เป็นเวลาร่วมเดือนแล้วที่บ้านเมืองของเราพูดกันแต่เรื่องเขมร จนกระทั่งคนทั้งหลายเริ่มสะอิดสะเอียนและเบื่อเต็มทีกับเรื่องนี้แล้ว ทั้งๆ ที่ความจริงเรื่องเขมรที่พูดจากันตลอดมานั้นมันไม่ใช่เรื่องจริงอะไร หากเป็นแค่ละครทางการเมืองฉากหนึ่งเท่านั้น
มันเป็นละครการเมืองที่บรรจงสร้างขึ้นด้วยต้นทุนมหาศาลกว่าละครการเมืองทุกเรื่องที่จัดทำขึ้นในช่วง 2-3 ปีมานี้ ด้วยหวังว่าผลจากละครเรื่องนี้จะพลิกฟื้นสถานการณ์และทำให้อำนาจกลับคืนไปเป็นแบบเดียวกับที่เป็นอยู่ก่อนวันที่ 19 กันยายน 2549
ขณะนี้ละครเรื่องเขมรกำลังจะปิดฉากลงแล้ว เป็นการปิดฉากด้วยความว่างเปล่าและด้วยผลขาดทุนมหาศาล เพราะผลที่ได้ไม่เป็นไปดังหวัง ทำให้การลงทุนทั้งหมดต้องพังพินาศวายวอด
ละครเรื่องเขมรนั้นเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยึดอำนาจ หรือฟื้นคืนอำนาจเก่าในบ้านเมืองของเรา ดังที่มีการวิเคราะห์และพูดจากล่าวขานกันมาเป็นครั้งเป็นคราวแล้ว มันถูกจัดวางขึ้นเพื่อให้เกิดผลสำเร็จก่อนการตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีร่ำรวยผิดปกติว่าจะมีผลต่อการยึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทให้ตกเป็นของแผ่นดินหรือไม่
เงิน 76,000 ล้านบาทนี่แหละที่เป็นมูลเหตุจูงใจให้เกิดปัญหาสารพัดในบ้านเมืองของเรา นับตั้งแต่คืนวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา และทำให้เรื่องที่ควรจะเสร็จสิ้นเรียบร้อยไม่จบสิ้น กลายเป็นเรื่องค้างคาและบานปลายจนระเบิดเถิดเทิงดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้
ในคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 ก็มีการพูดถึงและต่อรองกันเกี่ยวกับเงินจำนวนนี้แล้ว แม้ว่าจะยังไม่มีการอายัดทรัพย์ แต่ก็มีคนนำเอาตัวเลขจำนวนเงินที่ฝากอยู่ในที่ต่างๆ ไปมอบแก่ผู้เป็นรัฏฐาธิปัตย์ และเป็นเหตุให้มีการเจรจาต่อรองกัน จนกระทั่งสิ่งที่พึงทำก็ไม่ได้ทำ และสิ่งที่ไม่พึงทำหลายอย่างก็เกิดขึ้น
จนกระทั่งหาทางลงตัวกันไม่ได้ แล้วนำไปสู่กระบวนการตรวจสอบไต่สวน การอายัดทรัพย์ กระทั่งมีการนำคดีขึ้นสู่ศาล ซึ่งการพิจารณากำลังจะเสร็จสิ้นลงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ และจะได้รู้ผลสุดท้ายว่าเงิน 76,000 ล้านบาทจะตกเป็นของแผ่นดินหรือไม่เพียงใด
ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปี เงิน 76,000 ล้านบาทนี้ได้เป็นมูลเหตุจูงใจที่ทำให้เกิดปัญหามากมายหลายประการในบ้านเมือง และเป็นเป้าหมายสุดท้ายที่จะต้องเอาคืนให้ได้ก่อนการตัดสินของศาล เพราะหากศาลตัดสินไปแล้ว หากตกเป็นของแผ่นดินก็ไม่มีวันที่จะเอาคืนได้อีก
ดังนั้นกำหนดขีดขั้นเวลาสุดท้ายที่จะต้องตัดสินใจแตกหักกันจึงต้องเกิดขึ้นก่อนกำหนดการตัดสินของศาลในเรื่องเงิน 76,000 ล้านบาทนี้ โดยประมาณก็คือต้องเสร็จสิ้นก่อนสิ้นปี 2552 นี้ และนี่คือที่มาของคำประกาศอันลือลั่นว่าจะต้องปิดบัญชีล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ได้ก่อนปีใหม่
ถ้อยคำระหว่างบรรทัดแห่งคำประกาศนั้นก็คือ การจะล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะต้องเกิดขึ้นก่อนสิ้นปี ไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆ แม้กระทั่งการยึดอำนาจด้วยกำลังอาวุธ
ละครเรื่องเขมรจึงเป็นฉากใหญ่ฉากหนึ่ง โดยมีที่หมายปลายทางคือการล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั่นเอง
โดยมีฉากประกอบอื่นที่เล่นประกอบและประสานกันอีก 3-4 ฉาก นั่นคือฉากนครรัฐปัตตานี ฉากดูหมิ่นทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ องค์รัชทายาท คณะองคมนตรี และคณะนางสนองพระโอษฐ์ ฉากการจัดชุมนุมของคนเสื้อแดง และฉากทหารแก่และทหารรับจ้าง ที่มีทีท่าว่าจะมีการใช้กำลังเข้าหักหาญกัน
พลเรือเอกบรรณวิทย์ เก่งเรียน อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหมและสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้นำเอาฉากต่างๆ มาแฉโพยให้เป็นที่รู้โดยทั่วกัน ทั้งยังเปิดเผยอีกว่าแผนการยึดอำนาจจะเกิดขึ้นในห้วงเวลาที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เดินทางไปประชุมกลุ่มประเทศเอเปกที่สิงคโปร์ ซึ่งถ้าหากพูดภาษาการทหาร ก็คือการ burn หรือการเผาแผนการยึดอำนาจนั่นเอง
ขณะที่บทความเรื่องนี้ลงตีพิมพ์คือวันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2552 เป็นเวลาหลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เดินทางกลับจากการไปประชุมกลุ่มประเทศเอเปกที่ประเทศสิงคโปร์และประชุมในฐานะประธานอาเซียนร่วมกับนายโอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาแล้ว
ซึ่งคาดหมายไว้ล่วงหน้าได้เลยว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะยังคงอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยที่ไม่มีเหตุการณ์ยึดอำนาจเกิดขึ้น เพราะในเมื่อแผน 4 ประสาน burn ไปแล้ว รัฐบาลรู้ทันแล้ว ก็ย่อมไม่อาจปฏิบัติตามแผนได้อีก
จึงเป็นอันว่าละครเรื่องที่ปรึกษาเขมรได้ปิดฉากลงแล้ว และไม่ว่าคุณทักษิณ ชินวัตร จะยังอยู่ในเขมรหรือไม่ ก็ไม่มีนัยสำคัญอีกต่อไป แต่เชื่อได้ว่าขณะที่บทความนี้ลงตีพิมพ์และละครปิดฉากไปแล้ว คุณทักษิณ ชินวัตร น่าจะเดินทางออกไปจากประเทศเขมรแล้ว
การลงทุนสร้างละครเรื่องที่ปรึกษาเขมรนี้ได้บรรจงสร้างอย่างวิจิตรและเป็นขั้นตอน ด้วยค่าใช้จ่ายมหาศาล เพราะต้องเปลี่ยนแปลงสภาพที่เขมรซึ่งเคยยำเกรงและเป็นมิตรไมตรีที่ดีกับประเทศไทย ให้กลายเป็นศัตรูกัน ต้องทำให้นายฮวยเซ็งกล้าเสี่ยงที่จะเอาเขมรทั้งประเทศและฐานอำนาจ 20 กว่าปีของตนเข้าเสี่ยงเพื่อคุณทักษิณ ชินวัตร
และทำได้สำเร็จอย่างงดงามยิ่ง เพราะหลังจากที่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เดินทางไปเขมรแล้ว เขมรก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง คือกล้าประกาศความเป็นศัตรูกับประเทศไทย นายฮวยเซ็งกล้าเอาเขมรทั้งประเทศและฐานอำนาจทั้งหมดของตนทุ่มเทเสี่ยงให้กับละครเรื่องนี้
แต่ปรากฏว่าเมื่อละครเปิดฉากแสดงเข้าจริงๆ แล้ว กลับเกิดผลในทางตรงกันข้าม ประชาชนคนไทยซึ่งเป็นผู้ดูพากันโกรธแค้นชิงชัง รุมกันขว้างปาทั้งแก้วน้ำและรองเท้าไปยังตัวผู้อำนวยการสร้างและตัวแสดง จนกระทั่งหัวร้างข้างแตก แล้วต้องถอดใจหมดอาลัยตายอยาก ถึงกับต้องกล่าวว่าสักวันหนึ่งหวังว่าคนไทยคงจะเข้าใจ
นั่นเพราะไม่เข้าใจคนไทย เพราะในวันนี้คนไทยก็เข้าใจแล้วว่าใครทรยศชาติ ใครขายชาติ ใครเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวโดยกล้าทำลายประเทศชาติอย่างไม่ไยดีเช่นนี้ ไม่ต้องรอเวลาอื่นใดในอนาคตอีกแล้ว
นอกจากคนดูจะไม่พอใจแล้ว พวกลูกหาบลิ่วล้อบริวารที่เคยสนับสนุนผู้กำกับละครรายนี้ กลับงุนงงสงสัยกันเป็นการใหญ่และหาทางออกให้กับการข้องใจไม่ได้
เพราะถูกอบรมยัดเยียดให้เกลียดชังอำมาตย์ ให้ต่อต้านเผด็จการ ให้ต่อต้านการทรยศชาติ แต่เมื่อละครเรื่องนี้แสดงแล้วกลับปรากฏว่าต้องไปยกย่องเชิดชูอำมาตย์ใหญ่ของเขมร ต้องไปยกย่องเชิดชูและก้มหัวให้กับจอมเผด็จการทรราชของเขมร ซึ่งเป็นจอมเผด็จการทรราชที่ขายชาติให้กับต่างชาติอีกด้วย
มันเป็นเรื่องที่สวนทางอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่เคยป่าวประกาศไว้ และหาคำตอบใดๆ ให้กับลิ่วล้อบริวารเหล่านั้นไม่ได้ จึงเกิดอาการท้อถอยและหวั่นไหว จนกระทั่งถอนตัวออกไปจากขบวนการเป็นอันมาก
ลิ่วล้อบริวารอีกส่วนหนึ่งเมื่อตื่นตัวขึ้นแล้วและเห็นละครเรื่องนี้แล้วก็ได้รู้เช่นเห็นชาติความเห็นแก่ตัวที่คำนึงแต่ประโยชน์ตัวยิ่งกว่าประเทศชาติและมาตุภูมิ กล้าทำลายชาติบ้านเมืองของตนเองถึงเพียงนี้ ความคิดจิตใจชนิดนี้จึงไม่มีทางที่จะเอื้ออาทรต่อราษฎรไทยอย่างแท้จริงได้เลย
ดังนั้นบรรดาลิ่วล้อบริวารจำนวนมากจึงหมดจิตถอดใจและถอนตัวกันจ้าละหวั่น และเป็นผลให้ละครเรื่องนี้ไม่เพียงแต่ขาดทุนมหาศาลเท่านั้น หากยังทำให้ผู้คนในคณะละครแตกกระสานซ่านเซ็นไปคนละทิศละทางอีกด้วย
ละครเรื่องที่ปรึกษาเขมรปิดฉากลงแล้ว แต่คงยังไม่จบ ยังจะต้องผจญเวรเผชิญกรรมกันอีกสักระยะหนึ่ง แต่เฉพาะหน้านี้ขยะและความเน่าเหม็นต่างๆ ตลอดจนสิ่งปรักหักพังต่างๆ จากการเล่นละครเรื่องนี้มีมากมายมหาศาลนัก
ความรู้สึกเป็นปรปักษ์ระหว่างประชาชนและระหว่างประเทศซึ่งเป็นเพื่อนบ้านกัน อันมีสาเหตุจากผู้นำขายชาติ ทรยศชาติ ยังคงดำรงอยู่ ซึ่งหากแก้ไขไม่ดีก็อาจกลายเป็นสงคราม และอย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาเยียวยาบาดแผลใหญ่ที่เกิดจากละครเรื่องนี้ด้วย
ชาติแตกแยกชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านต้องขัดแย้งจนกำลังจะเกิดเป็นสงคราม ประเทศอาเซียนซึ่งก่อตั้งมายาวนานกำลังแตกแยกกันเอง เหล่านี้ล้วนเป็นความเสียหายมหาศาลทั้งแก่คนไทยและคนเขมร ตลอดจนประเทศต่างๆ และประชาชาติต่างๆ ในภูมิภาคนี้ด้วย
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะคนเพียงคนเดียวแท้ๆ!
มันเป็นละครการเมืองที่บรรจงสร้างขึ้นด้วยต้นทุนมหาศาลกว่าละครการเมืองทุกเรื่องที่จัดทำขึ้นในช่วง 2-3 ปีมานี้ ด้วยหวังว่าผลจากละครเรื่องนี้จะพลิกฟื้นสถานการณ์และทำให้อำนาจกลับคืนไปเป็นแบบเดียวกับที่เป็นอยู่ก่อนวันที่ 19 กันยายน 2549
ขณะนี้ละครเรื่องเขมรกำลังจะปิดฉากลงแล้ว เป็นการปิดฉากด้วยความว่างเปล่าและด้วยผลขาดทุนมหาศาล เพราะผลที่ได้ไม่เป็นไปดังหวัง ทำให้การลงทุนทั้งหมดต้องพังพินาศวายวอด
ละครเรื่องเขมรนั้นเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยึดอำนาจ หรือฟื้นคืนอำนาจเก่าในบ้านเมืองของเรา ดังที่มีการวิเคราะห์และพูดจากล่าวขานกันมาเป็นครั้งเป็นคราวแล้ว มันถูกจัดวางขึ้นเพื่อให้เกิดผลสำเร็จก่อนการตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีร่ำรวยผิดปกติว่าจะมีผลต่อการยึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทให้ตกเป็นของแผ่นดินหรือไม่
เงิน 76,000 ล้านบาทนี่แหละที่เป็นมูลเหตุจูงใจให้เกิดปัญหาสารพัดในบ้านเมืองของเรา นับตั้งแต่คืนวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา และทำให้เรื่องที่ควรจะเสร็จสิ้นเรียบร้อยไม่จบสิ้น กลายเป็นเรื่องค้างคาและบานปลายจนระเบิดเถิดเทิงดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้
ในคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 ก็มีการพูดถึงและต่อรองกันเกี่ยวกับเงินจำนวนนี้แล้ว แม้ว่าจะยังไม่มีการอายัดทรัพย์ แต่ก็มีคนนำเอาตัวเลขจำนวนเงินที่ฝากอยู่ในที่ต่างๆ ไปมอบแก่ผู้เป็นรัฏฐาธิปัตย์ และเป็นเหตุให้มีการเจรจาต่อรองกัน จนกระทั่งสิ่งที่พึงทำก็ไม่ได้ทำ และสิ่งที่ไม่พึงทำหลายอย่างก็เกิดขึ้น
จนกระทั่งหาทางลงตัวกันไม่ได้ แล้วนำไปสู่กระบวนการตรวจสอบไต่สวน การอายัดทรัพย์ กระทั่งมีการนำคดีขึ้นสู่ศาล ซึ่งการพิจารณากำลังจะเสร็จสิ้นลงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ และจะได้รู้ผลสุดท้ายว่าเงิน 76,000 ล้านบาทจะตกเป็นของแผ่นดินหรือไม่เพียงใด
ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปี เงิน 76,000 ล้านบาทนี้ได้เป็นมูลเหตุจูงใจที่ทำให้เกิดปัญหามากมายหลายประการในบ้านเมือง และเป็นเป้าหมายสุดท้ายที่จะต้องเอาคืนให้ได้ก่อนการตัดสินของศาล เพราะหากศาลตัดสินไปแล้ว หากตกเป็นของแผ่นดินก็ไม่มีวันที่จะเอาคืนได้อีก
ดังนั้นกำหนดขีดขั้นเวลาสุดท้ายที่จะต้องตัดสินใจแตกหักกันจึงต้องเกิดขึ้นก่อนกำหนดการตัดสินของศาลในเรื่องเงิน 76,000 ล้านบาทนี้ โดยประมาณก็คือต้องเสร็จสิ้นก่อนสิ้นปี 2552 นี้ และนี่คือที่มาของคำประกาศอันลือลั่นว่าจะต้องปิดบัญชีล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ได้ก่อนปีใหม่
ถ้อยคำระหว่างบรรทัดแห่งคำประกาศนั้นก็คือ การจะล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะต้องเกิดขึ้นก่อนสิ้นปี ไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆ แม้กระทั่งการยึดอำนาจด้วยกำลังอาวุธ
ละครเรื่องเขมรจึงเป็นฉากใหญ่ฉากหนึ่ง โดยมีที่หมายปลายทางคือการล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั่นเอง
โดยมีฉากประกอบอื่นที่เล่นประกอบและประสานกันอีก 3-4 ฉาก นั่นคือฉากนครรัฐปัตตานี ฉากดูหมิ่นทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ องค์รัชทายาท คณะองคมนตรี และคณะนางสนองพระโอษฐ์ ฉากการจัดชุมนุมของคนเสื้อแดง และฉากทหารแก่และทหารรับจ้าง ที่มีทีท่าว่าจะมีการใช้กำลังเข้าหักหาญกัน
พลเรือเอกบรรณวิทย์ เก่งเรียน อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหมและสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้นำเอาฉากต่างๆ มาแฉโพยให้เป็นที่รู้โดยทั่วกัน ทั้งยังเปิดเผยอีกว่าแผนการยึดอำนาจจะเกิดขึ้นในห้วงเวลาที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เดินทางไปประชุมกลุ่มประเทศเอเปกที่สิงคโปร์ ซึ่งถ้าหากพูดภาษาการทหาร ก็คือการ burn หรือการเผาแผนการยึดอำนาจนั่นเอง
ขณะที่บทความเรื่องนี้ลงตีพิมพ์คือวันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2552 เป็นเวลาหลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เดินทางกลับจากการไปประชุมกลุ่มประเทศเอเปกที่ประเทศสิงคโปร์และประชุมในฐานะประธานอาเซียนร่วมกับนายโอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาแล้ว
ซึ่งคาดหมายไว้ล่วงหน้าได้เลยว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะยังคงอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยที่ไม่มีเหตุการณ์ยึดอำนาจเกิดขึ้น เพราะในเมื่อแผน 4 ประสาน burn ไปแล้ว รัฐบาลรู้ทันแล้ว ก็ย่อมไม่อาจปฏิบัติตามแผนได้อีก
จึงเป็นอันว่าละครเรื่องที่ปรึกษาเขมรได้ปิดฉากลงแล้ว และไม่ว่าคุณทักษิณ ชินวัตร จะยังอยู่ในเขมรหรือไม่ ก็ไม่มีนัยสำคัญอีกต่อไป แต่เชื่อได้ว่าขณะที่บทความนี้ลงตีพิมพ์และละครปิดฉากไปแล้ว คุณทักษิณ ชินวัตร น่าจะเดินทางออกไปจากประเทศเขมรแล้ว
การลงทุนสร้างละครเรื่องที่ปรึกษาเขมรนี้ได้บรรจงสร้างอย่างวิจิตรและเป็นขั้นตอน ด้วยค่าใช้จ่ายมหาศาล เพราะต้องเปลี่ยนแปลงสภาพที่เขมรซึ่งเคยยำเกรงและเป็นมิตรไมตรีที่ดีกับประเทศไทย ให้กลายเป็นศัตรูกัน ต้องทำให้นายฮวยเซ็งกล้าเสี่ยงที่จะเอาเขมรทั้งประเทศและฐานอำนาจ 20 กว่าปีของตนเข้าเสี่ยงเพื่อคุณทักษิณ ชินวัตร
และทำได้สำเร็จอย่างงดงามยิ่ง เพราะหลังจากที่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เดินทางไปเขมรแล้ว เขมรก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง คือกล้าประกาศความเป็นศัตรูกับประเทศไทย นายฮวยเซ็งกล้าเอาเขมรทั้งประเทศและฐานอำนาจทั้งหมดของตนทุ่มเทเสี่ยงให้กับละครเรื่องนี้
แต่ปรากฏว่าเมื่อละครเปิดฉากแสดงเข้าจริงๆ แล้ว กลับเกิดผลในทางตรงกันข้าม ประชาชนคนไทยซึ่งเป็นผู้ดูพากันโกรธแค้นชิงชัง รุมกันขว้างปาทั้งแก้วน้ำและรองเท้าไปยังตัวผู้อำนวยการสร้างและตัวแสดง จนกระทั่งหัวร้างข้างแตก แล้วต้องถอดใจหมดอาลัยตายอยาก ถึงกับต้องกล่าวว่าสักวันหนึ่งหวังว่าคนไทยคงจะเข้าใจ
นั่นเพราะไม่เข้าใจคนไทย เพราะในวันนี้คนไทยก็เข้าใจแล้วว่าใครทรยศชาติ ใครขายชาติ ใครเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวโดยกล้าทำลายประเทศชาติอย่างไม่ไยดีเช่นนี้ ไม่ต้องรอเวลาอื่นใดในอนาคตอีกแล้ว
นอกจากคนดูจะไม่พอใจแล้ว พวกลูกหาบลิ่วล้อบริวารที่เคยสนับสนุนผู้กำกับละครรายนี้ กลับงุนงงสงสัยกันเป็นการใหญ่และหาทางออกให้กับการข้องใจไม่ได้
เพราะถูกอบรมยัดเยียดให้เกลียดชังอำมาตย์ ให้ต่อต้านเผด็จการ ให้ต่อต้านการทรยศชาติ แต่เมื่อละครเรื่องนี้แสดงแล้วกลับปรากฏว่าต้องไปยกย่องเชิดชูอำมาตย์ใหญ่ของเขมร ต้องไปยกย่องเชิดชูและก้มหัวให้กับจอมเผด็จการทรราชของเขมร ซึ่งเป็นจอมเผด็จการทรราชที่ขายชาติให้กับต่างชาติอีกด้วย
มันเป็นเรื่องที่สวนทางอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่เคยป่าวประกาศไว้ และหาคำตอบใดๆ ให้กับลิ่วล้อบริวารเหล่านั้นไม่ได้ จึงเกิดอาการท้อถอยและหวั่นไหว จนกระทั่งถอนตัวออกไปจากขบวนการเป็นอันมาก
ลิ่วล้อบริวารอีกส่วนหนึ่งเมื่อตื่นตัวขึ้นแล้วและเห็นละครเรื่องนี้แล้วก็ได้รู้เช่นเห็นชาติความเห็นแก่ตัวที่คำนึงแต่ประโยชน์ตัวยิ่งกว่าประเทศชาติและมาตุภูมิ กล้าทำลายชาติบ้านเมืองของตนเองถึงเพียงนี้ ความคิดจิตใจชนิดนี้จึงไม่มีทางที่จะเอื้ออาทรต่อราษฎรไทยอย่างแท้จริงได้เลย
ดังนั้นบรรดาลิ่วล้อบริวารจำนวนมากจึงหมดจิตถอดใจและถอนตัวกันจ้าละหวั่น และเป็นผลให้ละครเรื่องนี้ไม่เพียงแต่ขาดทุนมหาศาลเท่านั้น หากยังทำให้ผู้คนในคณะละครแตกกระสานซ่านเซ็นไปคนละทิศละทางอีกด้วย
ละครเรื่องที่ปรึกษาเขมรปิดฉากลงแล้ว แต่คงยังไม่จบ ยังจะต้องผจญเวรเผชิญกรรมกันอีกสักระยะหนึ่ง แต่เฉพาะหน้านี้ขยะและความเน่าเหม็นต่างๆ ตลอดจนสิ่งปรักหักพังต่างๆ จากการเล่นละครเรื่องนี้มีมากมายมหาศาลนัก
ความรู้สึกเป็นปรปักษ์ระหว่างประชาชนและระหว่างประเทศซึ่งเป็นเพื่อนบ้านกัน อันมีสาเหตุจากผู้นำขายชาติ ทรยศชาติ ยังคงดำรงอยู่ ซึ่งหากแก้ไขไม่ดีก็อาจกลายเป็นสงคราม และอย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาเยียวยาบาดแผลใหญ่ที่เกิดจากละครเรื่องนี้ด้วย
ชาติแตกแยกชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านต้องขัดแย้งจนกำลังจะเกิดเป็นสงคราม ประเทศอาเซียนซึ่งก่อตั้งมายาวนานกำลังแตกแยกกันเอง เหล่านี้ล้วนเป็นความเสียหายมหาศาลทั้งแก่คนไทยและคนเขมร ตลอดจนประเทศต่างๆ และประชาชาติต่างๆ ในภูมิภาคนี้ด้วย
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะคนเพียงคนเดียวแท้ๆ!