xs
xsm
sm
md
lg

นช.ทักษิณ คนหนักแผ่นดิน กับปริศนาเจ้าองค์ที่ 10

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ฮุนเซนขนญาติพี่น้องมาให้การต้อนรับนักโทษหนีคดี-ทักษิณ ชินวัตร ที่นั่งเครื่องบินเจ็ตเหยียบแผ่นดินกัมพูชาเมื่อวันที่ 10 พ.ย.อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา โดยในวันนั้นมีนายสมชายและนางเยาภา วงศ์สวัสดิ์ เดินทางไปร่วมด้วย
วันนี้ หัวใจทุกดวงของคนไทยที่รักชาติทุกคนคงจะเจ็บปวดกับพฤติกรรมของคนขายชาติอย่าง “นช.ทักษิณ ชินวัตร” จนไม่รู้ว่าจะหาถ้อยคำอันใดมา “ก่นด่า” เพื่อให้สาแก่ใจได้ เมื่อคนหนักแผ่นดินผู้นี้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เดอะไทมส์ ออฟ ลอนดอน ด้วยถ้อยคำล่วงละเมิดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสถาบันกษัตริย์ของไทยอย่างรุนแรง

นี่คือใบเสร็จหรือคำสารภาพของโจรที่ยืนยันถึงขบวนการล้มเจ้า ปฏิญญาฟินแลนด์ได้เป็นอย่างดีว่า นช.ทักษิณไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

ถ้าเป็นในอดีต...โทษประการเดียวที่เขาควรได้รับคือ จับใส่ตรวนแล้วให้คนทั้งชาติถ่มน้ำลายรดหน้ากันคนละ 1 ครั้งหรือมากกว่านั้น จากนั้นก็ต้องแล่เนื้อเอาเกลือทาและปิดฉากด้วยการตัดหัวเสียบประจานทั่วทุกภูมิภาคของประเทศเป็นเวลา 1 ปีเป็นอย่างน้อย เพื่อมิให้ชนรุ่นหลังเอาเป็นเยี่ยงอย่าง และถ้าจะให้สาแก่ใจควรที่จะถูกตัดหัว 7 ชั่วโคตรเสียด้วยซ้ำไป

TIMES ONLINE ใบเสร็จมัดเจ้ามูลเมือง

บทสัมภาษณ์ชิ้นดังกล่าวนายริชาร์ด ลอยด์ แพร์รี บรรณาธิการข่าวภูมิภาคเอเชียของหนังสือพิมพ์เดอะ ไทมส์ ออฟ ลอนดอน ได้เดินทางไปสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยเนื้อหาของบทสัมภาษณ์ชิ้นดังกล่าวเป็นให้ร้ายและล่วงละเมิดองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันก็มีการก้าวล่วงไปถึงสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารและการสืบราชสันตติวงศ์อีกด้วย

นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามที่จะให้ข้อมูลกับสื่ออังกฤษอย่างผิดๆ ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มีส่วนรับรู้ต่อเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ซึ่งทำให้เขาต้องหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมกับกล่าวโจมตีบุคคลที่อยู่ “แวดวงในวัง” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาองคมนตรีว่าจับมือกับนายพลระดับสูงเพื่อทำการรัฐประหารรัฐบาลของเขา

“ในหลวงทรงยอมรับการรัฐประหารอย่างรวดเร็ว และปฏิเสธคำถวายฎีกาที่กลุ่มคนเสื้อแดง 3.5 ล้านคน ยื่นขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ” เดอะ ไทมส์ระบุ

ที่สำคัญไปยิ่งกว่านั้นก็คือเป็นการพูดในช่วงที่พระองค์ท่านกำลังเสด็จประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช

และเป็นไปอย่างที่คาด เพราะ นช.ทักษิณออกมาแถลงข่าวแก้ตัวพัลวันว่า ตัวเองไม่ได้พูดเช่นนั้น ไทมส์เขียนข้อมูลผิดพลาดและบิดเบือนความจริง ส่งผลทำให้ไทมส์ไม่ลังเลที่จะงัดหลักฐานมามัดคอให้อยู่หมัดด้วยการนำบทสัมภาษณ์นช.ทักษิณแบบคำต่อคำจำนวน 12 หน้าออกมาเผยแพร่อย่างฉับพลันทันที ตามต่อด้วยการที่ริชาร์ด ลอยด์ แพร์รี่ออกมาเขียนรายงานเพิ่มเติมตอกย้ำอีกครั้งว่า “ พ.ต.ท.ทักษิณได้ออกแถลงการณ์กล่าวหาว่า ตนบิดเบือนและรายงานไม่ตรงกับความจริง แต่ข้อความของการให้สัมภาษณ์ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ของเดอะไทมส์นั้น สอดคล้องกับเสียงการสัมภาษณ์ที่บันทึกไว้และมีการถอดความโดยตัวแทนฝ่ายสื่อมวลชนของ พ.ต.ท.ทักษิณเอง

สุดท้ายเมื่อจำนนต่อหลักฐาน นช.ทักษิณก็ได้ให้สัมภาษณ์ออกรายการวิทยุชนิดแก้ตัวไม่ขึ้นว่า “ผมต้องขอพระราชทานอภัยโทษ หากคำให้สัมภาษณ์ของผมในเว็บไซต์ไทมส์ออนไลน์ สร้างความระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท...วันนี้สิ่งที่ผมพลาดในการให้สัมภาษณ์คือเขาตั้งคำถามแล้วผมฟังไม่ฉะฉาน แล้วไปตอบเร็วเกินไป เป็นความผิดพลาดที่ต้องเอาหัวโขกพื้น”

ฟังคำแก้ตัวของ นช.ทักษิณแล้ว ทำให้นึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งที่ว่า “คนดีชอบแก้ไข คน...ชอบแก้ตัว” เพราะหากมองอย่างใจเป็นธรรมที่สุด มองอย่างเข้าอกเข้าใจนช.ทักษิณมากที่สุด ก็ยังไม่เห็นประเด็นที่จะอภัยโทษให้ได้ เพราะในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี ก่อนที่จะพูดอะไรออกมาจากปาก ก็สมควรมีความยับยั้งชั่งใจ รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่สมควร

รศ.ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการสื่อสารมวลชนถึงกับให้สัมภาษณ์อย่างเหลืออดว่า การที่นายทักษิณออกมาแก้ตัวว่า ไม่สันทัดภาษาอังกฤษ ปากไวไปหน่อย ทำให้พลาด พร้อมยืนยันว่า จงรักภักดีอย่างที่สุดนั้น เป็นการแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้น ไม่ใช่ปัญหาภาษาอังกฤษ เพราะนักข่าวไม่ได้ใช้คำศัพท์อะไรที่ยากเลย ตัวเองก็ไปเรียนเมืองนอกมา ย่อมต้องเข้าใจ

“การที่ทักษิณบอกจะกรีดเลือดเพื่อแสดงความจงรักภักดี หรือเอาหัวโขกพื้น พร้อมขอพระราชทานอภัยโทษหากทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคบาท จริงๆ แล้วทักษิณทำตัวให้เปียก แล้วเอามือไปจิ้มปลั๊กไฟจะง่ายกว่า การกรีดเลือดให้ดูเป็นเพียงแค่วาทะของทักษิณเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเรื่องนี้ทำให้คนไทยตาสว่างขึ้นเยอะ และทำให้ตัดสินใจง่ายขึ้น”

จวบจ้วงอยู่ในกมลสันดาน

อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ นช.ทักษิณให้ร้ายและโจมตีสถาบัน และเชื่อว่า น่าจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่จะเกิดขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดอีกตัวอย่างหนึ่งคือการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์อาราเบียน บิซิเนส ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2551 ที่บอกว่า “ผมคิดว่าหลายๆ อย่างขึ้นอยู่กับอำนาจของประชาชน หากพวกเขารู้สึกว่า พวกเขาอยู่อย่างยากลำบากและต้องการให้ผมช่วย ผมก็จะกลับไป หากในหลวงทรงเห็นว่า ผมยังสามารถทำคุณประโยชน์ได้ ผมจะกลับไป และพระองค์อาจจะพระราชทานอภัยโทษให้แก่ผม แต่ถ้าพวกเขาไม่ต้องการผม และพระองค์ทรงเห็นว่าผมกลับไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมก็จะอยู่ที่นี่ ทำธุรกิจไป”

เพราะฉะนั้น นช.ไม่จำเป็นที่จะต้องแก้ตัวแต่ประการใดว่า ไม่ได้พูดหรือไทมส์บิดเบือน เพราะความจริงนช.ทักษิณก็มีความคิดเช่นนี้อยู่ในใจตลอดเวลา

ทั้งนี้ ถ้าหากย้อนกลับไปดูพฤติกรรมของนช.ทักษิณจะพบความเชื่อมโยงให้เห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของคนๆ นี้ว่า มีความคิดต่อสถาบันอันเป็นเคารพสักการะของคนไทยทั้งชาติอย่างไร และการให้สัมภาษณ์ไทมส์ครั้งล่าสุดก็คือสิ่งที่ตอกย้ำและพิสูจน์พฤติกรรมของคนไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเยี่ยง นช.ทักษิณได้เป็นอย่างดีว่า ที่มีการกล่าวหาว่า นช.ทักษิณไม่เคารพสักการะสถาบันพระมหากษัตริย์เหมือนคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศไทยนั้น ไม่ใช่ข้อกล่าวหาที่เลื่อนลอย แต่เป็นความจริง และเป็นความจริงที่ทำกันอย่างเป็นจังหวะจะโคน ทำอย่างเป็นระบบ ทำอย่างต่อเนื่อง จนสามารถใช้คำว่า “ขบวนการล้มเจ้า” ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ

เริ่มจากพฤติกรรมจาบจ้วงที่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำมาเปิดเผยเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับความไม่เหมาะสมที่ “นช.ทักษิณ” ไปเป็นประธานทำบุญประเทศในวัดพระแก้ว เมื่อวันที่ 10 เม.ย.48 โดยแต่งกายไม่สุภาพ ไม่ใส่ชุดปกติขาว แถมยังนั่งล้ำหน้าผู้ร่วมงานคนอื่นๆ โดยมีพรมแดงรองพื้น และมีเจ้าหน้าที่มาคุกเข่าให้เขากรวดน้ำ

จากคดีทำบุญประเทศในวัดพระแก้ว มาถึงคดีที่ นช.ทักษิณพูดจาบจ้วงเบื้องสูงในงาน”นายกฯ พบแท็กซี่”ที่อินดอร์สเตเดี้ยม หัวหมาก กันบ้าง โดยงานดังกล่าวรัฐบาลทักษิณจัดขึ้นเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.48 และมีการถ่ายทอดสดออกโทรทัศน์ช่อง 11 ด้วย ในงาน-นนช.ทักษิณประกาศด้วยความมันส์ในอารมณ์เพื่อยืนยันถึงความจงรักภักดีที่ตนมีต่อสถาบันกษัตริย์ด้วยว่า “แล้วเอะอะอะไรก็ แหม! หาว่าผมไม่จงรักภักดี ปัดโธ่! ถ้านายกฯ ไม่จงรักภักดี แล้วผีที่ไหนจะจงรักภักดี”

ถัดมา นช.ทักษิณ ได้ประกาศผ่านรายการวิทยุ “นายกฯ ทักษิณคุยกับประชาชน” เมื่อวันที่ 4 ก.พ.49 ในลักษณะจวบจ้วงและตีตนเสมอสถาบันกษัตริย์อีก เพื่อยืนยันว่าคนที่ให้ตนลาออกได้มีคนเดียวเท่านั้น คือ พระเจ้าอยู่หัว ถ้าพระเจ้าอยู่หัวกระซิบให้ตนลาออก จะลาออกทันที

“ผมเป็นนายกฯพระราชทานอยู่แล้ว ถ้าผมได้รับการเลือกตั้ง พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงโปรดเกล้าฯให้ผมเป็นนายกฯอยู่แล้ว” (วันที่ 24 มีนาคม 2549 ระหว่างหาเสียงที่ทุ่งศรีเมือง จ.อุดรธานี)
 
“ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ เข้ามาวุ่นวายองค์กรที่มีในระบบรัฐธรรมนูญมากไป ไม่มีการเคารพกติกา” (วันที่ 4 ก.ค. 49)
 
หรือ “ไม่มีใครที่จะเอาผมกลับประเทศไทยได้หรอก นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา” (1 พ.ย.2551) ฯลฯ

และความจริง หากยังจำกันได้ นช.ทักษิณได้เคยให้สัมภาษณ์นิตยสารไทมส์ในทำนองนี้มาแล้ว เมื่อวันที่ 1 ก.พ.50 โดยพูดให้ผู้อ่านเข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระอยู่หัวทรงสนับสนุนการปฏิวัติรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย. โดยเมื่อไทม์ถาม พ.ต.ท.ทักษิณว่า “คุณอ้างว่าคุณและพรรคไทยรักไทยได้รับความนิยมอย่างสูง (จากประชาชน) แต่ทำไมไม่ค่อยมีเสียงต่อต้านการรัฐประหารจากสาธารณชนเท่าไหร่? ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า “มันก็เหมือนกับการทำรัฐประหารในอดีตของไทยที่ผ่านมา 17 ครั้ง ตอนแรกประชาชนอาจรู้สึกตกใจ จากนั้นพวกเขาจะเริ่มแสดงความวิตกกังวล แล้วจึงเริ่มยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่(การรัฐประหาร)ได้รับการรับรองจากองค์พระมหากษัตริย์ พวกเขาอยู่ในกรอบระเบียบมากๆ พวกเขาเชื่อฟัง...”

...ถัดจากเรื่องในอดีต ถ้าหากนำมาเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาก็ยิ่งพบว่า เป็นสิ่งที่จงใจและเจตนาจะให้เกิดขึ้น เริ่มจากการประสานมือกับ “สมเด็จฯ ฮุนเซน” นายกรัฐมนตรีกัมพูชาในการย่ำยีกระบวนการยุติธรรมของไทย โดยระบุว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มีคำพิพากษาภายใต้พระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีคำตัดสินที่ไม่เป็นธรรมในดดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินรัชดาฯ แต่ยินยอมพร้อมใจที่จะรับพระบรมราชโองจากพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชาเข้ารับตำแหน่งเป็น “ที่ปรึกษา” ของรัฐบาลกัมพูชาและสมเด็จฯ ฮุนเซน

จากกรณีดังกล่าวได้สะท้อนความรู้สึกจากผลสำรวจของประชาชนทั่วประเทศที่แสดงความชิงชังรังเกียจ และมีปฏิกิริยาในเชิงลบตรงกันอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน ขณะเดียวกันในทางตรงกันข้ามความนิยมในตัวของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับพุ่งพรวดหลังจากที่ใช้มาตรการตอบโต้รัฐบาลกัมพูชาด้วยการลดระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มีการเรียกเอกอัครราชทูตไทยกลับจากกัมพูชาทันที และทบทวนความร่วมมือและความช่วยเหลือต่างๆที่เคยลงนามผูกพันกันไว้ก่อนหน้านี้ ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือการยกเลิกบันทึกช่วยจำ(เอ็มโอยู) ระหว่างกันในปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย

สังเกตได้จากผลสำรวจของเอแบคโพลล์ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2552 ระบุว่า คนไทยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 สนับสนุนนายกรัฐมนตรี และเกือบร้อยละ 78 สนับสนุนให้รัฐบาลชุดนี้ทำงานต่อไป และคนไทยถึงร้อยละ 88.1 ยังเห็นว่า ทักษิณ ชินวัตร ทำเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งผลสำรวจของสำนักอื่นๆ เช่นสวนดุสิตโพลล์ก็ออกมาในทำนองเดียวกัน นั่นคือออกมาในลักษณะของ “คนขายชาติ” หรือคน “ทรยศชาติ” แทบทั้งสิ้น

หากสังเกตให้ดีก่อนหน้านั้นไม่นานคือ วันที่ 14-15ตุลาคม 2552ก็บังเอิญว่าเกิดมีการปล่อยข่าวลืออัปมงคลออกมา ผ่านทางสื่อต่างประเทศจนสร้างความแตกตื่นไปทั่ว และส่งผลให้เกิดการเทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จนทำให้หุ้นตกกราวรูด เพียงแค่ 2 วันร่วมลงมาถึงเกือบ 60 จุด มีมูลค่าการซื้อขายนับแสนล้านบาท โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าการปล่อยข่าวอัปมงคลดังกล่าวนอกจากจะสร้างแรงกดดันและบีบคั้นจิตใจให้กับคนไทยแล้ว คนที่อยู่เบื้องหลังที่ได้ประโยชน์จากการทุบหุ้น ซึ่งจากข้อมูลของกลุ่ม 40 ส.ว.ระบุว่า มีอักษรย่อ “ย” และ “ว” โดยเข้าไปช้อนซื้อหุ้นราคาถูกเพื่อรอเทขายทำกำไรมหาศาลซึ่งบุคคลดังกล่าวเป็น “ขาใหญ่” ในตลาด มีความโยงใยกับน้องชายของคนที่อยู่ “ดูไบ”

นอกจากนี้ยังมีคนที่อยู่รอบตัว ทักษิณ อีกหลายคนที่มีพฤติกรรมทำนองเดียวกัน เช่น “สหายสมชาย” หรือ “ชูชีพ ชีวสุทธิ์” ที่ปัจจุบันหลบหนีการจับกุม หรือ เพชรวรรต วัฒนพงษ์ศิริกุล แกนนำกลุ่ม “คนรักเชียงใหม่ 51” ที่เคยกล่าวกระทบกระเทียบสถาบันสูงสุดอย่างหมิ่นเหม่ เช่น “คนเชียงใหม่นับถือแค่กษัตริย์ 3 องค์เท่านั้นก็คืออนุสาวรีย์ 3 กษัตริย์ซึ่งประดิษฐานอยู่หน้าศาลากลางหลังเก่า(พญาเม็งราย พญางำเมืองและพ่อขุนรามคำแหง) ไปกรุงเทพฯก็สักการะเฉพาะศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเท่านั้น”

ในจำนวนนี้ยังรวมไปถึง วีระ มุสิกพงศ์ และจักรภพ เพ็ญแข สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์(แซ่ด่าน) หรือแม้แต่กระทั่ง ใจ อึ๊งภากรณ์ นักวิชาการ “แดงสยาม” รวมทั้ง สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ หรือ “สหายสมพร” อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ร่วมขบวนการด้วย โดยออกมาการันตีประกันตัว ดา ตอร์ปิโด ถึงสองครั้งแต่ศาลยกคำร้อง

กลุ่มมวลชนเสื้อแดงที่มี วีระ เป็นแกนนำยังได้เป็นตัวตั้งตัวตีในการล่ารายชื่อประชาชนถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ ทักษิณ ชินวัตรก็ถูกมองว่าเป็นการกดดันพระเจ้าอยู่หัว เนื่องจากการรวบรวมรายชื่อดังกล่าวไม่มีผลในทางกฎหมาย แต่คนกลุ่มนี้ก็ไม่สนใจโดยเดินหน้าล่ารายชื่อและนำขึ้นทูลเกล้าฯไปเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2552

ฮุนเซนโมเดลกับปริศนาเจ้าองค์ที่ 10

จากเหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้น ...

จากพฤติกรรมของ นช.ทักษิณที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในอดีตนับเนื่องจนถึงปัจจุบัน มีทฤษฎีๆ หนึ่งที่น่าสนใจที่สามารถอธิบายการกระทำของเขาได้ นั่นคือ “ฮุนเซนโมเดล” เพราะดูเหมือนว่า นช.ทักษิณกำลังคิดถึงมากเป็นพิเศษ และคนที่ตั้งข้อสงสัยว่า นช.ทักษิณกำลังคิดถึงทฤษฎีนี้อยู่ก็คือ “นายคำนูณ สิทธิสมาน” ส.ว.สรรหา

เนื้อหาสาระสำคัญของฮุนเซนโมเดลหรือโมเดลที่ทำให้ฮุนเซนก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของราชอาณาจักรกัมพูชา ก้าวขึ้นเป็นสมเด็จอัตรมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซน มีอยู่ 3 ประการคือ 1.ใช้กองกำลังต่างชาติ 2.ใช้วิธีการโค่นล้ม จัดการเอาพระมหากษัตริย์ที่ครอบงำไม่ได้ออก แล้วก็เชิดเจ้านายที่คิดครอบงำได้เป็นกษัตริย์แทน 3.ให้กษัตริย์ที่ตัวเองครอบงำได้นั้น แต่งตั้งให้ตัวเอง เป็นเจ้า

อธิบายง่ายๆ อย่างได้ใจความก็คือ ฮุนเซนได้อำนาจเพราะกองทัพต่างชาติ แม้จะมีการเลือกตั้งตามระบบประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้งครั้งแรกใน ค.ศ. 1993 พรรค CPPของฮุนเซน ได้คะแนนเป็นอันดับสอง แต่ฮุนเซน ไม่ยอมรับให้ ทำให้ สมเด็จเจ้านโรดม สีหนุ อดีตกษัตริย์กัมพูชา ต้องแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีถึงสองคน ต่อมามีการเลือกตั้งครั้งที่สอง ในปี ค.ศ.1998 ฮุนเซนก็เล่นแง่คิดปฏิวัติ จะจับตัว เจ้ารณฤทธิ์ โดยกล่าวหาว่าเป็นกบฎ ทำให้เจ้ารณฤทธิ์ ต้องหลบหนีไปต่างประเทศ จากนั้นการเลือกตั้งในครั้งต่อๆมา ฮุนเซน จะใช้เทคนิคปูทางสู่อำนาจ ในการเลือกตั้ง ด้วยการขว้างระเบิดสังหารผู้นำฝ่ายตรงข้าม ใช้เงินซื้อตัวส.ส. จนเป็นเหตุให้สามารถรวบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ แม้กระทั่งกษัตริย์ กัมพูชาก็อยู่ในอำนาจของฮุนเซน ตรงนี้เองเป็นสาเหตุทำให้ฮุนเซนก้าวร้าวอยู่ในขณะนี้

จากข้อสมมติฐานเรื่องฮุนเซนโมเดลที่หลายคนอาจจะยังสงสัยว่า ใช่หรือไม่ แต่หากย้อนกลับไปดูเรื่อง “ไสยยาสตร์เรื่องตัวเลข” จากการกระทำของนายใหญ่แห่งดูไบก็อาจจะทำให้เริ่มเห็นถึงเค้าลางของทฤษฎีนี้ได้

ก่อนหน้านี้นายใหญ่แห่งดูไบนั้นเป็นคนที่เชื่อในเรื่องไสยศาสตร์เป็นอย่างมาก และหนึ่งในไสยศาสตร์ที่เขาเชื่อก็คือ เลข “8” ไม่ว่าจะทำอะไรจะยึดเลข 8 เป็นสำคัญ เช่น หากจะสั่งการให้สมุนเสื้อแดงชุมนุมวันไหน วันที่กำหนดจะต้องสัมพันธ์กับเลข 8 เช่น ต้องเป็นวันที่ 17 พ.ย. เพราะเมื่อนำเลข 1 มาบวกกับเลข 7 แล้วผลลัพธ์ออกมาก็คือเลข 8 เป็นต้น

แต่ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลกลใด ในระยะหลัง ความเชื่อในเลข 8 ของเขาเปลี่ยนแปลงไป อาจจะเป็นเพราะซินแซคู่กาย หรือหมอดูอีทีแห่งกัมพูชามากระซิบข้างหูก็ได้ว่า ต่อไปขอให้ยึด “เลข10” เป็นเลขมงคลสำหรับชีวิตของเขาแทน ไม่ว่าจะทำอะไรขอให้ยึดเลข 10 เป็นสำคัญ เพราะจะส่งผลทำให้ก้าวขึ้นไปนั่งเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ลำดับที่ 10 หรือเทียบเท่าผู้ยิ่งใหญ่ลำดับที่ 10ได้

และดูเหมือนว่า นายใหญ่แห่งดูไบจะเชื่ออย่างเป็นจริงเป็นจังเสียด้วย เพราะเขาเองก็เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 ที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นถึงนายกรัฐมนตรี

ด้วยความเชื่ออันนี้เอง ทำให้มีการระดมเพื่อนนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 ตบเท้าเข้ามาเป็นสมาชิกของพรรคเพื่อไทย นัยว่า เพื่อเป็นการเสริมบารมีให้กับเพื่อนรักชั่วนิรันดร์ผู้นี้

นอกจากนี้ ถ้าสังเกตให้ดีก็จะพบว่า เขาเลือกที่จะนั่งเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวเข้าประเทศกัมพูชาตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาฮุนเซนในวันที่ 10 พ.ย.เช่นกัน

แหล่งข่าววงในเผยความลับประการหนึ่งว่า ในปี ค.ศ.2010 จะเป็นปีที่นักโทษหนีคดีรายนี้ทุ่มหมดหน้าตักเพื่อช่วงชิงอำนาจให้กลับคืนมาให้จงได้ ส่วนจะก้าวขึ้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่ลำดับที่ 10 หรือเทียบเท่าได้หรือไม่นั้น คงต้องติดตามกันต่อไป

...ถึงตรงนี้คงต้องบอกว่า พระเจ้ามูลเมืองเลือกแล้วที่จะเป็นข้าในแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี กษัตริย์แห่งกัมพูชาอย่างยินยอมพร้อมใจ โดยไม่สนใจใยดีต่อแผ่นดินเกิดของตนเอง และไม่ต้องการพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่อไป ดังนั้น จึงถึงเวลาแล้วที่จะถอนสัญชาติไทยและเชื้อชาติไทยของผู้ชายคนนี้เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของเขา

ต่อไปนี้ เขาคงไม่มีสิทธิ์แม้จะใช้คำว่า “นาย” นำหน้า หรือแม้แต่มีชื่อเป็นภาษาไทย

แต่คงไม่นานนักสมเด็จฯ ฮุนเซนเพื่อนรักของเขาที่ประสบความสำเร็จในการให้กษัตริย์กัมพูชาพระราชทานราชทินนาม “สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซน” มาแล้ว คงจะไม่ยากเกินไปนักที่ขอให้กษัตริย์กัมพูชาพระราชทานราชทินนามให้ นช.ทักษิณ ใหม่ว่า “สมเด็จฯ พระเจ้ามูลเมือง” หรือไม่ก็ ““สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ทักษิณ”

กำลังโหลดความคิดเห็น