะตัดสินกรรมการบริหารพรรคคนนั้นๆ เรื่องก็ไปที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง และใช้เวลาพิจารณาพอสมควร พอศาลมีคำตัดสินก็ส่งเรื่องกลับมายังกกต. และนายทะเบียนณ ก็เป็นผู้พิจารณาว่า มีเหตุให้ยุบพรรคแล้วถึงมาขอความเห็นชอบจาก กกต. ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ กกต.จะไม่เห็นชอบ เพราะมีการกรองมาจากศาลแล้วชั้นหนึ่ง
ส่วนกรณีพรรคประชาธิปัตย์ เป็นไปตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย พรรคการเมือง ซึ่งนายทะเบียนเป็นผู้พิจารณาโดยตรง และจะนำระยะเวลาการสอบสวนมาเทียบกันไม่ได้ ขนาดดีเอสไอสอบตั้งนานยังสอบสวนไม่เสร็จเลย ทำเสร็จ 75 % แล้วส่งมาให้ กกต. เป็นเอกสาร 3 พันกว่าแผ่น มีใบสรุปสำนวน 10 แผ่น ที่ยังสอบสวนไม่เสร็จด้วย ถามว่า ทำไมตอนนั้นดีเอสไอไม่ทำต่อให้เสร็จ และด้านกิจการพรรคการเมืองเคยเสนอที่ประชุม กกต.ด้วยซ้ำว่า เรื่องนี้เป็นคดีอาญา ดีเอสไอสามารถสอบสวนและฟ้องร้องดำเนินคดีได้ ไปๆ มาๆ ตอนนี้ มีการให้สัมภาษณ์ว่า หาก กกต.ยกคำร้อง ดีเอสไอจะทำต่อ ถามว่า ทำไมท่านไม่ทำตั้งแต่แรกให้เสร็จ
ส่วนที่นายทะเบียนฯ ตั้งคณะทำงานขึ้นมาสอบสวนอีกทั้งที่มีการตั้งอนุกรรมการสอบสวนมาแล้ว นางสดศรี กล่าวว่า เป็นอำนาจของนายทะเบียนฯ ซึ่งเป็นสิทธิ์ กกต.ไม่มีสิทธิ์คัดค้าน นายทะเบียนฯอาจจะต้องการหลักฐานอะไรเพิ่มเติม ก็คงต้องรอนายทะเบียนฯวินิจฉัย
นายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง และในฐานะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวยืนยันพรรคประชาธิปัตย์ว่าไม่เคยใช้อำนาจทางใด ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือการรู้จักส่วนตัว เข้าไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เพราะเราเคยต่อสู้เรื่องนี้มาก่อน แม้กกต.จะทำหน้าที่ ตรวจสอบพรรคอยู่ เหมือนรัฐบาลที่แล้วที่เข้ามาแทรกแซงองค์กรอิสระและถูกศาลสั่งลงโทษ
อย่างไรก็ดี มีการพยายามโยงหรือให้น้ำหนักว่ากระบวนการ ยุติธรรมมีสองมาตรฐาน ทั้งที่ความจริงกระบวนการยุติธรรมไทย ได้รับความเชื่อถือ จากต่างประเทศ ส่วนคนที่ออกมาวิจารณ์เพราะได้รับการลงโทษจากกระบวนการยุติธรรมและองค์กรอิสระ และไม่ยอมรับ แต่พอได้ประโยชน์จะนิ่งเฉย ทั้งนี้ เรื่องกฎหมายมีความละเอียดอ่อน และมีความเป็นวิชาชีพ ถ้ารู้ข้อเท็จจริงไม่ครบจะกระทบกับกระบวนการทำงาน
การที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย ระบุว่า เงินบริจาค 258 ล้านบาท มาจากบริษัท พีทีไอโพลีน ทั้งที่สามารถตรวจสอบได้ว่า เงินนี้ไปเข้าบุคคล ไม่ได้เข้ามาที่พรรค หรือกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้น ขอให้ทุกฝ่ายหยุดการกดดันการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระ