จากเด็กที่เร่ร่อนออกจากบ้านเมื่ออายุ 13 ขวบ ต้องอาศัยข้าวก้นบาตรจากพระที่วัดในการประทังชีวิต วันนี้ “สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซน” ได้กลายเป็นผู้นำสูงสุดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดินกัมพูชา เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่ต้องการตำแหน่ง ต้องการลงทุน หรือต้องการทำอะไรก็ตามในกัมพูชาให้ประสบความสำเร็จ จะต้องสยบยอมต่ออำนาจของเขาโดยไม่มีข้อแม้
แม้กระทั่งพระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี กษัตริย์ของกัมพูชาทุกวันนี้ก็ยังต้องจำนนอยู่ภายใต้การบงการของเขา
จนสามารถกล่าวได้ว่า ฮุนเซนคือกัมพูชา และกัมพูชาคือฮุนเซน
อย่างไรก็ตาม อำนาจและเงินของฮุนเซนไม่ได้มาด้วยการปกครองที่ชอบธรรม หากได้มาด้วยการทุจริตคอรัปชั่นในทุกหย่อมหญ้า โดยวงศ์วานว่านเครือและสมัครพรรคพวกของเขาที่พาเหรดเข้าทำมาหากินเพื่อกอบโกยผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเองอย่างโจ๋งครึ่ม โดยเฉพาะล่าสุดกับการซื้อขายตำแหน่ง “ออกญา” การวางแผนยึดบริษัท บริษัท แคมโบเดีย แอร์ ทราฟฟิก เซอร์วิสหรือCATS ให้กับลูกสาวของตนเอง รวมถึงเล่ห์เพทุบายในการห้ามไม่ให้เรือประมงไทยเข้าไปจับปลาในน่านน้ำเขมรเพื่อเคาะกะลารับเงินใต้โต๊ะ
นี่คือฮุนเซนโมเดลที่นายใหญ่แห่งดูไบปรารถนาที่จะเป็นเช่นนั้นบ้าง
ฮุนเซนโมเดลกินรวบ
การวางเครือข่ายฮุนเซนโมเดลในกัมพูชานั้น ถ้าจะว่าไปแล้ว ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากระบอบเผด็จการที่ผูกขาดอำนาจเบ็ดเสร็จเอาไว้ที่คนกลุ่มหนึ่ง เพื่อจัดสรรและแบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นเข้ากระเป๋าของตัวเองแทนที่จะเป็นของประชาชนชาวกัมพูชา
ขณะเดียวกันก็ขยายสายสัมพันธ์กับบรรดาผู้นำคนสำคัญให้แน่นแฟ้นด้วยการส่ง “ลูกสาว” และ “ลูกชาย” ไปแต่งงานด้วย เช่น ส่งลูกสาวคนหนึ่งไปแต่งกับลูกชายของนายซกอาน รองนายกรัฐมนตรี อีกคนหนึ่งก็ให้แต่งกับลูกชายของอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกัมพูชา ขณะที่ลูกชายก็จับไปแต่งงานกับลูกสาวของนายอิมชัยรี รองนายกรัฐมนตรี เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีการส่งเครือญาติและขุนพลข้างกายไปยึดครองเก้าอี้สำคัญๆ ต่างๆ อีกมากมาย อาทิ ส่งหลานเขยไปเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ เช่นเดียวกับตำแหน่งข้าราชการสำคัญๆ ที่มีคนของฮุนเซนไปจับจองเก้าอี้ต่างๆ เอาไว้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และสามารถนั่งอยู่ในเก้าอี้ตัวนั้นได้ตลอดไปตราบใดที่ไม่มีคำสั่งมาจากฮุนเซน
สำหรับเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของฮุนเซนนั้น ต้องบอกว่าหนักแน่นมั่นคงยิ่งกว่าคอนกรีตเสริมเหล็ก เลือกตั้งครั้งใดก็สามารถคว้าชัยชนะมาได้อย่างท่วมท้น โดยหัวคะแนนของฮุนเซนไม่ใช่ใครอื่นหากแต่เป็นบรรดา “ผู้ว่าราชการจังหวัด” ที่ฮุนเซนส่งคนไปนั่งทำงาน และเมื่อถึงเวลาเลือกตั้ง บรรดาผู้ว่าฯ จะต้องลงพื้นที่หาเสียงให้กับฮุนเซนและส่งรายงานเบื้องต้นถึงตัวเลขคะแนนเสียงมาให้ฮุนเซนทราบก่อนล่วงหน้า เช่น ผู้ว่าฯ บอกว่า การเลือกตั้งเที่ยวนี้ ฮุนเซนจะได้ 5 หมื่นคะแนน เลือกตั้งจริง คะแนนที่ออกมาต้องได้ไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นคะแนน และถ้าพลาดผลที่เกิดขึ้นก็คือ ถูกย้ายภายใน 7 วัน
เช่นเดียวกับตำแหน่ง ส.ส.ของกัมพูชา ถ้าใครอยากเป็นก็ต้องเอาเงินมาจ่ายให้กับพรรค และพรรคจะจัดการเพื่อให้คนๆ นั้นได้รับเลือกตั้งเข้ามา ด้วยเหตุดังกล่าว นักธุรกิจส่วนใหญ่ของกัมพูชาก็เลยต้องเป็นนักการเมือง เนื่องจากผลประโยชน์ที่จะได้กลับมามากมายมหาศาล เพราะนั่นหมายถึงสิทธิในการกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติในจังหวัดของตัวเองอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดโดยที่ไม่มีองค์กรหรือหน่วยงานใดเข้ามาตรวจสอบได้
ส่วนใครที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม ฮุนเซนจะใช้วิธีจูงใจเพื่อให้ย้ายมาอยู่ในสังกัดตัวเอง โดยมอบให้ทั้งตำแหน่งและอำนาจเพื่อให้เข้าไปโกงกินได้ตามใจชอบ จากนั้น เมื่อปรากฏหลักฐานชัดเจน ชะตากรรมของคนๆ นั้นก็จบลงด้วยการถูกจับหรือเสียชีวิตโดยไม่สามารถจับมือใครดมได้
"ลูก-เมีย” ผู้ยิ่งใหญ่ตัวจริง
อย่างไรก็ตาม นอกจากตัวฮุนเซนแล้ว ภรรยาของเขา-นางบุนรานี และลูก ก็เป็นผู้ทรงอิทธิพลที่ไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก
เริ่มจากนางบุนรานีที่มีอำนาจไม่ต่างอะไรจากฮุนเซน เพราะแม้แต่ฮุนเซนยังต้องเกรงใจ โดยนางบุนรานีจะเป็นแกนนำของบรรดา “หลังบ้าน” ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินกัมพูชา และคนเหล่านี้จะต้องสนับสนุนข้าวของเครื่องใช้หรือวัสดุปัจจัยต่างๆ เมื่อนางบุนรานีต้งอการนำไปทำกิจกรรมเพื่อสร้างภาพ
ส่วนใครที่ต้องการวิ่งเต้น ขอความช่วยเหลือในการทำงาน ในการทำธุรกิจ หากติดขัดปัญหาเรื่องขอใบอนุญาต เรื่องการจ่ายภาษี ถ้าวิ่งมาหานางบุนรานี เธอจะจัดการทุกปัญหาให้ราบรื่นได้
ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่า สิ้นปีบริษัทแห่งหนึ่งต้องจ่ายภาษีให้กับรัฐบาลกัมพูชา 10 ล้าน ถ้าไม่ต้องการเสียเงินมากขนาดนี้ ก็ต้องวิ่งมาหานางบุนรานี จากภาษีที่ต้องเสีย 10 ล้านบาท ก็อาจเหลือแค่ 6 ล้านบาท แต่เงินจำนวนนี้เข้ากระเป๋านางพญาแห่งกัมพูชา 5 ล้านบาท เหลือเข้ารัฐเพียงแค่ 1 ล้านเท่านั้น ซึ่งบริษัทห้างร้านต่างๆ ก็ยินยอมจ่ายใต้โต๊ะให้
ขณะที่ลูกของฮุนเซนก็ถือว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน
ลูกคนโตของฮุนเซน ถือเป็นขุนพลข้างกายของผู้เป็นพ่อ โดยได้รับการแต่งตั้งให้คุมกองกำลังองครักษ์ของฮุนเซน รวมทั้งกองกำลังเฉพาะกิจที่สามารถจับใครก็ได้ทั่วประเทศ ซึ่งต่างไม่จากกองปราบปรามในเมืองไทย
ลูกคนที่ 2 ของฮุนเซนถือเป็นนักธุรกิจทางด้านสื่อที่ทรงอิทธิพลในกัมพูชาคนหนึ่งรองจากกิ๊ดเม้ง-อีกหนึ่งเครือข่ายของฮุนเซนที่เป็นเจ้าของช่องโทรทัศน์ CTN เธอเป็นเจ้าของโทรทัศน์ช่องไบยอนที่ทำหน้าที่เสมือนหนึ่งเป็นกระบอกเสียงในการประชาสัมพันธ์ข่าวสารและความเคลื่อนไหวต่างๆ ของฮุนเซน
วิธีการทำงาน ของเธอไม่มีอะไรมาก กล่าวคือถ้าหากเธอเห็นว่ารายการไหนเป็นรายการที่คนกัมพูชาติดกันงอมแงม มีสปอนเซอร์ดี เธอก็จะเข้าไปเจรจาและขอรายการนั้นมาเป็นของเธอเอง หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ยึดเอามาอย่างหน้าตาเฉย ส่วนละครที่ฉายในช่องไบยอนก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก คือไปลอกละครไทยมาทั้งดุ้น แล้วนำดารากัมพูชาเข้าไปแสดงแทนเท่านั้น
นอกจากนี้ เธอยังเป็นเจ้าของที่ดินที่สวยที่สุดในพนมเปญ โดยวิธีการก็คือไปซื้อที่ดินสวยๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของทางราชการในราคาถูก จากนั้นก็นำไปขายต่อให้กับหุ้นส่วนธุรกิจคือนายกิ๊ดเม้ง เพื่อให้ไปเซ็งลี้กับนักธุรกิจต่างชาติอีกทอดหนึ่ง
ส่วนกรณีข่าวเรื่องลูกสาวของฮุนเซนต้องการที่จะยึดบริษัท CATS จากสามารถฯ นั้น คงต้องบอกว่า มีความเป็นไปได้สูง เพราะเป็นแนวทางที่ถนัดของเธอ
อย่างไรก็ตาม ลูกคนที่ฮุนเซนหมายมั่นปั้นมือว่าจะให้สืบทอดอำนาจต่อจากเขา เป็นลูกคนที่ 4 ชื่อ “ฮุน มณี” ปัจจุบันมีอายุ 27 ปี เป็นคนที่มีความสามารถในการเจรจาทางธุรกิจและการเจรจาต่อรองเป็นอย่างมาก ที่สำคัญคือเป็นคนที่ประชาชนคนกัมพูชารักเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นที่ไม่ถือตัวและไม่มีภาพของผลประโยชน์ทับซ้อน เนื่องจากไม่ได้ทำธุรกิจ
เซ็งลี้ตำแหน่งออกญา
อีกหนึ่งตัวอย่างของการเซ็งลี้ภายใต้ฮุนเซนโมเดลก็คือ การซื้อขายตำแหน่งออกญา ซึ่งได้รับการเปิดเผยโดย “นายธนกร จิรภาสุขสกุล” นักธุรกิจไทยที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชา ทั้งการการขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภคและการสร้างโรงแรม
นายธนกรให้ข้อมูลว่า ตำแหน่งออกญาของเขมรนั้น ถ้าจะเทียบกับตำแหน่งขุนนางของไทยก็อาจเปรียบได้กับตำแหน่งพระยา ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีนั้น กระบวนการให้ตำแหน่ง “ออกญา” กับนักธุรกิจและประชาชนชาวกัมพูชา เป็นเรื่องที่มีขั้นตอนที่ยุ่งยากพอสมควร เพราะจะต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบว่า คนๆ นั้นมีความเหมาะสมหรือไม่ เช่น ต้องเป็นผู้ที่ทำคุณงามความดีต่อประเทศชาติมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5-10 ปี จากนั้นรายชื่อจะถูกส่งต่อไปยังสภาเพื่อรับรองความเหมาะสม ก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยอีกครั้ง
แต่ในระยะ 4-5 ปีหลังทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อฮุนเซนพร้อมกับผู้นำกัมพูชาอีก 2 คนได้รับการสถาปนาอิสริยศจากษัตริย์กัมพูชาเป็น “สมเด็จ” คือสมเด็จฮุนเซน สมเด็จเจียสิมและสมเด็จเฮง สัมริน และเล็งเห็นช่องทางในการเซ็งลี้ตำแหน่งออกญา เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่มีคนต้องการมาก เพราะสามารถใช้เป็นใบเบิกทางในการทำธุรกิจ เป็นใบเบิกทางในการยกระดับตัวเองให้กลายเป็นชนชั้นนำ และที่สำคัญคือ ตำรวจไม่จับ เพราะมีสิทธิพิเศษคุ้มครอง
อัตราที่ฮุนเซนกำหนดไว้คือ ตำแหน่งออกญา 1 แสนยูเอสดอลลาร์ ตำแหน่งนักออกญาซึ่งมีศักดิ์และสิทธิ์เทียบเท่ารัฐมนตรี 3 แสนยูเอสดอลลาร์ ส่วนผู้หญิงถ้าใครอยากเป็น “โอเซียมเตียว” หรือ “คุณหญิง” ก็สามารถเป็นได้ทันทีด้วยการจ่าย 1 แสนยูเอสดอลลาร์
ขณะที่นักลงทุนต่างชาตินั้น เป็นที่รับรู้กันว่า หากต้องการหลักประกันในความสำเร็จจะต้องมีเส้นสายที่ไม่ธรรมดา และจำต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะให้กับเครือข่ายหรือคนที่ฮุนเซนกำหนดเอาไว้ เพื่อทั้งทำให้ธุรกิจราบรื่นและเคลียร์ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในภายภาคหน้า
ยกตัวอย่างเช่น นักลงทุนจีน มาเลเซีย สิงคโปร์ต้องติดต่อผ่านนายซกอาน นักลงทุนออสเตรเลียต้องผ่านนายกิ๊ดเม้ง ส่วนไทยก็ต้องผ่านเตียบัญ เป็นต้น
หรือต้องการแปลงสัญชาติเป็นคนกัมพูชาก็ทำได้ง่าย ด้วยการจ่าย 1.5 แสนยูเอสดอลลาร์เพื่อขอทำบัตรประชาชนและพาสปอร์ตกัมพูชาได้ ซึ่งนั่นก็เป็นช่องทางให้บรรดานักโทษหนีคดีต่างๆ สามารถพาเหรดเข้าไปพำนักพักอาศัยอยู่ในกัมพูชาได้อย่างง่ายดาย หรือถ้านักธุรกิจต่างชาติต้องการมีตำแหน่งแห่งหนในการทำงาน ก็สามารถจ่ายสตางค์เพื่อซื้อเก้าอี้ที่ปรึกษาได้ เช่น ถ้าเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีทั่วไปก็ต้องจ่าย 5 หมื่นยูเอสดอลลาร์ แต่ถ้าตำแหน่งที่ปรึกษาใหญ่ เช่น ที่ปรึกษานายกฯ เม็ดเงินก็จะขยับขึ้นไปเป็น 1 ล้านยูเอสดอลลาร์เลยทีเดียว
กรณีการปิดน่านน้ำและไม่อนุญาตให้เรือไทยเข้าไปทำประมงนั้น ก็ถือเป็นหนึ่งของฮุนเซนโมเดลที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเกาะกงคนใหม่แสดงอิทธิฤทธิ์เพื่อเคาะกะลาเรียกเงินใต้โต๊ะจากนักธุรกิจไทยเท่านั้น
...และทั้งหมดนั้นคือเครือข่ายและระบบที่ฮุนเซนสร้างขึ้นมาเป็นมาตรฐานทางการเมือง การปกครองและธุรกิจกัมพูชา ที่ต้องบอกว่า ยากที่ใครจะมาล้มล้างเขาได้
วันนี้ ฮุนเซนและบริวารรวยล้นฟ้า แต่ประชาชนที่ยากจนของกัมพูชาแทบไม่มีข้าวสารจะกรอกหม้อ พวกเขาได้รับค่าจ้างแรงงานเพียงแค่ 30 บาทต่อวันเท่านั้น
แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ วันนี้คนกัมพูชารักฮุนเซนมากกว่ากษัตริย์เสียด้วยซ้ำไป