ไม่น่าเชื่อว่าจู่ๆ คนที่เคยเป็นถึงนายกรัฐมนตรี อดีตนายทหารระดับสูงอย่าง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จะนำเรื่องความไม่เป็นธรรมของผู้ปกครองที่มีต่อผู้ใต้ปกครอง โดยยกตัวอย่สงกรณี “ราชวงศ์โรมานอฟ” ของรัสเซียในอดีตที่ถูกโค่นล้ม เนื่องจากไม่ฟังเสียงประชาชนมาเป็นอุทาหรณ์
หากพิจารณาจากช่วงจังหวะเวลา และคนพูดย่อมถือว่ามีเจตนาไม่ธรรมดา เพราะเป็นการพูดในที่ประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทยของ ทักษิณ ชินวัตร เมื่อบ่ายวันที่ 17 พฤศจิกายน
ต่อมา พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นลูกน้องคนสนิทของ พล.อ.ชวลิต ได้นำคำพูดดังกล่าวมาขยายความด้วยการให้สัมภาษณ์กับสื่อแบบ “จงใจ” ทำให้ถูกเพ่งมองอย่างผิดสังเกต
อีกทั้งยังเป็นการพูดหลังจาก ทักษิณ ชินวัตรให้สัมภาษณ์กับ “เดอะไทมส์ ออนไลน์” จาบจ้วงและให้ร้ายพระเจ้า
อยู่หัวและสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างรุนแรง ซึ่งเวลาผ่านไปไม่นานนัก และคำพูดดังกล่าวของ ทักษิณ ถือว่าเป็นการ “เปลือย” ตัวตนออกมาอย่างล่อนจ้อน จนถูกระบุว่า เป็น “หัวหน้าขบวนการล้มเจ้า” ตัวจริงที่ถูกกระชากหน้ากากออกมาให้คนทั่วไปได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง
ปลงพระชนม์หมู่ราชวงศ์รัสเซียจงใจสื่ออะไร
หากย้อนอดีตราชวงศ์โรมานอฟเพื่อเป็นข้อมูลคร่าวๆพอเข้าใจก็คือ เป็นราชวงศ์สุดท้ายของรัสเซียที่ถูกโค่นล้มเมื่อปี ค.ศ. 1917 โดยพรรคบอลเชวิกหรือพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซียที่นำโดย “เลนิน” และมีการสังหารกษัตริย์ซาร์นิโคลัส พร้อมด้วยพระราชินีอเล็กซานดรา พระราชโอรสและพระราชธิดา อย่างเหี้ยมโหด และน่าเศร้าสลดจนมีการกล่าวถึงจนทุกวันนี้
ขณะเดียวกันหากพิจารณาเฉพาะคำว่า “ผู้ปกครอง” กับ “ผู้ใต้ปกครอง” ก็มักเป็นศัพท์แสงที่ส่วนใหญ่ “พวกฝ่ายซ้าย” ที่ “ไม่นิยมเจ้า” มักประดิษฐ์ประดอยถ้อยคำใช้กันอยู่เสมอ เพราะหากเจตนาจะสื่อถึงรัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีโดยตรงก็ไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำดังกล่าว
อีกทั้งหากจะต้องตักเตือนหรือวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลหรือตัวนายกรัฐมนตรีก็สามารถทำได้โดยตรงได้อยู่แล้ว โดยอาจเปรียบเทียบกับรัฐบาลคอรัปชั่น หรือผู้นำทรราชในต่างประเทศยกมาเป็นตัวอย่างได้มากมาย ไม่เห็นจำเป็นต้องยกเอาราชวงศ์ใดราชวงศ์หนึ่งมาเปรียบเทียบ
ยิ่งราชวงศ์หรือสถาบันกษัตริย์ที่ถูกโค่นล้มหรือถูกปฏิวัติยิ่งไม่สมควร
เพราะก่อนหน้านี้ไม่นานนัก หากยังจำกันได้ในยุค “ระบอบทักษิณ” ยังครองอำนาจ ผ่านทางรัฐบาล “หุ่นเชิด” สมัคร สุนทรเวช และมี จักรภพ เพ็ญแข เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสื่อของรัฐ มีการนำเสนอรายงาน “พิเศษ” การโค่นล้มราชวงศ์เนปาลมาเป็นกรณีศึกษารวมไปถึงการทลายคุกบาสติลล้มล้างระบบกษัตริย์ของฝรั่งเศสแล้วนำไปสู่สาธารณรัฐ หรือการล้มกษัตริย์อังกฤษของนายพลครอมเวล เป็นต้น
น่าสังเกตก็คือ จักรภพ คนเดียวกันนี้ถูกระบุว่ามีทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และต่อมาถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่เป็นจริงก็ยังมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้เลย เนื่องจากปฐมเหตุของราชวงศ์โรมานอฟที่ล่มสลายเนื่องจากในยุคนั้นพระเจ้าซาร์ได้สนับสนุนการทำสงคราม และพ่ายแพ้มีทหารต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก ระบบเศรษฐกิจภายในประเทศหายนะ เกิดภาวะเข้ายากหมากแพง เกิดการจลาจลและนำไปสู่การปฏิวัติโค่นล้มในที่สุด
ขณะที่สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยอยู่เคียงคู่กับสังคมไทยมานานตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา พระมหากษัตริย์ของไทยเปรียบเหมือน “พ่อของแผ่นดิน” ทรงต้องทนทุกข์ยากแทนอาณาประชาราษฎร์อยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้กระทั่งยามมีศึกสงครามหรือในยามที่บ้านเมืองไม่ปลอดภัย สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ต้องออกมาปัดเป่าทุกครั้ง และที่ผ่านมายังมีโครงการในพระราชดำริตลอดกว่า 60 ปี ในรัชกาลปัจจุบันมากถึงว่า 3 พันโครงการเพื่อช่วยเหลือให้พสกนิกรพ้นจากความยากไร้
ดังนั้นสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยจึงไม่อาจนำไปเปรียบเทียบในต่างประเทศได้ นอกเหนือจากความเป็นมา และธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างกันแล้ว
ที่สำคัญความรักและความผูกพันะระหว่างประชาชนกับสถาบันยังแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงอีกด้วย
กิตติศักดิ์ ปกติ อ.นิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในสมัยช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เกิดสงครามรัสเซียกับเยอรมัน ราชวงศ์โรมานอฟได้บีบบังคับให้ทหารสู้ตายและทหารก็ตายเป็นแสนๆ ส่งผลทำให้ทหารฝ่าฝืนคำสั่งและเกิดเหตุการณ์ยึดสถานที่ทำการของกองทัพ ขณะที่ประชาชนก็โกรธแค้นราชวงศ์เพราะเห็นว่า นอกจากรบไม่ชนะแล้วคนที่ตายส่วนใหญ่ก็เป็นพวกพลทหาร ประชาชนจึงเกิดความโกรธแค้นเพราะคิดว่ากษัตริย์ไม่คำนึงถึงชีวิตและทรัพย์สินของราษฏร สุดท้ายสถานการณ์ก็พัฒนากลายเป็นกบฎ จากนั้นพวกบอลเชวิคก็มาสวมบทบาทการปฏิวัติ และสามารถยึดอำนาจได้
“เรื่องการล่มสลายของราชวงศ์ มักจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ๆ ในประเทศต่างๆ มันต้องเกิดวิกฤติขนาดใหญ่ ต้องทำให้ประชาชนเดือนร้อน มันจึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ๆ ได้ จึงต้องถามว่ากรณีของบ้านเมืองเรา มันทำให้เกิดวิกฤติขนาดนั้นหรือเปล่า สำหรับผมมันไม่ใช่ มันคนละเรื่องกัน การที่ใครก็ตามเอาเรื่องราวในประเทศไทยไปเทียบกับราชวงศ์โรมานอฟ แสดงว่าไม่เข้าใจประวัติศาสตร์ แสดงให้เห็นว่า บางทีคนเราไม่เข้าใจประวัติศาสตร์ก็ไปเปรียบเทียบแบบผิดๆ”
“ชวลิต” กับความฝังใจ “สภาเปรซิเดียม”
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาเฉพาะตัวของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ แม้ว่าที่ผ่านมาได้รับการยอมรับว่ามีความรอบรู้และรับอิทธิพลด้านความคิดด้านสังคมนิยมมาจาก ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร อดีตกรรมกการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) และ พล.อ.ชวลิต คนเดียวกันนี่แหละ ที่ถูก พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรีเคยระบุเมื่อปี 2526 ว่ามีความฝักใฝ่ระบบ “สภาเปรซิเดียม” ซึ่งเป็นรูปแบบการปกครองของรัสเซียภายหลังการโค่นล้มราชวงศ์โรมานอฟมาแล้ว และมีถ้อยคำไล่หลังตามมาอีกว่า “กูไม่กลัวมึง” นั่นแหละ
เมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวด์ทั้งของ พล.อ.ชวลิต และรวมไปถึง พ.อ.อภิวันท์ ที่น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากเจ้านายเก่าไม่มากก็น้อย อีกทั้งเคยดำรงตำแหน่งเป็นนายทหารระดับสูงในกองทัพ และต่อเนื่องในปัจจุบันย่อมไม่น่าเป็นไปได้ที่บุคคลดังกล่าวจะพูดไปโดยพลั้งเผลอ โดยไม่ตั้งใจ ในทางตรงกันข้ามน่าจะเป็นการ “จงใจ” เพื่อจะสื่อความหมายบางอย่าง ส่วนจะสื่อไปถึงใครนั้นจะต้องพิจารณาสถานการณ์แวดล้อมทั้งในอดีต ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคตมาประกอบอีกด้วย เพื่อแสดงให้เห็นถึงแรง “จูงใจ” อีกด้วย
แต่นาทีนี้ต้องไม่ลืมว่า ทั้ง พล.อ.ชวลิต และ พ.อ.อภิวันท์ ล้วนอยู่ในสังกัด และรับใช้ระบอบทักษิณ ซึ่งในที่นี้ย่อมหมายถึง ทักษิณ ชินวัตร อย่างไม่อาจปฏิเสธได้แล้ว
เป็น ทักษิณ ที่กำลังถูกสังคมชี้หน้าประณามว่าเป็นคน ขายชาติ ทรยศชาติ และยิ่งไปกว่านั้นก็คือเป็นคนที่กล่าวให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ จาบจ้วงพระเจ้าอยู่หัว องค์รัชทายาทและพระบรมวงศานุวงศ์ อย่างรุนแรงและไม่เคยมีใครกล้ากระทำแบบนี้มาก่อน ซึ่งหลักฐาน “มัดคอ” ปรากฏอยู่ใน “ไทมส์ออนไลน์” ที่เขาให้สัมภาษณ์มีความยาวกว่า 12 หน้า นานนับชั่วโมง
เป็นการกระชากหน้ากาก จนเปิดเผยตัวตนออกมาอย่างล่อนจ้อน จนไม่สามารถอำพรางความปราถนาแท้จริงที่ซ่อนอยู่ภายในได้อีกต่อไป แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีพฤติกรรมและคำพูดที่น่าสงสัยว่าเขามีทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่องก็ตาม แต่ก็ไม่อาจหาหลักฐาน หรือ “ใบเสร็จ” มายืนยันได้ขนาดนี้
นอกจากนี้ในเวลาไล่เลี่ยกันการเข้าไปรับตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของ “ฮุนเซน” และที่ปรึกษาเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชาก็ได้ตอกย้ำประเด็นข้อกล่าวในเรื่อง “คนขายชาติ” ได้เป็นอย่างดี นับได้ว่า ทักษิณ ชินวัตร ได้พ้นจากการเป็นข้าขอบขันฑสีมาของราชอาณาจักรไทย ไปเป็นข้ารับใช้ของราชอาณาจักรกัมพูชาเรียบร้อยแล้ว
และต้องไม่ลืมว่า เขาเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำสูงสุดของฝ่ายบริหารที่ดำรงตำแหน่งมาอย่างต่อเนื่องนานกว่า 5 ปี สามารถล่วงรู้ข้อมูลที่เป็นความลับสุดยอดของประเทศมากมาย ดังนั้นการไปเป็นที่ปรึกษาของกัมพูชาที่ยังมีข้อพิพาทในหลายกรณีกับไทยก็ย่อมหมิ่นเหม่ต่อการกระทบกับผลประโยชน์ส่วนรวมของชาติและคนไทยทั้งมวล
โดยเฉพาะในกรณีข้อพิพาทในเรื่องอาณาเขตทั้งบนบกและในทะเลที่มีการสำรวจพบทรัพยากรด้านพลังงานจำนวนมหาศาลก็จะไม่มีหลักประกันอันใดที่จะมีการสมคบกันเบียดบังนำไปเป็นสมบัติส่วนตัว หรือมีพฤติกรรมขัดกันแห่งผลประโยชน์
ดังตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับกรณีของการออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาที่สนับสนุนให้รัฐบาลกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งต่อมาศาลปกครองสูงสุด ศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งคณกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ชี้ขาดว่าเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย มีลักษณะหมิ่นเหม่ต่อการสูญเสียอธิปไตยของชาติ
โยง “ทักษิณ” ป่วนปิดเกมก่อนสิ้นปี
ที่ผ่านมาหลายฝ่ายสรุปตรงกันว่าสาเหตุที่ ทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องเร่งเคลื่อนไหวเพื่อปิดเกมให้เร็วที่สุด เนื่องจากกังวลในเรื่องของคดีความที่กำลังงวดเข้ามาทุกขณะ นั่นคือคดีอายัดเงินจากข้อหาร่ำรวยผิดปกติจำนวน 7.6 หมื่นล้านบาทและล่าสุดได้มีการสืบพยานฝ่ายโจทก์ที่มีเพียงไม่กี่ปากไปเกือบหมดแล้ว คาดว่าอีกไม่เกินต้นปีหน้า(พ.ศ.2553) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองน่าจะมีการตัดสินชี้ขาดออกมา
ซึ่งไม่ว่าผลออกมาอย่างไรก็ถือว่าจบ ไม่มีการอุทธรณ์ ฎีกาใดๆทั้งสิ้น และว่ากันว่าคดีดังกล่าวนี่แหละที่ ทักษิณ มีความกังวลใจมากที่สุด และกำลังทำทุกทางเพื่อจะสามารถทวงคืนทรัพย์สินกลับมาให้ได้
ทั้งนี้หากจะทวงคืนทรัพย์สินกลับมาได้ก็จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ และนี่จึงอาจเป็นที่มาของการระดมการเคลื่อนไหวทุกอย่างเท่าที่จะทำใด้ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแรงกดดันจากภายนอกประเทศกรณีที่กำลังเกิดขึ้นจากกัมพูชา มีการเคลื่อนไหวร่วมกับ ฮุนเซน ผู้นำกัมพูชา จนสร้างความตึงเครียดจนถึงขั้นต้องลดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระดับปกติลงมา มีการเรียกเอกอัครราชทูตของทั้งสองฝ่ายกลับประเทศ จนเกิดความวิตกว่าอาจมีการปะทะกันตามแนวชายแดนและลุกลามกลายเป็นสงคราม แต่อย่างไรก็ตามล่าสุดสถานการณ์ความขัดแย้งได้ถูกจำกัดลงแล้ว และมีแนวโน้มในทางบวกมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ดีสิ่งที่น่าเป็นห่วงจนไม่อาจวางใจได้ก็คือการเคลื่อนไหวภายในประเทศ ที่ ทักษิณ ชินวัตร ได้ปลุกระดมและส่งสัญญาณเผด็จศึกกับรัฐบาลที่นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขั้นแตกหัก มีเป้าหมายให้จบภายในสิ้นปีนี้ ดังจะเห็นได้จากการส่งข้อความมาตามช่องทาง ทวิตเตอร์เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน) ส่งไปถึงบรรดาผู้สนับสนุนในทำนองปลุกเร้าอารมณ์โกรธ โดยยกเอาประเด็นที่เขาอ้างว่าถูกรังแก ไม่ได้รับความเป็นธรรมต่างๆนานา หรือบอกว่าตัวเองทำอะไรก็ผิดหมด” มาเน้นย้ำ
หากสังเกตจากข้อความที่ส่งเข้ามาทางทวิตเตอร์ดังกล่าวข้างต้นเป็นการจงใจโกหกอย่างไร้ยางอายที่สุด เป็นการกล่าวเท็จตั้งแต่ต้นจนจบ แต่สำหรับคนอย่าง ทักษิณ ไม่ต้องคำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น หากเป็นวิธีที่จะไปถึงเป้าหมายได้ก็ยินดีที่จะทำ เพราะทุกคำพูดเป็นการบิดเบือน และมีความหมายเพื่อปลุกระดมอย่างตรงไปตรงมาที่สุด
เพราะหากพิจารณาตั้งแต่คำแรกที่บอกว่า “แผ่นดินก็ไม่ให้เหยียบ” ก็ไม่เป็นความจริง เพราะ ทักษิณ สามารถเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อไหร่ก็ได้ทุกเวลาไม่มีใครห้าม เพียงแต่ว่าหากเข้ามาใดก็ต้องติดคุกตามคำพิพากษา และยังต้องถูกดำเนินคดีที่ตัวเองถูกตั้งข้อหาทุจริตยาวเป็นหางว่าว จะทำตัวอยู่เหนือกฎหมายไม่ได้เป็นอันขาด
กรณียึดหนังสือเดินทาง ถอดยศ ริบเครื่องราชฯ ทุกอย่างก็เป็นไปตามขั้นตอน ไม่ว่าใครก็ตามหากถูกศาลพิพากษาจำคุกจนถึงที่สุดก็ต้องถูกดำเนินการเหมือนกันหมด และกรณีของทักษิณ ถือว่าดำเนินการช้าเกินไปด้วยซ้ำไป เพราะมีการดองเรื่องช่วยเหลือกันมาตั้งแต่ยุค พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
เรื่องเงินที่หามาได้โดยสุจริตก็ไม่ให้ใช้ หากหมายถึงเงินจำนวน 7.6 หมื่นล้านที่ว่านั้นก็ไม่น่าจะใช่ หากข้องใจก็สามารถเข้ามาแก้ต่างพิสูจน์ความจริงด้วยตัวเอง
ส่วนเรื่องที่อ้างว่าไปเยี่ยมเพื่อนและได้รับเกียรติจากเพื่อก็หาว่าขายชาตินั้น หากเพื่อนคนนั้นคือ “ฮุนเซน” แล้วละก็ถือว่าคนไทยเข้าใจถูกแล้ว เพราะการไปรับเป็นที่ปรึกษาทั้งส่วนตัวของผู้นำและด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลเขมรย่อมเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ และคนที่เป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรีย่อมสามารถล่วงรู้ความลับของชาติย่อมมีผลกระทบต่อกับประเทศคู่เจรจา โดยเฉพาะกรณีกำลังมีปัญหาเรื่องเขตแดนและทรัพยากรที่เป็นผลประโยชน์มหาศาล
อีกทั้งการที่ผู้นำประเทศหนึ่งวิจารณ์กระบวนการยุติธรรมของไทยแล้วไปตั้งนักโทษหนีคดีเป็นที่ปรึกษาย่อมถือว่าเป็นการหมิ่นศักดิ์ศรีของชาติ และต่อมาก็มีการเดินทางไปรับตำแหน่งอย่างเอิกเกริก แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่าขายชาติแล้วจะเรียกว่าอะไร
เป่านกหวีดเสื้อแดงล้มรัฐบาล-ข่มฟ้า 29 พ.ย.
ล่าสุดก็เป็นไปตามคาดหมายเมื่อกลุ่ม “คนเสื้อแดง” ก็รับลูกทันควันประกาศชุมนุมใหญ่ในวันที่ 29 พฤศจิกายนพร้อมประกาศล้มรัฐบาลให้ได้ก่อนวันที่ 3 ธันวาคม
ดังนั้นเมื่อพิจารณาอย่างเชื่อมโยงมาตั้งแต่ต้น ทั้งในเรื่องการให้สัมภาษณ์ของ ทักษิณ ชินวัตร กับไทมส์ออนไล น์ทำร้ายสถาบันพระมหากษัตริน์ ต่อเนื่องมาจนถึงกรณีขายชาติไปเป็นข้าขอบขัณฑสีมาของราชอาณาจักรกัมพูชาเสี่ยงต่อการนำความลับของชาติไปให้ต่างชาติล่วงรู้ มาจนถึงการยกกรณีการโค่นล้ม “ราชวงศ์โรมานอฟ” ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ “รับงาน” มาข่มขู่ มาจนถึงถึงการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงในวันที่ 29 พฤศจิกายนนี้ ทุกกรณีล้วนเรียงร้อยมาเป็นเรื่องเดียวกัน
เพราะต้นตอมาจากแหล่งเดียว คือ ทักษิณ ชินวัตร มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ เพื่อให้ตัวเองได้ทรัพย์สินที่ถูกอายัดจากความร่ำรวยผิดปกติและกลับมาผูกขาดอำนาจได้อีกครั้งเท่านั้น !!