แม้จะมีกระแสข่าวมาโดยตลอดเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรงเพื่อสร้างความวุ่นวายในการจัดงาน “รวมพลังแผ่นดินพิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” ซึ่งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นผู้ริเริ่มจัดขึ้นเพื่อรวมพลังของประชาชนผู้รักชาติทุกๆ สีในวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมาที่ท้องสนามหลวง แต่ในที่สุดเหตุร้ายก็เกิดขึ้นจริงจนได้เมื่อมีการยิงระเบิด “M79” เข้าใส่ผู้ร่วมชุมนุมบริเวณด้านหลังเวทีปราศรัยจนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 12 ราย
การกระทำดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่อุกอาจยิ่ง เพราะทุกคนรู้ว่า การจัดงานครั้งนี้นั้น เป็นการจัดงานเพื่อแสดงพลังของคนรักชาติที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
ดังนั้น จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า คนที่กล้าทำเช่นนี้ เป็นกลุ่มคนที่ต้องการล้มล้างสถาบัน เป็นพวกขบวนการล้มเจ้า
หลักฐานชัดคนมีสีลงมือ
คำถามแรกที่เกิดขึ้นก็คือ ใครคือกลุ่มที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยบ้าง?
แน่นอน สำหรับกลุ่มที่ลงมือคงหนีไม่พ้นต้องเพ่งเล็งไปที่บรรดากลุ่มคนมีสี ทั้งตำรวจและทหาร เป็นลำดับแรก เพราะอาวุธที่ใช้ก่อเหตุไม่ใช่อาวุธที่จะหากันได้ง่ายๆ ตามท้องตลาด ไม่ใช่ตาสีตาสาจะใช้ได้ เนื่องจากต้องมีความรู้เพียงพอที่จะใช้เป็น
ตรงนี้ อาจมีผู้ปฏิเสธว่า ไม่จริงประชาชนทั่วไปก็สามารถมีและใช้ได้ แต่สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ คงไม่ใช่ประชาชนคนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ เพราะคนธรรมดาที่เรียกว่าสุจริตชนนั้น คงไม่รู้ว่าจะไปหาเอ็ม 79 มาจากไหน และรู้จักวิธีใช้ ต้องเป็นคนธรรดาที่เป็นเครือข่ายมาเฟียหรือผู้ทรงอิทธิพลที่จะสามารถจัดหาอาวุธเหล่านี้มาใช้ และมีคนฝึกเพื่อให้ใช้เป็น
ขณะเดียวกัน คนที่ทำจะต้องมีเครือข่ายที่ไม่ธรรมดาเพราะสามารถเล็ดลอดการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ระดมพลมากกว่า 1,500 รายพร้อมมาแอบซุ่มยิงที่บริเวณคลองหลอดหลังกระทรวงกลาโหมตามที่ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล สันนิษฐานได้
เรื่องนี้มีการวางแผนมาอย่างเป็นระบบ และมีการทำงานกันเป็นเครือข่ายจนสามารถเล็ดลอดการตรวจตราของเจ้าหน้าที่ตำรวจมาก่อเหตุได้
หากยังจำกันได้ ในช่วงการชุมนุม 193 วันของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ปรากฏว่ามีการยิงเอ็ม 79 เข้าใส่จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมากมาแล้ว และเอ็ม 79 ดังกล่าวก็เป็นหนึ่งในอาวุธสงครามหลากหลายชนิดที่ใช้ในการยิงถล่มใส่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” จนได้รับบาดเจ็บสาหัสที่บริเวณสี่แยกบางขุนพรหมเมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา
แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่สามารถจับกุมตัวคนร้ายมาดำเนินคดีแม้แต่รายเดียว
เพราะฉะนั้น สมมติฐานเกี่ยวกับกลุ่มคนที่กระทำการอันอุกอาจจึงหนีไม่พ้นที่จะบอกว่า น่าจะเป็นคนกลุ่มเดียวกัน และเป็นกลุ่มคนที่มีความเชี่ยวชาญในการทำเรื่องสกปรกทำนองนี้มาอย่างต่อเนื่อง และสามารถฟันธงได้ทันทีว่า คนมีสีต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน และคนมีสีที่ว่านั้นจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก “ทหารนอกรีต”
"เสธ.แดง”มีเอี่ยว
บุคคลแรกที่น่าสงสัยที่สุดว่ามีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็คือ “พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล” หรือ “เสธ.แดง” เพราะก่อนหน้าที่การชุมนุมจะเริ่ม เสธ.แดงได้ออกมาเตือนถึงความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า โดยประจักษ์พยานก็คือคำให้สัมภาษณ์ของเสธ.แดงที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชนฉบับวันที่ 12 พฤศจิกายน 2552 ความว่า
“ขอเตือนว่า การชุมนุมวันที่ 15 พ.ย.อย่านำผู้หญิง เด็กและคนแก่มาร่วมชุมนุม ขอให้มาเฉพาะพวกสีเหลืองและนักรบศรีวิชัย ตอนนี้ทราบว่า มีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายกำลังจ้องเล่นงานกลุ่มพันธมิตรฯ อยู่ จึงขอเตือนด้วยความหวังดี หากเกิดอะไรขึ้นจะไม่รับผิดชอบ ขอเตือนนายสนธิ ลิ้มทองกุล หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ว่า คราวที่แล้วโดนแบบจังจังยังไม่เข็ดอีกอีกหรือ ขณะนี้กลุ่มอำมาตย์คือศาล ทหาร ปชป.กับพท.และกองทัพแดงกำลังสู้กันอยู่ จำได้หรือไม่ ปีที่แล้วตายเท่าไหร่ ขอเตือนว่าอย่าเสี่ยง”
นอกจากนี้ หลังเกิดเหตุ เสธ.แดงยังได้ออกมาขู่พันธมิตรฯ อีกว่า หากไม่เลิกชุมนุม ก็จะโดนระเบิดอีก “เตือนแล้วว่า อย่าเอาคนแก่กับเด็กมาก็ไม่เชื่อ และหลังจากนี้ นายสนธิคงไม่ต้องทำอะไร เพราะไม่ว่าจะเดินทางไปทำอะไร จะโดนอย่างนี้ตลอด และอยากบอกว่า กลุ่มที่ยิงระเบิดเอ็ม 79 เป็นคนละกลุ่มกับคนที่ยิงนายสนธิที่แยกบางขุนพรหม และเป็นคนละกลุ่มกับที่ยิงศาลรัฐธรรมนูญหรือทำเนียบรัฐบาล”
เสธ.แดง ยังพูดเหมือนตัวเองเป็นคนยิงระเบิดใส่พันธมิตรฯ เองด้วยว่า เมื่อวันที่ 15 พ.ย.หากพันธมิตรฯ โดนระเบิดลูกแรกแล้วไม่เลิกชุมนุม จะโดนระเบิดลูกที่สองแน่ “นายสนธิ ต้องไปกราบเท้า พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ที่เอาเด็กมานั่งตัก และบอกให้เลิกชุมนุม เพราะหากไม่ยกเลิกระเบิดลูกที่สองอาจจะลงที่กลางเวทีได้...”
ทั้งนี้ หากวิเคราะห์ตามคำให้สัมภาษณ์ของเสธ.แดงก็จะพบว่า เป้าหมายหลักของการยิงเอ็ม 79 ในครั้งนี้ อยู่ที่ตัวนายสนธิ ลิ้มทองกุลดังเช่นที่เสธ.แดงเตือนเอาไว้ล่วงหน้า เพราะเหตุการณ์จริงก็มีการยิงเอ็ม 79 มาในช่วงที่นายสนธิกำลังขึ้นเวทีปราศรัยจริงๆ และไม่ใช่เป็นการยิงเพื่อข่มขู่หากเป็นการยิงที่มีเจตนาให้ถึงกับชีวิตเลยทีเดียว
การที่เสธ.แดงกล้าออกมาพูดเช่นนั้น แสดงว่า เขาจะต้องมี “ผู้หนุนหลัง” ที่ไม่ธรรมดา ถ้าเป็นนายทหารก็ต้องเป็นนายทหารที่สามารถคุ้มกะลาหัวเขาได้ ถ้าเป็นพลเรือนก็ต้องเป็นพลเรือนระดับบิ๊กที่สามารถคุ้มกะลาหัวเขาได้เช่นกัน ว่ากันว่า คนๆ นั้นไม่ใช่อื่นไกล หากคือโมฆะบุรุษเหนียงยานอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยนั่นเอง
สิ่งที่ เสธ.แดงจะต้องชี้แจงก็คือ เมื่อวันที่ 13 พ.ย. เสธ.แดงเดินทางไปพบ นช.ทักษิณที่กัมพูชาด้วยเหตุผลกลใด เพราะขณะนี้มีข้อกล่าวหาที่รุนแรงว่า เป็นการเดินทางไปรับคำสั่งลับพร้อมทั้งปัจจัยเพื่อให้ปฏิบัติการบางประการ ทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 15 พ.ย.และเหตุการณ์ป่วนบ้านป่วนเมืองจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ประกาศจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 พ.ย.-3 ธ.ค.
"เคทองคนยิง พล.อ.พ.-พล.อ.ช.”ร่วมแก๊ง
นอกจาก เสธ.แดงที่อยู่ในข่ายผู้ต้องสงสัยแล้ว ก็ปรากฏชื่อบุคคลอีกคนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการยิงเอ็ม 79 ถล่มพันธมิตรฯ นั่นก็คือ “เคทอง” ที่ได้รับฉายาว่า “หมวกขาว” และ “กำลังไม่ทราบฝ่าย” และไม่ใช่เฉพาะเหตุการณ์เมื่อวันที่ 15 พ.ย.เท่านั้น หากแต่เป็นทุกครั้งที่มีการยิงถล่มในการชุมนุม 193 วันของพันธมิตรฯ เท่าใดนัก
ทั้งนี้ ทุกครั้งที่มีการก่อเหตุ เค ทอง จะไปแชตยังห้องแชตรูมของ เสธ.แดง ซึ่งการข่าวทุกครั้งจะดักจับและดักฟังได้
นอกจากนี้ยังมีนายทหารอีกหลายคนที่ถูกเพ่งเล็งว่า อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว ทั้งเหล่าทหารแก่ที่เชี่ยวชาญงานใต้ดินอย่าง “พล.อ.พ.” ที่ปัจจุบันย้ายไปรับใช้นักโทษชายหนีคดีอย่างเต็มตัว ตามมาด้วย “เสธ.อ.” เพื่อนรักร่วมรุ่นของนายใหญ่แห่งดูไบ รวมทั้งโมฆะบุรุษเหนียงยานที่มีความช่ำชองงานด้านนี้เป็นพิเศษ ซึ่งมีข้อมูลยืนยันชัดเจนแล้วว่า ปัจจุบัน “เสธ.แดง” ได้ไปยอมศิโรราบอยู่แทบเท้าแล้ว
และที่จัดอยู่ในข่ายต้องสงสัยอีกกลุ่มหนึ่งก็คือ “กลุ่มอำนาจใหม่” ที่กำลังแผ่ขยายอิทธิพลทางการเมืองออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะกลุ่มนี้มีพี่ใหญ่เป็นนายทหารระดับบิ๊ก และหลายคนคุมกำลังทหารที่สำคัญของชาติ
ช่วงเช้าวันที่ 15 พ.ย. หน่วยข่าวหลักหลายหน่วยงานพบความเคลื่อนไหวของ “กลุ่มทหารพราน” กลุ่มหนึ่งเดินทางเข้ามายังกรุงเทพมหานครเพื่อเตรียมการที่จะก่อเหตุรุนแรง ซึ่งในแวดวงทหารก็เป็นที่รับรู้กันว่า ใครคือ “พ่อ” ของทหารพราน และหากยังจำกันได้ในสมัยรัฐบาลคึกฤทธิ์ ปราโมช ทหารพรานกลุ่มหนึ่งเคยยกพลไปสำแดงเดชให้เห็นมาแล้ว
หลังเหตุการณ์ มีผู้ออกมาปฏิเสธว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องพัลวันเลยทีเดียว
พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย และอดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน หรือ กอ.รมน.กล่าวปฏิเสธว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิด พร้อมยืนยันว่าไม่ได้ทำ ถ้าทำแล้วจะบอก
ขณะที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ถูกโยงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกล่าวติดตลกว่า “ทำไมให้อยู่แต่เบื้องหลัง ทำไมไม่ให้อยู่เบื้องหน้าบ้าง และคงไม่ฟ้องร้องที่ถูกกล่าวหา อโหสิกรรมให้”
ด้านพี่ใหญ่ของกลุ่มบูรพาพยัคฆ์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ยืนยันว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับทหารในราชการ เช่นเดียวกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่สรุปสั้นๆ ว่า ทหารไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง
จากคำให้สัมภาษณ์ทั้งหลายทั้งปวง โดยเฉพาะการที่ผู้มีอำนาจในกองทัพออกมาปฏิเสธเรื่องนี้ทันทีทันใดโดยไม่รอผลการสอบสวนของเจ้าหน้าที่แต่อย่างใดนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม เพราะกองทัพไม่สามารถปฏิเสธความจริงได้ว่า ในกองทัพเองก็มี “ทหารนอกรีต” แฝงตัวอยู่ไม่น้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของเสธ.แดงนั้น ที่ผ่านมามีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกคนนี้ถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในหลายข้อหา แต่ก็ไม่ใครทำอะไรเขาได้ แม้แต่ “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” ผู้บัญชาการทหารบกเองก็ดูเหมือนจะไม่อนาทรร้อนใจกับเรื่องของเสธ.แดงแต่อย่างใด
และที่ต้องตอกย้ำความจริงให้เห็นกันชัดๆ อีกครั้งก็คือ จุดที่คนร้ายใช้ยิงเอ็ม 79 นั้น ก็อยู่ไม่ห่างจากพื้นที่ความรับผิดชอบของทหารเท่าใดนัก ดังนั้น ทหารจึงควรที่จะมีความกระตือรือร้นมากกว่านี้
ตำรวจเสื้อแดงใส่เกียร์ว่าง
ขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งที่สมควรได้รับคำตำหนิอย่างรุนแรงเช่นกันก็คือ ตำรวจ เพราะรู้ทั้งรู้ว่าจะเกิดเหตุรุนแรงขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทำงานด้วยรอบคอบและรัดกุม เหมือนดังที่ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลกล่าวเมื่อวันที่ 16 พ.ย. ระหว่างการประชุมบริหารประจำเดือนซึ่งมีนายตำรวจระดับ รอง ผบช.น. จนถึง ผกก. ทุกหน่วยงานในสังกัดนครบาลเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง
พล.ต.ท.วรพงษ์ได้กล่าวตำหนินายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบการควบคุมกำลังพลผู้ปฏิบัติในจุดต่างๆ ทั้งชั้นนอกและชั้นในบริเวณที่มีการชุมนุมด้วยท่าทีและน้ำเสียงที่ไม่พอใจว่า ไม่ใส่ใจในการดูแลพื้นที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ไม่มีระเบียบวินัยในการทำงาน ไม่มีจิตวิญญาณในการเป็นตำรวจป้องกันเหตุ ทั้งที่มีการกำชับให้มีการปฏิบัติตามแผนมาโดยตลอด แต่เมื่อเกิดเหตุขึ้นก็กลับเพิกเฉยทำให้พบความผิดพลาดและบกพร่องในการทำงานหลายอย่างโดยเฉพาะเรื่องการควบคุมสั่งการที่ล้มเหลวทางวิทยุไม่สามารถติดต่อ
"การปฏิบัติงานครั้งนี้มีนายตำรวจในเครื่องแบบ 1,500 นาย นอกเครื่องแบบอีก 450 นาย ผมได้สั่งให้เอารถ 191 ไปจอดตามจุดที่คิดว่า จะมีคนก่อเหตุและเป็นจุดล่อแหลมแต่ก็ไม่มีใครทำตามคำสั่ง เพราะหากทำตามที่สั่งเมื่อเกิดเหตุร้ายก็เชื่อว่าจะต้องจับคนร้ายได้ทันที แต่กลับกลายเป็นว่าจุดที่เกิดเหตุไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำอยู่เลย จะสั่งการอะไรก็ทำไม่ได้แม้แต่ระดับ ผกก.ก็ไม่เห็นหัว มัวแต่ไปอาบอบนวดกันอยู่หรืออย่างไร"
ตรงนี้...เป็นไปได้หรือไม่ว่า ตำรวจบางส่วนที่ไปปฏิบัติหน้าที่ในวันนั้นเป็น “ตำรวจเสื้อแดง” และสันนิษฐานได้หรือไม่ว่า รู้เห็นเป็นใจใส่เกียร์ว่างหรือเจตนาให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น เพราะพล.ต.ท.วรพงษ์พูดชัดเจนว่า ได้สั่งการให้เอารถ 191 ไปจอดตามจุดที่คิดว่าจะมีคนก่อเหตุและเป็นจุดล่อแหลม แต่ก็ไม่มีใครทำตามคำสั่ง เพราะหากทำตามที่สั่ง เมื่อเกิดเหตุร้ายก็เชื่อว่า จะต้องจับคนร้ายได้ทันที แต่กลับกลายเป็นว่าจุดที่เกิดเหตุไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำอยู่เลย
ดังนั้น ตำรวจเองก็ต้องไปสืบต่อว่า รถ 191 ที่ควรจะไปอยู่ตรงนั้น หายไปไหน
ขณะเดียวกันก็ต้องไปสืบต่อว่า หลังจากคนร้ายยิงเอ็ม 79 แล้วล่องหนไปได้อย่างไร เป็นไปได้หรือไม่ที่จะหายตัวเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามที่ตำรวจไม่สามารถเข้าไปได้ เพราะบริเวณนั้นมีพื้นที่ต้องห้ามอยู่หลายแห่งทีเดียว
คนลงมือและผู้บงการคงไม่ใช่สัมภเวสีหรือผีขนุนที่ทำมาหากินอยู่บริเวณคลองหลอดแน่นอน หากแต่เป็นการลงมือของขบวนการล้มเจ้าที่ทรงอิทธิพลอย่างยิ่งที่สุดในเวลานี้ และฟันธงเอาไว้ล่วงหน้าได้เลยว่า ตำรวจไม่สามารถลากคอคนร้ายมาลงโทษได้เหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา