"ผ่าประเด็นร้อน"
ต้องยอมรับว่าการ “รับงาน” มาเพื่อย่ำยีศักดิ์ศรีประเทศตัวเองของ “จิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในครั้งนี้ทำได้อย่างถึงใจจริงๆ
เพราะการถ่อสังขารเดินทางไปพบ “ฮุนเซน” ถึงกรุงพนมเปญก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนเพียงไม่กี่ชั่วโมง จนสามารถหักหน้ารัฐบาลไทย ซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของตัวเอง และบิดามารดาของตัวเองได้แบบนี้ถือว่าทำได้สุดยอดจริงๆ
การที่ผู้นำประเทศของเพื่อนบ้านที่มีข้อพิพาทด้านชายแดนระหว่างประเทศมีปัญหาเรื่องอธิปไตยของชาติพูดจาให้ร้ายกระบวนการยุติธรรมของไทย หาว่าไม่มีความยุติธรรม โดยเฉพาะกับกรณีคำตัดสินจำคุก ทักษิณ ชินวัตร พร้อมทั้งได้เตรียมบ้านพักไว้ให้พักพิงอาศัยอีกด้วย
เป็นการพูดต่อหน้า พล.อ.ชวลิต โดยไม่มีความรู้สึกรู้สาอะไรเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับรู้สึกภูมิใจในทำนองว่านี่คือการสร้างความสัมพันธ์อีกรูปแบบหนึ่งไปเสียอีก
ที่ผ่านมาผู้นำของกัมพูชาคนนี้มักใช้สถานการณ์ความขัดแย้งภายในไทยและความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมืองไทยมาใช้สำหรับการเดินเกมหาคะแนนนิยมให้กับตัวเองอยู่เสมอ
ในฐานะที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของกัมพูชามาอย่างต่อเนื่องเกือบ 30 ปี ทำให้มองปัญหาภายในประเทศไทยได้อย่างปรุโปร่ง รู้จุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามได้ดี และที่สำคัญได้ใช้จุดอ่อนดังกล่าวมาสร้างความเข้มแข็งให้กับตัวเอง
แม้ว่าจะมีคำถามว่าสิ่งที่ฮุนเซนกำลังทำอยู่นั้นเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองและครอบครัวหรือเพื่อชาติกันแน่ โดยเฉพาะจากการเป็นเพื่อนกับ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งหากย้อนกลับไปเมื่อปลายเดือนมกราคม 2546 ที่มีการเผาสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญ ที่ตอนนั้นความสัมพันธ์ระหว่างฮุนเซนกับทักษิณ มีความตึงเครียด แต่ว่ากันว่าเมื่อมีการจ่ายเงินชดเชยให้กับบริษัทโทรคมนาคมแห่งหนึ่งที่ได้รับความเสียหายในลำดับต้นๆ ทุกอย่างก็พลิกกลับมาราบรื่น
หรือหากย้อนกลับไปไกลอีกเมื่อมีข่าวหนาหูว่ามีเศรษฐีโทรคมนาคมในไทยให้การสนับสนุนทหารรับจ้างกลุ่มหนึ่งก่อรัฐประหารรัฐบาลฮุนเซน แต่ล้มเหลว มีคนไทยถูกจับหลายคน และหนึ่งในนั้นที่ติดร่างแหก็คือ พ.ต.ท.อดุลย์ บุญเสรฐ อดีต ส.ส.พิจิตร พรรคความหวังใหม่ ของ พล.อ.ชวลิต นั่นเอง
ข่าวการเจรจาการลงทุนในด้านพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนอ่าวไทยกับ ทักษิณ ชินวัตร เพื่อแลกกับการสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเพียงฝ่ายเดียวก็เต็มไปด้วยคำถามมากมายเช่นเดียวกันว่า นี่คือผลประโยชน์ทับซ้อนจำนวนมหาศาลระหว่างผู้มีอำนาจ
พฤติกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาคาบลูกคาบดอกมันก็สะท้อนให้เห็นว่า หากคำพูดดังกล่าวออกมาจากปากของฮุนเซ็นจริง นั่นก็หมายความว่า เขาถือหาง ทักษิณ ที่เป็นนักโทษหนีคดีทุจริต และกำลังถูกทางการตามล่าตัวมาดำเนินคดี
ขณะเดียวกันหากมีท่าทีเช่นนั้นก็ย่อมถือว่าเขาก็ไม่ได้ฉลาดเลย
อย่างไรก็ดีขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเป็นผู้นำรัฐบาลไทยในปัจจุบันว่าจะมีท่าทีต่อเรื่องนี้อย่างไร เพราะคำพูดของผู้นำกัมพูชามองได้ว่าเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมไทย เสมือนเป็นการกล่าวหาว่า “ไม่ได้มาตรฐาน” กรณีตัดสินให้ ทักษิณ มีความผิด
ประกอบกับเป็นช่วงที่ประเทศไทยเป็นประธานอาเซียนก็ต้องแสดงท่าทีให้กัพูชาได้ทราบว่าคำพูดที่โจมตีกระบวนการยุติธรรมไทยนั้นมีความุม่งหมายใดกันแน่ และยังให้การสนับสนุน ทักษิณ ชินวัตร จริงหรือไม่
เพราะการที่บอกว่าจะเตรียมบ้านพักรับรองเอาไว้แล้วถือว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงในเรื่องสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่มีต่อกัน และบานปลายไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ดังนั้นนายกรัฐมนตรีต้องมีท่าทีที่ชัดเจนต่อกรณีที่เกิดขึ้น เพราะนี่คือศักดิ์ศรีของชาติ ที่ไม่ว่าประเทศไหนก็ตามจะมาพูดจาย่ำยีไม่ได้เป็นอันขาด
การที่นายกรัฐมนตรีประกาศนโยบายไทยเข้มแข็ง ก็ต้องทำให้มีความหมายอย่างแท้จริง ไม่ใช่หมายความเฉพาะในเรื่องการกู้เงินมาสร้างงานสร้างอาชีพเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพิสูจน์ภาวะผู้นำให้เห็นอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในช่วงที่ศักดิ์ศรีของชาติกำลังถูกย่ำยีจากผู้นำประเทศเล็กๆประเทศหนึ่ง ซึ่งที่ผ่านมาไทยให้การอุปถัมภ์ค้ำชูมาตลอด
ถึงเวลาแล้วที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ จะต้องแสดงบทบาทในฐานะผู้นำของชาติอย่างแท้จริงแล้ว !!