xs
xsm
sm
md
lg

เคาะข่าวริมโขง : จี้ "มาร์ค" เบรกเอ็มโอยูไทย-เขมร ก่อนเสียพ.ท.ทับซ้อนซ้ำรอยพระวิหาร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เคาะข่าวริมโขง : “นช.แม้ว” ชั่วเต็มขั้น พล่ามสื่อนอกให้ร้าย “ในหลวง” แถมแหลผ่านทวิตเตอร์ อ้างนักข่าวอังกฤษบิดเบือน ทั้งที่มีหลักฐานเป็นเทปสัมภาษณ์ แฉ “นช.แม้ว” หวังเดินเกมหลายทางบีบรัฐเปิดโต๊ะเจรจา แนะ เบรกเอ็มโอยูไทย-เขมร สมัย รบ. "นช.แม้ว" ก่อนไทยเสียพ.ท.ทับซ้อนทะเลเพิ่ม เหมือนครั้งเสียพระวิหาร




คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ “เคาะข่าวริมโขง”

รายการ “เคาะข่าวริมโขง” ออกอากาศทาง “อีสานทีวี” ช่วงเวลา 18.30-20.30 น.วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน โดยมี นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย และ น.ส.วรรษมน ช่างปรีชา เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยวันนี้มีการเชิญ นายประพันธ์ คูณมี ว่าที่กรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ และ พล.ร.ท.ประทีป ชื่นอารมณ์ โฆษกพรรคการเมืองใหม่ มาร่วมพูดคุยถึงประเด็นข่าวร้อนแรง ซึ่งหนังสือพิมพ์เดอะ ไทมส์ ของอังกฤษ ได้มีการเปิดเผยคำให้สัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยเนื้อหาคำให้สัมภาษณ์มีส่วนพาดพิงและจาบจ้วง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ในฐานะองค์รัชทายาท รวมไปถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ

น.ส.วรรษมน กล่าวเริ่มประเด็นว่า วันนี้มีการเผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ โดย นายริชาร์ด ลอยด์ แพร์รี บรรณาธิการข่าวเอเชียของเดอะ ไทมส์ เดินทางไปที่นครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อสัมภาษณ์อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ซึ่งหลังจากคำให้สัมภาษณ์ถูกเผยแพร่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รีบทวิตแก้ตัวหาว่า สื่อต่างชาติเสนอบิดเบือนความจริง อีกทั้ง ยังมีการเปรียบเทียบเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่า เหมือนภาพยนตร์ต่างประเทศเรื่องหนึ่ง ที่มีเนื้อหาผู้สื่อข่าวพยายามทำหน้าที่บิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อสร้างความเข้าใจผิด

นายประพันธ์ กล่าวเสริมประเด็นนี้ ว่า นายริชาร์ด เป็นสื่อมวลชนระดับบรรณาธิการ ดังนั้น การลงทุนเดินทางไปสัมภาษณ์ถึงนครดูไบ ย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดา อีกทั้งขณะสัมภาษณ์ได้มีการบันทึกเสียงไว้อย่างครบถ้วน จึงหมดทางที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะปฏิเสธในสิ่งที่ตัวเองพูด นอกจากนี้ นายริชาร์ด ยังเป็นบุคคลที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียในการนำเสนอ ฉะนั้น ตัดประเด็นดิสเครดิตไปได้ โดยหลังจากผู้คนที่ได้อ่านคำสัมภาษณ์ ต่างรู้สึกเสียดายที่อดีตนายตำรวจรั้วของชาติ แต่กลับไม่มีความรักชาติบ้างเลย ยิ่งข่าวนี้ มาเกิดขึ้นตอนที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระอาการประชวร ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เพราะแทนที่คนไทยทุกคนจะได้ร่วมกันตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้พระองค์พระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง กลับมีคนไทยไม่รักชาติคนหนึ่ง ไปให้สัมภาษณ์ให้ร้ายพระเจ้าแผ่นดิน เรื่องนี้มีหลักฐานชัดเจน ทางรัฐบาลต้องประกาศให้รู้กันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นพวกทรยศแผ่นดิน กระทำการหมิ่นเบื้องสูงอย่างร้ายแรง ถือว่ามีความผิดตามกฏหมายอาญา ซึ่งตนเชื่อว่า หากคนไทยคนใดได้อ่านบทสัมภาษณ์ที่หลุดออกมาจากปาก พ.ต.ท.ทักษิณ จะเห็นธาตุแท้ได้อย่างชัดเจนว่า คนๆนี้แท้จริงเป็นคนเช่นไร

“ผมขอประฌาม และฝากไปถึงเตรียมทหารรุ่น 10 ที่ตบเท้าไปร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย ให้ลองไตร่ตรองดูว่า การกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ สมควรหรือไม่ และการไปร่วมมือกับอดีตนายกรัฐมนตรีคนนี้ ถือเป็นการแสดงความรักชาติ และรักสถาบันหรือเปล่า ตนอยากให้คนพวกนี้คิดดูให้รอบคอบ” นายประพันธ์ กล่าว

พล.ร.ท.ประทีป กล่าวประเด็นนี้ ว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้น ตนอยากให้คนไทยทุกคนรู้เท่าทันสถานการณ์ โดยเรื่องนี้ ตนยังรู้สึกดีในส่วนที่รัฐบาลชุดนี้ ออกมาตอบโต้เรื่องดังกล่าวอย่างทันควัน ไม่นิ่งดูดายเหมือนหลายเรื่องที่ผ่านมา ซึ่งหากให้ตนวิเคราะห์การกระทำครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการสร้างสถานการณ์ โดยใช้การเคลื่อนไหวต่างประเทศ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองไทย โดยพยายามจะบีบให้ทุกฝ่ายเห็นว่า รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คุมสถานการณ์ไม่อยู่ และนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ จากนั้น ก็จะใช้เงินซื้อเสียง จนได้กลับมาเป็นรัฐบาล โดยเวลานี้อาวุธที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เลือกในการทำร้ายประเทศ มีอยู่ 3 อย่าง คือ การเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทย การสร้างความปั่นป่วนของกลุ่มคนเสื้อแดง รวมทั้งการสร้างแรงกดดันทั้งในและนอกประเทศ นั่นคือ อาศัย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เป็นผู้เดินเกม ซึ่งอาวุธสุดท้ายนี้ ถือเป็นโชคเข้าข้าง พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะทั้ง พล.อ.ชวลิต และสมเด็จฯ ฮุนเซน ต่างเป็นประเภทเดียวกัน จึงมีแนวทางปฏิบัติไปในทางเดียว

นายชัชวาลย์ กล่าวเสริมว่า สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการในเกมนี้ มีอยู่ 3 อย่าง คือ 1.ต้องการให้ตัวเองพ้นจากความผิดที่ก่อไว้ 2.ต้องการได้เงินที่ถูกยืดคืน และ3.ต้องการเพื่อกลับสู่อำนาจทางการเมือง ซึ่งเหมือนที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ เคยระบุไว้ก่อนหน้านี้ว่า ต่อไป พ.ต.ท.ทักษิณ จะใช้เกาะกงเป็นฐานบัญชาการแห่งใหม่ ในการโจมตีประเทศไทย ซึ่งเวลานี้ก็เค้าลางว่าเรื่องดังกล่าวจะเป็นความจริง เพราะทุกอย่างสอดคล้องกับการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ และกลุ่มคนเสื้อแดง ที่มั่นอกมั่นใจว่า ประเทศไทยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองก่อนจะถึงปีใหม่ปีนี้ โดยหลังจากที่เปิดเผยท่าทีดังกล่าว ก็เกิดการปล่อยข่าวอัปมงคลทุบหุ้น จนทำให้ตลาดหลักทรัพย์ไทยเสียหาย ทุกอย่างจึงชัดเจนและดำเนินสถานการณ์มาเรื่อยๆ จนกระทั่งมีการปล่อยบทสัมภาษณ์ล่าสุด ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนหมายจะล้มรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์

นายประพันธ์ กล่าวเสริมประเด็นนี้ ว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาแก้ตัวว่าไม่ได้พูดจาบจ้วงและดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ถือเป็นข้ออ้างที่ใช้ไม่ได้ ดังนั้น ตนขอท้า ถ้าหากสิ่งที่สื่อต่างประเทศนำเสนอไม่เป็นความจริง พ.ต.ท.ทักษิณ กล้าฟ้องร้องหรือไม่ ทั้งที่เรื่องดังกล่าว ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเนื้อหาคำให้สัมภาษณ์ล้วนแล้วแต่ส่วนใหญ่เป็นการหมิ่นสถาบันที่คนไทยเคารพรัก

นายประพันธ์ กล่าวต่อว่า สำหรับเหตุผลที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และสมเด็จฯ ฮุนเซน คบค้าสมาคมกันได้ เนื่องจากมีนิสัยเหมือนกัน และขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังพยายามเลียนแบบการกระทำของ สมเด็จฯ ฮุนเซน ที่ในอดีตเคยกบฏประเทศตัวเองแล้วล้มเจ้า จากนั้น ก็แต่งตั้งยศใหญ่โตให้ตัวเองปกครองประเทศ สิ่งเหล่านี้ เป็นแรงบันดาลใจให้ พ.ต.ท.ทักษิณ คิดการณ์ใหญ่ แต่การนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นได้ ลำพังจะใช้แค่การเคลื่อนไหวกลุ่มคนเสื้อแดง ไม่มีพลังมากพอจะทำเช่นนั้น จึงต้องหาหมากเดินเกมตัวใหม่เข้ามาเสริม ซึ่งเวลานี้ นายจักรภพ เพ็ญแข ผู้ต้องหาหลบหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ได้ไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่กัมพูชา ก็จะกลายเป็นอีกหนึ่งหมากเดินเกมที่มีความสำคัญ ดังนั้น ถือว่ากัมพูชาเป็นซ่องโจร ที่กลายเป็นแหล่งรวมอาชญากรที่ทำร้ายประเทศไทย

“ตอนนี้มีลางว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะใช้เกาะกงเป็นฐานโจมตี เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยมีแนวโน้มว่า มีการแต่งตั้งรัฐบาลผลัดถิ่น และไม่แน่อาจมีการล้มสถาบัน ล้มระบอบอำมาตย์ แล้วเข้าสู่การปกครองแบบกัมพูชา ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนที่ไม่เคยเคารพสถาบันพระมหากษัตริย์” นายประพันธ์ กล่าว

พล.ร.ท.ประทีป กล่าวว่า ขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามสร้างแรงกดดันให้แก่รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ ดังนั้น ถ้าหากใครจะมาพูดว่า ทุกฝ่ายมีอคติกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มองแต่ในแง่ลบ ตนอยากให้ลองย้อนไปดูการกระทำของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้ รวมทั้งลิ่วล้อว่าเป็นเช่นไร ปฏิเสธได้หรือไม่ว่า ตลอดเวลากลุ่มคนเสื้อแดงไม่ได้เคลื่อนไหวจาบจ้วงสถาบัน สิ่งเหล่านี้ชัดเจนในการกระทำ ไม่ว่าจะเป็นเมื่อครั้งที่ชอบจัดการชุมนุมเพื่อขับไล่ พล.อ.เปรม หรือการออกมาเสนอความคิดเห็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ยังไม่นับการยื่นถวายฏีกาขอพระราชอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งที่รู้ว่าผิดหลักการ ไม่ชอบธรรม แต่ก็ยังดำเนินการเพื่อยั่วยุสถานการณ์ให้ล่อแหลม ทั้งหมดนี้เป็นคำตอบได้ดี คนในสังคมน่าจะมองออกได้แล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีธาตุแท้เป็นอย่างไร

นายชัชวาลย์ กล่าวเสริมว่า สาเหตุที่ สมเด็จฯ ฮุนเซน ยอมร่วมมือกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะต้องการเงินไปลงทุนทำธุรกิจในกัมพูชา โดยการที่ก่อนหน้านี้ ออกมาบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเพื่อนรัก ทั้งที่อดีตบาดหมางกัน เพราะเป็นการแสดงให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เห็นว่า กัมพูชาพร้อมจะให้ที่พักพิง ทั้งมีการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ ซึ่งกษัตริย์กัมพูชาเป็นผู้รับรอง ถือเป็นการสร้างเครดิตให้หลายฝ่ายมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีราคาพอจะเป็นที่ปรึกษาให้ประเทศอื่น ซึ่งตนมองว่า การกระทำดังกล่าว ไม่ได้เป็นผลดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างเต็มร้อยเปอร์เซนต์ เนื่องจากก็ต้องมีคนคิดออกว่า แม้แต่ประเทศตัวเอง พ.ต.ท.ทักษิณ ยังทรยศได้ ประสาอะไรกับกัมพูชาที่ไปเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ หวังจะสร้างประเทศให้ประเทศอื่น ทั้งที่ไม่เคยทำอะไรให้ประเทศตัวเอง มีหนำซ้ำยังมีพฤติกรรมที่ทำร้ายประเทศ

“สิ่งที่คนไทยรับไม่ได้ คือ ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เคยแสดงสำนึกในความเป็นคนไทยเลยแม้แต่น้อย ยิ่งการที่ดึง พล.ชวลิต เข้ามาร่วมกระบวนการด้วย คนไทยยิ่งเสียความรู้สึก ดังนั้น คนพวกนี้ แม้จะตายไปแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าจะเลิกเห็นกงจักรเป็นดอกบัวหรือเปล่า เพราะอำนาจเงินมันบังตาหมด ทำให้มองไม่เห็นขาวหรือดำ” นายชัชวาลย์ กล่าว

นายประพันธ์ กล่าวถึงประเด็นสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ที่ทางกัมพูชาไม่ยอมทำตามข้อตกลง ว่า เรื่องนี้ว่าด้วยสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ทางฝ่ายกัมพูชาไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธส่งตัวนักโทษมาดำเนินคดีในไทย ซึ่งการปฏิเสธ ถือว่าไม่เคารพสนธิสัญญาและกระบวนการยุติธรรมไทยที่ตัดสินแล้วว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ทุจริต มีความผิดจริง กลับทำตัวเป็นฝ่ายถูก อยู่เหนือกฏหมาย โดยใช้ข้ออ้างว่า ถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง ดังนั้น การตอบโต้ท่าทีของกัมพูชา ตนขอเรียกร้องให้มีการคว่ำบาตรความร่วมมือกับประเทศดังกล่าว เนื่องจาก เวลานี้ชัดเจนว่ากัมพูชา ไม่ประสงค์ดี และชอบทำร้ายไทย ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ ควรประฌามและตัดขาดด้านความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการค้าหรือด้านต่างๆ เพื่อเป็นบทเรียนให้กัมพูชาทราบถึงจุดยืนที่ชัดเจนของไทย ว่าหากให้การสนับสนุนคนผิดอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จำเป็นต้องยุติความสัมพันธ์ด้านต่างๆ

“หากไทยตัดสัมพันธ์ด้านการค้ากับกัมพูชา เชื่อว่าผู้ที่เดือดร้อนคือ คนกัมพูชา เพราะไม่ว่าจะเป็นการนำเข้าหรือการส่งออก ล้วนแล้วต้องอาศัยสินค้าจากฝั่งไทยทั้งสิ้น ดังนั้น หากรัฐบาลไทย ตัดตอนรายได้ดังกล่าว นอกจากจะทำให้ สมเด็จฯ ฮุนเซน รู้ตัวเองว่า หากยังดำเนินการนโยบายที่เห็นแก่ประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งปล่อยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาครอบงำเกาะกงได้ถึง 99 ปี สิ่งเหล่านี้ ทำให้ สมเด็จฯ ฮุนเซน ร่ำรวยขึ้นจริง แต่คนกัมพูชา จะตกทุกข์ได้ยากและอดยากมากขึ้น ซึ่งต่อไป จะได้เห็นคนกัมพูชารุกฮือออกมาต่อต้านการกระทำของ สมเด็จฯ ฮุนเซน” นายประพันธ์ กล่าว

พล.ร.ท.ประทีป กล่าวประเด็นเดียวกันว่า ตอนนี้มีกระบวนการสร้างกระแส ปล่อยข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางมากัมพูชาในวันที่ 12 พ.ย.นี้ เพื่อส่งสัญญาณไปถึงรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ ว่าจะแสดงท่าทีอย่างไร จะมีการดำเนินการอะไรหรือไม่ สิ่งเหล่านี้เป็นการสร้างแรงกดดันบีบให้รัฐบาลชุดนี้ เปิดโต๊ะเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ และนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่

นายชัชวาลย์ กล่าวเสริมว่า สมเด็จฯ ฮุนเซน สติแตก ออกมาเรียกร้องท้าให้รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ ยุบสภา เพื่อเดินหน้าสู่การเลือกตั้งใหม่ เพราะเชื่อว่า หากมีการเลือกตั้ง เงินของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะช่วยซื้อเสียงให้สามารถชนะคะแนน ได้กลับมาเป็นรัฐบาลได้ ซึ่งสิ่งที่ สมเด็จฯ ฮุนเซน เชื่อ ตนคิดว่าความมั่นใจในตัวเอง ว่ามีอำนาจในกัมพูชาแล้วจะทำอะไรก็ได้ แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่ทุกอย่าง สักวันอำนาจของ สมเด็จฯ ฮุนเซน ต้องหมดลง เพราะได้มาอย่างไม่ชอบธรรม

น.ส.วรรษมน กล่าวถึงประเด็นว่า นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ออกมาระบุว่า อาจต้องมีการทบทวนบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ระหว่างไทย-กัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อน ฉบับวันที่ 18 มิถุนายน 2544 ซึ่งทำไว้ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

นายประพันธ์ กล่าวประเด็นนี้ว่า เอ็มโอยู ถือเป็นบันทึกความเข้าใจของทั้งสองประเทศ แต่ยังไม่ได้เป็นกฏหมาย เพราะไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ดังนั้น หากฝ่ายไทยต้องการยกเลิก ก็สามารถทำได้ทันที เพราะบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ทำไว้สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็เป็นข้อตกลงที่เอื้อประโยชน์ธุรกิจ โดยถ้าปล่อยเรื่องนี้ออกไป ไทยอาจเสียผลประโยชน์มากกว่านี้

พล.ร.ท.ประทีป กล่าวเสริมว่า จริงๆแล้ว เอ็มโอยู ที่ไทยทำไว้กับประเทศเพื่อนบ้านมีอยู่หลายฉบับ แต่ฉบับที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มหาศาล คือ ปี 2544 ที่ระบุเรื่องการหาผลประโยชน์ทางทะเลที่เกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อน ระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งตนก็ดีใจ ที่รัฐบาลชุดนี้ออกมาระบุว่า จะทบทวนบันทึกความเข้าใจดังกล่าว เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องและแสดงให้เห็นว่าต้องการรักษาผลประโยชน์ของประเทศ โดยเรื่องนี้ความจริงแล้ว พื้นที่ทับซ้อนที่กัมพูชาเคยประกาศ ว่าคาบเกี่ยวกับไทย เป็นพื้นที่ซึ่งกัมพูชากำหนดเข้าข้างตัวเอง ทำให้ฝ่ายกัมพูชาได้เปรียบไทย มีสิทธิ์ในพื้นที่ทับซ้อนที่อ้างขึ้น ทั้งที่จริงแล้ว เกาะกูดที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์ เป็นของไทยโดยสมบูรณ์ เพราะตามสนธิสัญญาของไทยกับฝรั่งเศส ได้มีการแลกเปลี่ยนเสียมราฐ หรือ เสียมราบ พระตะบอง และศรีโสภณ กับเกาะกูด ทำให้ไทยมีสิทธิ์ในอธิปไตยรอบเกาะกูดในระยะ 3 ไมล์ทะเล (ปัจจุบันตามกฎหมายเปลี่ยนมาเป็น 12 ไมล์ทะเล) ดังนั้น การประกาศดังกล่าว ถือว่าทางกัมพูชา รุกล้ำอธิปไตยของไทยอย่างชัดเจน ตั้งแต่ปี 2515 ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ผิดร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม ไม่สามารถกระทำได้

“ที่ผ่านมา กัมพูชาพยายามหลับตาลากเส้นรุกล้ำพื้นที่ของไทย ทั้งที่รู้ว่าผิด และไม่เป็นไปตามหลักสากล หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ พื้นที่ทับซ้อนที่กัมพูชาอ้างจนถึงทุกวันนี้ ความจริงพื้นที่ทับซ้อนกินพื้นที่น้อยกว่านี้ แต่กัมพูชาประกาศล้ำพื้นที่ของไทย เพื่อเพิ่มพื้นที่ทับซ้อนให้แก่ประเทศตัวเอง เพื่อหวังผลประโยชน์ทางทะเลมากขึ้น ซึ่งหากไทยยังเดินทางตามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว จะทำให้เสียพื้นที่ทับซ้อนเพิ่มเกือบถึง 1,000 ตร.กม.” พล.ร.ท.ประทีป กล่าว

พล.ร.ท.ประทีป กล่าวต่อว่า นอกเหนือจากนั้น สิ่งที่น่าคิดมากที่สุด คือ รัฐบาลสมัยนั้นทำอะไรอยู่ ซึ่งไม่ต้องแปลกใจ เพราะเอ็มโอยูฉบับดังกล่าวเป็นสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี จึงปล่อยให้กัมพูชาประกาศรุกล้ำพื้นที่ของไทย ซึ่งหลายรัฐบาลก่อนหน้านั้น ไม่เคยยอมรับบันทึกความเข้าใจดังกล่าว แต่สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ กลับยอมรับ มันก็เหมือนกับการที่รัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช นอมินี พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ส่ง นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางไปเซ็นยอมรับยกเขาพระวิหารให้แก่กัมพูชา ทำให้แทนที่จะเป็นพื้นที่ทับซ้อนที่มีผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างประเทศ กลับเป็นผลประโยชน์ระหว่างคนสองคน คือ พ.ต.ท.ทักษิณ และสมเด็จฯ ฮุนเซน

นายชัชวาลย์ กล่าวว่า เอ็มโอยู ปี 2544 มีประธานบริษัท ปิโตรเลียม ร่วมลงนามด้วย ซึ่งสิ่งนี้เป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้าในเรื่องสัมปทาน ซึ่งหากมีการลงทุนระหว่างกันต่อจากนี้ ทางฝ่ายกัมพูชาก็จะยกประเด็นที่ว่า มีฝ่ายไทยรับรองเรื่องดังกล่าวแล้ว ซึ่งเข้าทาง พ.ต.ท.ทักษิณ และสมเด็จฯ ฮุนเซน
กำลังโหลดความคิดเห็น