สงครามครั้งสุดท้ายของ ทักษิณ ชินวัตร เริ่มโหมโรงขึ้นมาแล้ว เพื่อเร่งปิดเกมให้เสร็จก่อนเส้นตายสำคัญคือการตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน ช่วงต้นปีหน้า
ช่วงเดือนที่ผ่านมา ทักษิณ เสียคะแนนไปกับการเล่นไพ่เขมรจนเกือบหมดตูด วางแผนไว้ดิบดีว่าเมื่อเป็นที่ปรึกษาให้รัฐบาลกัมพูชาและสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโชฮุนเซนแล้ว จะช่วยให้เกิดภาพว่าเขายังเป็นบุคคลสำคัญขนาดผู้นำประเทศเพื่อนบ้านยังแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษา ขณะที่ประเทศไทยกลับไม่เห็นประโยชน์ เอาแต่ตามไล่ล่า
แต่ที่ไหนได้ การไปรับตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ลูกหลานพระยาละแวก โดยให้สมเด็จพระนโรดม สีหมุนี กษัตริย์กัมพูชาลงพระนามแต่งตั้ง แถมยังเยาะเย้ยหนังสือขอตัวตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่ทางการไทยส่งไปนั้น ทักษิณ ชินวัตร จึงโดนข้อหา “ชักศึกเข้าบ้าน” และ “ข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย” อย่างชนิดแก้ตัวไม่ออก
แถมยังทำปืนลั่น ไปหลุดปากให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เดอะไทมส์พาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูงอย่างมิบังควรยิ่ง
คะแนนนิยมจึงหายไปจนเกือบหมด โดยเฉพาะจากกลุ่มคนที่เคยอยู่ตรงกลาง ที่สามารถตัดสินใจเลือกข้างไปอยู่อีกฝั่งได้ง่ายขึ้น
ทักษิณ หวังเก็บคะแนนช่วงปลายยก ด้วยการเข้าไปช่วยเหลือนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศกรไทย ที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุมในข้อล้วงความลับ ให้ได้รับอภัยโทษ แต่แผนการนี้ ก็ถูกตั้งข้อสงสัยอย่างหนัก ว่า ทักษิณกับฮุนเซน วางพล็อตเหตุการณ์นี้ไว้ เพื่อสร้างคะแนนนิยมให้กับตัวเขาทั้ง 2 คน
พิรุธ ของการจับกุมวิศกรไทย มีตั้งแต่ประเด็นที่ว่าตารางการบิน ถือเป็นความลับหรือไม่ และในขณะที่จับกุม(วันที่ 12 พ.ย.) ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาก็ยังอยู่ หากคิดจะช่วยจริงทำไมไม่ช่วยตั้งแต่ตอนนั้น
เค้าโครงเรื่อง เหมือนกับว่า โจร 2 คนสมคบกันจับเด็กไปเรียกค่าไถ่ แล้วโจร 1 ในนั้นก็อ้างว่าเป็นคนเกลี้ยกล่อมให้โจรอีกคนหนึ่งปล่อยเด็กออกมาให้ แล้วก็ได้รับคำขอบคุณจากแม่ของเด็กไป
อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงเกมคั่นเวลา แผนรุกฆาตของทักษิณ ชินวัตร จริงๆ ถูกวางเอาไว้ในช่วงปลายปีนี้ ตามที่กลุ่มคนเสื้อแดงได้ประกาศชุมนุมใหญ่ในวันที่ 29 พ.ย.นี้โดยจะกดดันให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยุบสภาให้ได้ภายในวันที่ 3 ธ.ค.แต่หากไม่สำเร็จก็จะกลับมาใหม่ หลังวันที่ 5 ธ.ค.เพื่อปิดเกมให้ได้ก่อนสิ้นปีตามเป้าหมาย
จะเรียกว่านี่เป็นสงครามครั้งสุดท้ายของ นักโทษหนีคดีอย่างทักษิณ ชินวัตร ก็ว่าได้ เพราะหากปิดเกมไม่ทัน เงิน 7.6 หมื่นล้านถูกยึดเข้าหลวง แผนการคืนสู่อำนาจไม่สำเร็จ คดีทุจริตที่รอขึ้นศาลอยู่ 18 คดีจะตามหลอกตามหลอนให้เขานอนไม่หลับไปจนวันตาย ถึงจะนอนในบ้านพักสุดหรู ย่านที่อยู่อาศัยของมหาเศรฐีกรุงดูไบก็ตาม
ทักษิณ ชินวัตร เริ่มปูกระแสเพื่อนำไปสู่สงครามครั้งสุดท้าย ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยการส่งข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ถึงกลุ่มผู้สนับสนุน ตีโพยตีพายว่าตัวเขากำลังถูกรังแกจากฝ่ายตรงข้าม ในทุกๆ เรื่องไม่ว่าจะทำอะไร ถึงขั้นโวยวายออกมาว่า “กูทำอะไรก็ผิด” หวังปลุกกระแสความเห็นใจและเรียกคะแนนสงสารจากกระแสสังคม
พร้อมกับส่งสัญญาณว่า ใกล้ถึงเวลาแตกหัก จากข้อความที่ว่า “เราจะอยู่กันอย่างไร จะสันติได้อีกกี่น้ำ ผมจะขอร้องให้คนเสื้อแดงอดทนได้อีกนานแค่ไหนไม่รู้”
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย (ที่เคยถูกทักษิณกล่าวหาว่า ทำคาร์บอมบ์ลอบสังหารตอนยังเป็นนายกฯ เมื่อปี 2549) ได้นำเอาพยานปากเอกในคดียุบพรรคไทยรักไทย 2 คน ไปนั่งแถลงข่าวที่พรรคเพื่อไทย โดยอ้างว่า ที่เคยให้การต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยว่าจ้างพรรคเล็กให้ลงสมัครแข่ง ในการเลือกตั้ง 2 เม.ย.2549 จนนำไปสู่คำตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย เมื่อเกือบ 3 ปีก่อนนั้น เป็นคำให้การเท็จ ตามที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้กดดันและว่าจ้างด้วยเงินคนละ 15 ล้านบาท ให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย
ทั้งทวิตเตอร์ทักษิณ และการจัดแถลงข่าวของ พล.อ.พัลลภ ถูกนำไปขยายผลโดยคนของพรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดง ทั้งในรูปของเอกสาร ที่มีการจัดทำเป็นสมุดปกเขียว ออกแจกจ่ายประชาชนทั่วประเทศ
ขณะที่ จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ก็ใช้ทวิตเตอร์ของตัวเองขยายผลประเด็นเหล่านี้ รับลูกจากนายใหญ่
ดูจากการโหมโรงของทักษิณ คนเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทย บวกกับปัจจัยแวดล้อมต่างๆ แล้ว คาดการณ์ได้ไม่ยากว่า คงจะปลุกกระแสไม่ขึ้น ซึ่งจะทำให้การชุมนุมที่กาวันที่ 29 พ.ย.เอาไว้ ขาดพลังลงไปอย่างมาก
นอกจากเงื่อนเวลาที่ไม่เหมาะสมแล้ว ยังเป็นเพราะประเด็นที่นำมาใช้เรียกคะแนนสงสารว่า “ถูกรังแก”นั้น ล้วนแต่ฟังไม่ขึ้น
ตั้งแต่คำแรกที่บอกว่า“แผ่นดินก็ไม่ให้เหยียบ” ก็ไม่ใช่แล้ว เพราะเขาหนีออกนอกประเทศไปเอง
“หนังสือเดินทางก็ไม่ให้ถือ,ยศก็ถูกถอด,เครื่องราชฯ ก็จะถูกเรียกคืน” เรื่องเหล่านี้ก็ไม่ใช่การรังแก แต่เป็นไปตามกฎระเบียบ คนที่ถูกศาลตัดสินจำคุก คดีถึงที่สุด แถมยังหนีหมายจับ ไม่ว่าใครก็ต้องถูกยึดหนังสือเดินทาง มียศก็ต้องถูกถอดยศ ได้รับพระราชทานเครื่องราชฯ ก็ถูกเรียกคืน
เมื่อประกอบปัจจัยเหล่านี้เข้ากับ การเสียคะแนนนิยมของทักษิณ ชินวัตร จากกรณีเป็นที่ปรึกษารัฐบาลเขมรเหยียบย่ำระบบศาลยุติธรรมของประเทศตัวเอง และการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เดอะไทมส์พาดพิงสถาบันเบื้องสูง คงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้จำนวนผู้ชุมนุมปลายเดือนนี้เทียบเท่ากับเมื่อครั้งเดือนเมษายนที่ผ่านมา
นั่นจะทำให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จัดการควบคุมการชุมนุมได้ง่ายขึ้น
ที่สำคัญคือบทเรียนจากเดือนเมษายน ทำให้รัฐบาลเพิ่มความรอบคอบในการจัดวางกำลังรักษาความปลอดภัย รวมทั้งมี พ.ร.บ.ความมั่นคงเป็นเครื่องมือ
เมื่อปัจจัยไม่เอื้ออำนวยเป็นเช่นนี้ ทักษิณและบริวาร อาจหันไปใช้เกมใต้ดิน หรือใช้ความรุนแรง เพื่อกดดันให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล
ซึ่งจะเท่ากับเป็นการฆ่าตัวตายของทักษิณแอนด์เดอะแก๊ง เพราะนั่นจะยิ่งสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลในการปราบปราม และมีความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศต่อไป โดยไม่จำเป็นต้องยุบสภาเลือกตั้งใหม่เพราะถึงอย่างไร พรรคเพื่อไทย ก็ตายสนิทไปแล้ว จากเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองที่ก่อขึ้นซ้ำอีกรอบ
ดังนั้น การอยู่บริหารประเทศเก็บสะสมคะแนนนิยมไปเรื่อยๆ ไปจบครบอายุสภา น่าจะดีกว่า