xs
xsm
sm
md
lg

การเมืองใหม่ “หลักไมล์”ของแผ่นดิน

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

โลกกำลังเคลื่อน ประเทศไทยก็กำลังเคลื่อน

ตัวขับเคลื่อนของโลกมีอะไรบ้าง? ที่เห็นกันอย่างชัดเจนก็คือการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยที่ถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นฐาน การบริหารอำนาจเป็นไปอย่างโปร่งใส คณะผู้บริหารประเทศรับผิดชอบต่อหน้าที่ เอาจริงเอาจังและเอาการเอางาน ถือเอาการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคน ยกระดับคุณภาพประชากรทั้งประเทศเป็นเป้าหมายสูงสุด

จึงปรากฏว่า ประเทศใดมีปัจจัยสองประการนี้ทำหน้าที่อยู่อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ประเทศนั้นก็เจริญก้าวหน้า โดดเด่นกว่าประเทศอื่น

ประเทศไทยจะอาศัยอะไรมาขับเคลื่อน? การเมืองเก่าไม่มีสิทธิ ไม่อยู่ในฐานะที่จะแบกรับหน้าที่นี้ได้ จำเป็นจะต้องใช้ “การเมืองใหม่” เป็นตัวขับเคลื่อน นั่นคือ ประเทศไทยจะเคลื่อนตัวเข้าสู่ยุคใหม่ได้ด้วยการเมืองใหม่ ที่มีองค์ประกอบสำคัญอยู่ที่ การเมืองที่เป็นประชาธิปไตยของมวลมหาชน และ คณะผู้บริหาร “ทุ่มเท” และ “อุทิศตัว” ทำหน้าที่เพื่อส่วนรวมอย่างเอาจริงเอาจัง เอาการเอางาน (ถ้าใช้มาตรฐานพันธมิตรฯ และพรรคการเมืองใหม่เป็นตัววัด ก็คือ “ซื่อสัตย์ เสียสละ กล้าหาญ ทำงานเป็น”)

ทั้งนี้ การเมืองใหม่ในความหมายกว้าง เป็นการเมืองในฝันของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ ไม่มีใครผูกขาดการเมืองใหม่ ทุกฝ่ายที่พร้อมสามารถดำเนินการสร้างการเมืองใหม่ได้ด้วยมือตน

แต่เมื่อพิจารณาในทางประวัติศาสตร์ เริ่มต้นจากความเป็นจริง การเมืองใหม่ที่ทุกฝ่ายถวิลหา ริเริ่มขึ้นมาและดำเนินการสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หัวขบวนของขบวนการการเมืองภาคประชาชน ซึ่งปัจจุบันนี้ได้พัฒนาขึ้นเป็นรูปเป็นร่างชัดเจน ทั้งทางด้านแนวคิดทฤษฎี ด้านการจัดตั้ง และด้านนโยบาย แสดงบทบาทเป็น “ตัวแปรหลัก” เปลี่ยนแปลงประเทศไทย เพื่อให้ประเทศไทยก้าวไปสู่อนาคตที่ทุกฝ่ายวาดหวัง อันหมายถึงสังคมอุดมธรรมที่ปวงชนชาวไทยมีอิสระเสรีภาพในการพัฒนาคุณภาพชีวิต อยู่ดีมีสุข ประเทศชาติมีประชากรทรงคุณภาพ ที่ไม่ด้อยไปกว่าประชากรประเทศใด ทั้งที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา

ในบริบทของประวัติศาสตร์ยุคใหม่ที่สังคมโลกเชื่อมโยงเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน สัมพันธ์กัน ขับเคลื่อนไปด้วยกัน เรามองเห็นได้ไม่ยากว่า การเมืองใหม่ ถูกนำเสนอขึ้นมาในห้วงที่สังคมโลกกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ยุคประชาธิปไตยมวลมหาชน ซึ่งการใช้อำนาจบริหารประเทศของพรรคการเมือง ทั้งของชนชั้นนายทุนและชนชั้นกรรมาชีพ มีแนวโน้มถือเอาผลประโยชน์ของมวลมหาชนเป็นที่ตั้ง คำนึงถึงคุณภาพชีวิตของคนเป็นอันดับแรก

ปรากฏการณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มดังกล่าว คือ

1.ประชาชนในโลกทุนนิยม มีส่วนร่วมมากขึ้นในการบริหารประเทศ ตามระบบเสรีประชาธิปไตย (ประชาธิปไตยชนชั้นนายทุน)

2.ประชาชนในประเทศสังคมนิยม สามารถเรียกร้องให้รัฐปกป้องคุ้มครองสิทธิประโยชน์ในด้านต่างๆ อย่างเปิดเผยมากขึ้น ตามระบบประชาธิปไตยประชาชน (เผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ)

ในบริบทหรือเงื่อนไขระดับโลกดังกล่าว การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยด้วย “การเมืองใหม่” จึงสอดคล้องกับขั้นพัฒนาการของประวัติศาสตร์โลก เหมาะสมกับสภาพเป็นจริงของประเทศไทย และเป็นไปตามความเรียกร้องต้องการของปวงชนชาวไทยทุกระดับชั้น

สภาพเป็นจริงของประเทศไทย ที่คนไทยทั่วไปรับรู้กันแล้วก็คือ ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 พัฒนาการทางการเมืองของประเทศไทย ดำเนินมาอย่างลุ่มๆ ดอนๆ ไม่สามารถสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ ไม่สามารถตอบสนองความเรียกร้องต้องการของมวลมหาชนได้อย่างแท้จริง

ความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทย จึงมีอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว

ดังนั้น เมื่อกลุ่มทุนนิยมสามานย์ในระบอบทักษิณ “หลับหูหลับตา”ใช้อำนาจในทางมิชอบไปทั่วทุกด้าน จึงนำไปสู่การรวมตัวกันเข้าของขบวนการการเมืองภาคประชาชน เคลื่อนไหวต่อต้านการใช้อำนาจในระบอบทักษิณ พร้อมกันนั้นได้เสนอ “การเมืองใหม่” เป็นทางออกอย่างยั่งยืนให้แก่ประเทศไทย

การเมืองใหม่ โดยการนำเสนอของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มุ่งสถาปนาระบบประชาธิปไตยมวลมหาชน ที่อำนาจประชาชน(อำนาจกำหนดใหม่) เข้าแทนที่อำนาจกลุ่มทุน (อำนาจกำหนดเก่า)

หัวใจของระบบประชาธิปไตยมวลมหาชน อยู่ที่มวลมหาชนเบื้องล่างเป็นผู้กำหนดการใช้อำนาจของผู้ใช้อำนาจเบื้องบน อำนวยประโยชน์สูงสุดให้แก่มวลมหาชนส่วนใหญ่ของประเทศ สร้างเสริมความเข้มแข็งให้แก่มวลมหาชนเบื้องล่าง เพื่อให้เป็นอำนาจตั้งต้นที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคตอันรุ่งเรือง

โดยนัยดังกล่าว ระบบประชาธิปไตยมวลมหาชน จึงเป็นการ “ต่อยอด” พัฒนาการทางประชาธิปไตยของโลก การสร้างการเมืองใหม่ จึงเป็นการประสานการขับเคลื่อนของประเทศไทย ซึ่งเป็นกระแสหนึ่ง เข้ากับกระแสใหญ่ของพัฒนาการสังคมโลกอย่าง “รู้จริง” และ “รู้ทัน”

หมายถึงว่า เราไม่ได้เชื่อมตัวเองเข้าตรง “ปลาย” ของกระแสโลก แต่มุ่งประสานตนเองเข้าตรงที่ “ต้น” หรือ “หัว” ของกระแสโลก

ดังที่ผู้เขียนได้นำเสนอมาแล้วว่า ระบบประชาธิปไตยมวลมหาชนของการเมืองใหม่ เป็นประชาธิปไตยกงล้อ หมุนเวียนด้วยพลังอำนาจมวลมหาชนจากเบื้องล่าง สร้างประโยชน์ให้แก่คนส่วนใหญ่ในสังคมอย่างแท้จริง มีความเป็นประชาธิปไตยสูงสุด ก้าวหน้าที่สุดของมวลมนุษยชาติ

การเมืองใหม่เช่นนี้ “มีสิทธิ” เกิดขึ้นในประเทศไทย ด้วยเหตุผลสำคัญ คือ การเมืองใหม่เป็นการเมืองของประชาชน ประชาชนชาวไทยร่วมกันเป็น “เจ้าภาพ” เป็นผู้ลงมือทำเอง

ในทางปฏิบัติ (ซึ่งได้ทำมาแล้ว และกำลังทำอยู่) ก็คือ ขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เคลื่อนไหวต่อต้านโค่นล้มรัฐบาลหุ่นเชิดในระบอบทักษิณลงไปได้ และจะสามารถต่อสู้เอาชนะกลุ่มอำนาจการเมืองเก่าอื่นๆ ต่อไปอีก ด้วยการจุดเทียนปัญญามวลมหาชนทุกระดับชั้น จนเกิดการตื่นตัวกันทั่วไป สนับสนุนและเข้าร่วมขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรฯ ร่วมสร้างอำนาจกำหนดใหม่ ต่อสู้เอาชนะอำนาจกำหนดเก่า สถาปนาอำนาจมวลมหาชนขึ้นแทนที่อำนาจกลุ่มทุนสามานย์ในที่สุด

กระบวนการเช่นว่านี้ จะดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องและอย่างยั่งยืน ไม่มีวันสะดุดหยุดลง ด้วยเหตุผลที่เราๆ ท่านๆ สามารถอธิบายได้ด้วยตนเอง

แต่เหตุผลสำคัญที่ผู้เขียนใคร่ขอเน้นเป็นพิเศษก็คือ การเคลื่อนไหวของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรฯ ได้ยึดหลัก “อิสระ เป็นตัวของตัวเอง ทั้งทางความคิดและการปฏิบัติ” มาตั้งแต่เริ่มต้น เพราะมันคือหลักประกันเบื้องต้นแห่งชัยชนะของการเคลื่อนไหวต่อสู้ ล้างการเมืองเก่า สร้างการเมืองใหม่ ในทุกขั้นตอน

ผลของการเคลื่อนไหวต่อสู้ที่ดำเนินมาตั้งแต่ปลายปี 2548 จนถึงปัจจุบันนี้ ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงสัจธรรมข้อนี้เป็นอย่างดี เป็นที่มาของการยอมรับ และความเชื่อมั่นศรัทธาในหมู่มหาชนชาวไทยทั้งในและต่างประเทศอย่างแท้จริง

ณ วันนี้ ในทางยุทธศาสตร์ ขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรฯ ด้วยความร่วมแรงร่วมใจของชาวพันธมิตรฯ และสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ กำลังแสดงบทบาทเป็นแกนนำของประชาชนในทุกภาคส่วน โดยไม่มีการแบ่งแยกใดๆ ทั้งสิ้น จากนี้ไปดำเนินการ “จุดเทียนปัญญา” นำเสนอความจริงให้ปรากฏสู่สังคมไทย ให้มวลมหาชนหูตาสว่าง “ตื่นตัว” สนับสนุนและร่วมปฏิบัติภารกิจทางประวัติศาสตร์ ร่วมกันสร้างการเมืองใหม่ในทุกจุดที่เป็นไปได้ เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศไทย

ในการเคลื่อนไหว พันธมิตรฯ และพรรคการเมืองใหม่ ยึดมั่นในความชอบธรรม ยึดหลัก “เอาธรรมนำหน้า” ยึดแนวทางการต่อสู้แบบ “สันติ อหิงสา” ตั้งแต่ต้นจนปลาย เพื่อให้สอดรับกับเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของการต่อสู้ ซึ่งก็คือ ความมีปัญญาของมวลมหาชน เมื่อประชาชนหูตาสว่าง รู้ว่าอะไรคือการเมืองเก่า อะไรคือการเมืองใหม่แล้ว การเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ก็จะอุบัติขึ้นในแผ่นดินไทย

จึงไม่ยากที่จะพูดว่า แนวคิดยุทธศาสตร์ของพันธมิตรฯ และพรรคการเมืองใหม่ ตั้งอยู่บนฐานของ “สัมมาทิฐิ” ทุกอย่างดำเนินไปตามเหตุปัจจัย มีความเป็น “ทางสายกลาง” ตั้งแต่ต้นจนปลาย

ถึงที่สุดแล้ว จึงพูดได้ว่า การเมืองใหม่คือ “หลักไมล์” ของแผ่นดิน
กำลังโหลดความคิดเห็น