“ผ่าประเด็นร้อน”
มาถึงวันนี้เกมแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผลักดันจากผู้มีอิทธิพลและเจ้าของพรรคหลายคนที่สุมหัวกันเพื่อต้องการแก้ไขเพื่อให้ตัวเองพ้นจากที่คุมขัง 111-109 ออกมาให้ได้นั้น นานวันกระแสยิ่งตกลงเรื่อยๆ เพราะเมื่อเช็กกระแสแล้วชาวบ้านส่วนใหญ่เขาเริ่มรู้ทันและถอยฉากกันเป็นแถว
อีกทั้งเมื่อ ทักษิณ ชินวัตร สั่งพรรคเพื่อไทยกลับหลังหันไม่เอาด้วย การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เดินต่อไม่ได้ เพราะเสียงในสภาไม่พอ
ทุกอย่างเริ่มแผ่ว!!
ก็จะไม่แผ่วได้อย่างไร เพราะเมื่อพิจารณาทั้ง 6 ประเด็นที่คณะกรรมการสมานฉันท์ฯไปทำมาและเสนอเพื่อแก้ไขนั้น ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องผลประโยชน์และอำนาจของนักการเมืองล้วนๆ และนักการเมืองที่ว่านั้นก็เป็นประเภท “ขี้โกง” เสียด้วย ทั้งปีทั้งชาติล้วนเข้ามาใช้การเมืองเป็นเครื่องมือสร้างความร่ำรวยให้ตัวเองและครอบครัว
เป็น “ธุรกิจการเมือง” สมบูรณ์แบบ!!
เมื่อเป็นแบบนี้แล้วชาวบ้านคนไหนก็ตามที่พอรู้ความจริงรับรองไม่ใครเอาด้วยแน่นอน
อย่างไรก็ดี แม้ว่าในเบื้องต้นจะมีความพยายามจากนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์จะอาศัยความเก๋าใช้วิธีหลังพิงประชาชนด้วยการจะทำประชามติก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้ประชาชนตัดสินใจก่อน
ดูรูปการแล้วน่าจะดี หลายฝ่ายก็เห็นด้วย เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่บรรดานักการเมืองกระสันอยากจะแก้ไขอยู่นั้น ถึงแม้ว่าจะมาจากมดลูกเผด็จการ คมช.ก็จริง แต่ก็ผ่านการลงประชาชมติมาถึง 14.7 ล้านเสียง
ทางที่ถูกที่ควรหากจะทำอะไรก็ควรถามเจ้าของเขาก่อน ไม่ใช่มุบมิบทำอะไรกันตามใจชอบ
ทุกอย่างก็ทำท่าจะเดินไปทางนี้ เพราะถึงอย่างไรบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลที่ตอนแรกทำท่าจะไม่เอาด้วย แต่เมื่อประเมินสถานการณ์แล้วยอมถอยกลับมาบ้าง ที่เหลือก็ถือว่ายังมีลุ้น
แต่ปัญหาก็คือ ประเด็นที่ถูกยกขึ้นมาแก้ไขทั้งหลายทั้งปวง มันไม่มีประโยชน์เฉพาะหน้าต่อ นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร เลยแม้แต่นิดเดียว มันก็เลยทำท่าวุ่นกันอีกรอบ
เรื่องของเรื่องมันไม่มีอะไรซับซ้อนมากกว่านี้
เพราะสิ่งที่ ทักษิณ ชินวัตร ต้องการที่สุดก็คือ ให้ยกเลิกความผิดจาการถูกห้ามเว้นวรรคการเมือง 5 ปี และอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาในเวลานี้ก็คือต้องการหลุดพ้นจากคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท รวมทั้งคดีอื่นๆ ที่ยังค้างคาอยู่ในศาลทั้งหมด
ประเด็นหลักๆ มันมีอยู่แค่นี้
ขณะเดียวกัน กระบวนการแก้ไขที่ฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ในเวลานี้มันต้องใช้เวลาอย่างน้อยที่สุดไม่ต่ำกว่า 8-9 เดือน มันไม่ทันการณ์ เพราะคดีอายัดทรัพย์กำลังจะมีการสรุปในเร็วๆ นี้
และนี่คือเหตุผลว่า...ทำไมพรรคเพื่อไทยของทักษิณ ถึงได้ปั่นป่วน เพราะวิปฝ่ายค้านจากพรรคเพื่อไทยที่ส่งไปร่วมประชุมร่วมกับวิปรัฐบาลและวิปวุฒิสภาไปร่วมหารือเรื่องวิธีการแก้ไข ในตอนแรกก็มีความเห็นสอดคล้องกัน ซึ่งก็เป็นไปตามธรรมชาติของฝ่ายการเมือง ที่ต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน อย่างน้อยก็มีประเด็นในเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งให้เล็กลงแบบเขตเดียวเบอร์เดียว
นักการเมืองได้ประโยชน์ แต่ทักษิณไม่ได้ประโยชน์ และนี่คือเหตุผลที่ทักษิณ ต้องการให้นำรัฐธรรมนูญปี 40 มาใช้ทั้งฉบับในทันที แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาไม่รู้กฎหมายหรือมีเจตนาซ่อนเร้นบางอย่างหรือไม่
เนื่องจากในท้ายของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้กำหนดเอาไว้ชัดเจนให้แก้ไขได้เท่านั้น จะไปยกเลิกไม่ได้
ดังนั้น ถ้ายกเลิกแล้วนำฉบับปี 40 มาใช้ก็ต้องใช้วิธีอื่น เช่นรัฐประหารยึดอำนาจแล้วฉีกรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทิ้ง หรืออีกวิธีก็คือทำให้ป่วนเพื่อกดดันให้ยุบสภา ล้างไพ่เล่นเกมใหม่ หวังว่าพรรคเพื่อไทยของตัวเองตัวเองมีลุ้นจะชนะเลือกตั้งได้เสียงข้างมาก
ซึ่งวิธีรวบรัดที่ ทักษิณ ชินวัตร ต้องการก็คือ วิธีอย่างหลังหรือไม่ และการทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้ก็ต้องทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย ก่อจลาจลแล้วล่อให้ทหารรับจ้างบางกลุ่มมาทำการยึดอำนาจ ถ้าทำได้สำเร็จความผิดของเขาก็จะลบทิ้งไปทั้งหมด แล้วยังกลับมาสู่วงการเมือง กลับมามีอำนาจได้อีกครั้ง
แต่ปัญหาก็คือจะมีทหารคนใดกล้าทำ เพราะชาวบ้านเขารู้เล่ห์เหลี่ยมมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ดี อย่าได้ประมาทเป็นอันขาด เพราะสถานการณ์ที่บีบรัดเข้ามาทุกทางมันทำให้คนหน้ามืดได้เหมือนกัน ยิ่งเวลานี้ได้สองสามแรงบวกจากพวกทหารแก่กลุ่มใหญ่ที่นำโดย “โซ่ข้อจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ป.ป.ช.ตัดสินให้มีความผิดอาญามีสิทธิ์ติดคุกตอนแก่ เมื่อครั้งบัญชาการปราบปรามประชาชนในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 เข้าไปผสมโรง
ด้วยศักยภาพของคนพวกนี้ที่มีกิตติศัพท์ในเรื่องเกมใต้ดินป่วนเมืองมันก็ยิ่งหนาว เพราะในเดือนสองเดือนนี้เป็นโอกาสเฮือกสุดท้ายแล้ว ต้นเดือนพฤศจิกายนก็จะปิดสมัยประชุมสภาสมัยสามัญนิติบัญญัติ หากจะเริ่มใหม่ โน่น ต้องรอถึงต้นปีหน้า
ดังนั้น อย่าประมาทแดงรับจ้างทั้งเดือนตุลาคมนี้ก็แล้วกัน!!