รมว.ต่างประเทศ ออกแถลงการณ์ประณาม “ทักษิณ”ให้สัมภาษณ์"เดอะไทมส์"ไม่ควรอย่างยิ่ง ในภาวะคนไทยกำลังร่วมใจถวายพระพรในหลวง ชี้ หากเป็นคนไทยที่เทิดทูนพระมหาษัตริย์ คงไม่กระทำเช่นนี้ ระบุคนไทยส่วนใหญ่รับไม่ได้ กระตุก “ฮุนเซน” ตัดสินเลือกอีกครั้งระหว่าง “ไทย” กับ “ทักษิณ” ลั่นล้มเอ็มโอยูแน่
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายกษิต ภิรมย์ ออกแถลงการณ์
วันนี้ (9 พ.ย.) นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่หยู่ระหว่างหลบหนีคดีและคำพิพากษาจำคุก 2 ปีจากศาลฯ ให้สัมภาษณ์กับนายริชาร์ด ลอยด์ แพร์รี ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ เดอะ ไทมส์ สื่ออังกฤษ ในลักษณะพาดพิงและล่วงละเมิดองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมถึงสถาบันกษัตริย์ของไทยอย่างรุนแรง โดยเป็นการรายงานคำให้สัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ เกี่ยวกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ในฐานะองค์รัชทายาท โดยมีข้อความที่พาดพิง และคลาดเคลื่อนโดยมิบังควรถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย โดยขอชี้แจงดังนี้
1.การให้สัมภาษณ์ในลักษณะนี้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นสิ่งที่ก้าวล่วงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งนอกจากจะถือเป็นเสาหลักของเสถียรภาพของประเทศแล้ว ยังเป็นสถาบันที่คนไทยเคารพและเทิดทูนเป็นอย่างมาก ดังนั้น จึงไม่ใช่สิ่งที่คนไทยยอมรับได้และไม่พึงกระทำ
2.ขณะที่ประชาชนชาวไทยทั้งปวง กำลังอยู่ระหว่างการรวมใจถวายพระพรให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงหายจากพระอาการประชวร และทรงมีพระพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง พ.ต.ท.ทักษิณ กลับใช้จังหวะเวลานี้ให้สัมภาษณ์ในลักษณะที่จาบจ้วง และไม่เป็นมงคลเยี่ยงนี้ ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องมีวัตถุประสงค์แอบแฝง หรือกำลังเคลื่อนไหวบางอย่างในลักษณะที่ไม่เหมาะสมอยู่ ซึ่งหากเป็นคนไทยที่มีใจรักชาติ และเทิดทูนสถาบันมหาษัตริย์คงไม่กระทำเช่นนี้
3.การให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ สะท้อนถึงความอึดอัดและความไม่สามารถของตนเองที่จะเข้าไปชี้นำทุกฝ่ายในสังคมไทยได้ ดังเช่นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เคยทำมาในอดีต
4.เกี่ยวกับความเห็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ระบุว่า “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงได้รับการศึกษาจากต่างประเทศ และมีพระชนมายุน้อย และทรงเข้าใจโลกในปัจจุบันดีนั้น” เสมือนเป็นการเปรียบเทียบกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นการกระทำที่มิบังควรเป็นอย่างยิ่ง
5.พ.ต.ท.ทักษิณ คงให้ข้อมูลที่ผิดพลาดเกี่ยวกับสถานะของตัวเองต่อผู้สื่อข่าว โดยเฉพาะในประเด็นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า ตัวเองเป็นผู้นำฝ่ายค้านที่ลี้ภัยในต่างประเทศ ในการนี้ทางกระทรวงการต่างประเทศ ขอย้ำว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินทางกลับประเทศไทยในสมัยที่ นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2551 แต่ได้เดินทางออกจากประเทศไทยก่อนที่ศาลอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีคำสั่งพิพากษาให้จำคุก 2 ปี จากการกระทำผิดในคดีอาญาในการใช้ตำแหน่งหน้าที่ทุจริต หรือเอื้อประโยชน์ให้ภรรยาของตนเองและขณะนี้ยังมีคดีเกี่ยวกับการทุจริตผลประโยชน์ทับซ้อนรออยู่เป็นจำนวนมาก
6.ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวคงได้รับข้อมูลที่คลาดเคลื่อนหลายประการ หรือไม่มีความสามารถที่จะเข้าใจข้อเท็จจริงต่างๆ ทำให้รายงานข่าวดังกล่าวขาดความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเด็นเรื่องบทบาทและการอยู่เหนือการเมืองของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และประเด็นที่ฮุนเซน นายกรัฐมนตรี กัมพูชา แต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลและนายกฯกัมพูชา เป็นสิ่งที่สร้างความโกรธเคืองให้กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี คนปัจจุบัน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเรื่องนี้ เป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของชาติเป็นผลประโยชน์ส่วนตัว และการเข้ารับตำแหน่งดังกล่าว ก็เพื่อเป็นการสืบทอดที่ได้ทำไว้ในขณะที่เคยดำรงตำแหน่งนายกฯของไทย
นอกจากนี้ การแต่งตั้งดังกล่าวเป็นสิ่งที่ประชาชนคนไทยที่รักชาติไม่เห็นด้วยและรับไม่ได้เป็นอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากผลสำรวจของประชาชนโดยทั่วไป ทั้ง เอแบคโพล และ สวนดุสิตโพล ที่ระบุว่า ประชาชนกว่า 90% เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ทำไปเพื่อตนเอง มิใช่เพื่อชาติไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์กัมพูชา และได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสถาบันพระมหาษัตริย์ของไทยแบบนี้ด้วยวัตถุประสงค์ใด ขอถามกลับไป
นายกษิต กล่าวว่า ทางรัฐบาลขอย้ำว่าจะไม่มีการดำเนินการใดๆ ที่จะกระทบกระเทือนต่อความเป็นอยู่ของคนกัมพูชา และยังต้องการให้มีการค้าขายต่อไป ทั้งนี้ทางรัฐบาลได้เตรียมที่จะชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบทสัมภาษณ์นี้ให้ชาวกัมพูชาได้รับทราบต่อไป และจะมีการบอกกับคณะทูตต่างๆที่อยู่ในประเทศไทย เกี่ยวกับเรื่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย อย่างไรก็ตาม คงไม่ได้ประท้วงเดอะไทมส์ แต่ควรประท้วง พ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนจะเป็นการใช้ล็อบบี้ยิสต์หรือไม่นั้น ขอให้ไปถาม พ.ต.ท.ทักษิณ เอง ทางกระทรวงคงไม่ตรวจสอบเพราะมีบริษัทในลักษณะดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ที่รับเงิน พ.ต.ท.ทักษิณ และทำตามสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการ
รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ส่วนเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า จะเดินทางไปกัมพูชาในวันที่ 12 พ.ย.นั้น ทางกระทรวงการต่างประเทศมีแผนการดำเนินการไว้แล้ว แต่ขณะนี้ไม่สามารถเปิดเผยได้ อย่างไรก็ตามต้องประสานกับสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อให้ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน
ส่วนที่มีการระบุว่า การส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนที่จะเกิดขึ้น อาจเกิดปัญหาเนื่องจากมาตรา 3 ของสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ระบุว่า หากเป็นคดีทางการเมืองไม่สามารถส่งตัวได้นั้น นายกษิต กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ หนีคดีอาญาไม่ใช่คดีทางการเมือง โดยอำนาจสูงสุดในเรื่องนี้ที่จะส่งตัวหรือไม่ อำนาจอยู่ที่ศาลยุติธรรมของกัมพูชา ไม่ใช่ฝ่ายบริหารซึ่งไทยคงไม่ก้าวก่ายไม่ได้
เมื่อถามว่า มีความคาดหวังในเรื่องนี้มากน้อยเพียงใด นายกษิต กล่าวว่า ขอย้ำตามที่นายอภิสิทธิ์ ได้พูดไว้ก่อนหน้านั้น ว่า ความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ ต้องอยู่เหนือความสัมพันธ์ของผลประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งหากทางกัมพูชาไม่ส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ทางการไทยคงมีมาตรการในขั้นอื่นๆ ต่อไป ตามพัฒนาการเรื่องที่เกิดขึ้น ทางไทยยังมุ่งหวังว่าฮุนเซนจะไตร่ตรองให้ดี
“ดังนั้น จึงอยากให้สมเด็จ ฮุนเซน เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่ผลประโยชน์ส่วนตัว และขอย้ำว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เกมการเมือง แต่เป็นเรื่องการรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ทั้งนี้เท่าที่เห็นอยู่ยังดูว่าเหมือนว่า ฮุนเซน ยังรัก พ.ต.ท.ทักษิณ มากกว่าความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ซึ่งไม่ควรเป็นแบบนั้น รัฐบาลไทยรับไม่ได้เป็นอันขาด เพราะมันเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน โดยเฉพาะ บันทึกข้อตกลงร่วมกัน (เอ็มโอยู) 2544 เกิดขึ้นในสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ แต่ตอนนี้เขาเป็นที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาและมีผลประโยชน์ทับซ้อนทำให้การเจรจาต่อรองไทยเสียประโยชน์ เพราะคนของเราซึ่งเป็นเจ้าของเอ็มโอยูไปเป็นที่ปรึกษาให้กับรัฐบาลที่เราจะเจรจาเรื่องผลประโยชน์ของชาติเป็นตัวตั้ง ทำให้เราต้องพิจารณายกเลิกในการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 10 พ.ย.เพื่อนำเสนอรัฐสภาต่อไป ผมย้ำว่าการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นสิ่งที่คนไทยรับไม่ได้ และเรื่องการยกเลิกเอ็มโอยูตรงนี้ไม่ทางฝ่ายโน้นจะยอมรับหรือไม่ แต่มันเป็นเรื่องปรบมือข้างเดียวไม่ได้ ดังนั้น การเจรจาต่างๆคงต้องยุติต้องเอาผลประโยชน์ของทั้ง 2 ประเทศเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่เรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวของผู้นำประเทศ” นายกษิต กล่าว