"ผ่าประเด็นร้อน"
ก่อนอื่นต้องถามคนไทยทั้งประเทศก่อนว่า รู้สึกอย่างไรบ้างหาก “จิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบ
ถามอีกว่า หากพล.อ.ชวลิต ที่เป็นเพื่อนสนิทกับ “ฮุนเซน” และได้รับการสนับสนุนจาก ทักษิณ ชินวัตร ได้เป็นผู้นำประเทศ แล้วปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ปัญหาพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร และปัญหาพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย ที่มีทรัพยากรด้านพลังงานผลประโยชน์จะตกเป็นของคนไทย หรือของคนบางกลุ่ม หรือกลุ่มไหนได้ประโยชน์
ลองหลับตานึกกันเล่นๆ ไปพลางๆ ก่อน
เพราะหากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวทั้งหลายทั้งปวงที่กำลังเกิดขึ้น และในอนาคตอันใกล้ ย่อมเห็นได้ชัดว่า พล.อ.ชวลิต นี่แหละที่เป็น“หมาก” อีกตัวหนึ่งที่ ทักษิณ ชินวัตร นำมาใช้ในสงคราม แม้ว่าอาจจะเป็นสงครามครั้งสุดท้ายก็ตาม
หากสังเกตให้ดี และนำมาต่อเป็นจิ๊กซอว์ ทุกอย่างล้วนต่อเนื่องกัน และเป็นผลมาจากข้อตกลงแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่พอใจกันทั้งสองฝ่ายนั่นคือ ทั้งพล.อ.ชวลิต กับ ทักษิณ ชินวัตร
เริ่มจากการยกขบวนเข้ามาในพรรคเพื่อไทย จากนั้นก็เริ่มเดินเกมป่วนรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในช่วงที่กำลังเป็นประธานอาเซียน และเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 15 ด้วยการใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวที่เคยมีมานาน บุกปาดหน้าไปพบ ฮุนเซน ที่กรุงพนมเปญ และก็ไม่ผิดหวังที่ผู้นำกัมพูชารับลูกเข้ามากร่างถึงหน้าห้องประชุมอาเซียนกันเลยทีเดียว
แม้ว่าหากพิจารณาในภาพรวมแล้วเกมนี้ยังไม่รู้ว่าจะได้แต้มหรือเสียแต้ม เพราะถูกมองว่าเป็นการชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน ทำนองให้ลูกหลานพระยาละแวกมาย่ำศรีศักดิ์ศรีคนไทยถึงในบ้าน ถือว่าเสี่ยงไม่น้อย แต่อย่างน้อยงานนี้ ทักษิณ ก็มีที่ยืนเพิ่มขึ้นอีกแห่ง เมื่อผู้นำกัมพูชาประกาศอุ้มเต็มตัว
นี่เป็นหนึ่งในแผนตีโอบเข้ามาจากต่างประเทศ เพราะหลังจากนี้ พล.อ.ชวลิต ยังเตรียมที่จะเดินทางไปพบกับผู้นำของเพื่อบ้านอีกบางประเทศ เช่น พม่า และมาเลเซีย แม้ว่าจะยังไม่มีกำหนดการที่ชัดเจน และรวมถึงยังไม่รู้ว่าผู้นำประเทศเหล่านั้นจะยอมเสียมารยาทเหมือนกับที่ฮุนเซน ทำกับรัฐบาลไทยหรือไม่
ขณะเดียวกันความเคลื่อนไหวที่สอดคล้องต้องกันก็คือ ในปลายเดือนหน้ากลุ่มคนเสื้อแดงของทักษิณ ได้ประกาศชุมนุมใหญ่ และบอกว่าเป็นการชุมนุมยืดเยื้อเพื่อสร้างแรกดดันต่อรัฐบาลอภิสิทธิ์ ในช่วงที่กำลังบริหารประเทศครบ 1 ปี ซึ่งการชุมนุมดังกล่าวย่อมมีโอกาสเกิดเหตุแทรกซ้อนได้ทุกเวลา
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาถึงเป้าหมายที่ฝ่าย ทักษิณ ต้องการในเวลานี้และเป็นไปได้มากที่สุดก็คือต้องการกดดันให้ยุบสภาโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะต้องการให้สำเร็จภายในไม่เกินสิ้นปีนี้
ด้วยเหตุผลอย่างที่ทุกคนรู้เท่าทันกันดีอยู่แล้วว่า คดี ทักษิณ ที่ถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติจากการใช้อำนาจมิชอบ และถูกอายัดทรัพย์สินจำนวน 7.6 หมื่นล้าน ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกำลังจะมีการสรุปกันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า และนี่แหละที่ทำให้ต้องดิ้นรนเหมือนกับหนูติดจั่น
ดังนั้นหนทางที่เป็นไปได้ที่สุดก็คือ ต้องกดดัน ต้องป่วน ให้เกิดยุบสภาเพื่อให้เลือกตั้งใหม่โดยเร็วที่สุด เนื่องจากยังเชื่อว่าหากเลือกตั้งใหม่พรรคเพื่อไทย ก็จะชนะได้กลับมาเป็นรัฐบาล เข้ามาแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อลบล้างความผิดทั้งหลายทั้งปวงให้กับตัวเอง
แม้ว่าเกมนี้เป็นเกมตื้นๆ ที่คนเขารู้กันทั่ว แต่ทักษิณ ก็ยังเดินหน้า เพราะมั่นใจว่ายังมีคนไทยอีกไม่น้อยที่เห็นดีเห็นงามกับเขา ขณะที่เกมอื่นไม่ว่าจะเป็นวิธี ทหารรับจ้างปฏิวัติ หรือก่อจลาจลให้เปลี่ยนแปลง แม้ว่าจะเป็นไปได้ แต่เมื่อสังคมรู้ทัน หากสำเร็จก็จะอยู่ไม่เป็นสุข สู้มาในคราบของประชาธิปไตยด้วยการเลือกตั้งจะดีกว่า
สำหรับ พล.อ.ชวลิต แม้ว่าจะมีภาพติดตัวในเรื่องของเกมใต้ดิน และเป็นคนเดียวกับที่เคยเป็นนายกฯ ตอนวิกฤต “ต้มยำกุ้ง” ปี 40 คิดแล้วขนลุกขนพองทุกครั้ง แต่หากมีการยุบสภาแล้วให้นำทัพเพื่อไทยลงสนามเลือกตั้งภายใต้ร่มเงาของ ทักษิณ ชินวัตร เกมนี้เขาย่อมเต็มใจ แม้ว่าจะไร้ศักดิ์ศรียอมเป็น “หุ่นเชิด” คนใหม่ก็ตาม เพราะนั่นหมายถึงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเป็นเดิมพัน ซึ่งคนอย่างเขายังถวิลหาอยู่ทุกลมหายใจ
ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบและเงื่อนไขด้านเวลา รวมทั้งสถานการณ์ที่ประดังเข้ามาในเวลานี้ เชื่อว่า ทักษิณ ชินวัตร ต้องสั่งเดินเครื่องเต็มตัว เพื่อปิดเกมให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องทำทุกทาง เพื่อให้ยุบสภาให้ได้
และไม่ใช่เรื่องแปลกหากคนอย่าง “จิ๋ว” ฝันกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบ โดยอาศัยช่องโหว่ที่ตัวเลือกของ ทักษิณ ถูกใช้หมดไปแล้ว นาทีนี้จึงเหลือแต่เขาเท่านั้น ส่วนจะสำเร็จหรือล้มเหลวอีกไม่นานก็รู้
ขณะเดียวกันย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือ “เกมอุบาทว์” ที่ต้องการทำทุกทางเพื่อให้ตัวเองได้หวนกลับมามีอำนาจ ทวงทรัพย์สินมหาศาลที่ได้มาโดยมิชอบเท่านั้น โดยไม่สนใจว่าบ้านเมืองจะปั่นป่วนแค่ไหน !!