xs
xsm
sm
md
lg

ต้อน “จิ๋ว” เข้าคอก “แม้ว” ระวังแผนหน้ามืด !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"ผ่าประเด็นร้อน"

แม้ในเบื้องตันยังจับทางไม่ออกว่า สาเหตุแท้จริงที่ ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคเพื่อไทยดึง “จิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งอดีตเคยเป็นทั้งเจ้านายและลูกน้องเข้ามาร่วมสังกัดอีกรอบ ทั้งที่ตอนแรกอดีตนายทหารสื่อสารท่านนี้ได้คิดจะใช้ชีวิตบั้นปลายในตอนแก่วางมือทางการเมืองเก็บตัวอยู่บ้านอย่างเงียบๆ

แต่จู่ๆพลันที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดอาญาในคดีสั่งสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 พร้อมๆ กับ “น้องเขย” ของทักษิณ คือ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ รวมไปถึงบิ๊กในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล

หลายคนจึงวิเคราะห์แบบฟันธงทันทีว่าด้วยสาเหตุดังกล่าวทำให้ พล.อ.ชวลิต นั่งไม่ติดต้องเผ่นตัวลอยออกมาจากถ้ำบ้านปิ่นประภาคมกลับมารับใช้ ทักษิณ อีกรอบ เพราะต้องใช้การเมืองมาหาทางแก้ปัญหาให้ตัวเองรอดคุกจากคดีอาญาตามมาตรา 157 ดังกล่าว

อย่างไรก็ดีเมื่อย้อนกลับไปไม่นานนัก ข่าวคราวที่บอกว่า พล.อ.ชวลิต ได้รับการติดต่อเป็นคนแรกให้มาเป็น “หุ่นเชิด” นั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคพลังประชาชนก่อน สมัคร สุนทรเวช เสียอีกแต่จะด้วยการเจรจามีเงื่อนไขมากเรื่อง ที่สำคัญว่ากันว่าเรียก “ค่าตัว” แพงเกินไปทำให้เจ้าของพรรคต้องล้มดีลดังกล่าวไป

มาคราวนี้จะด้วยเงื่อนไขที่สมประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่ายการเจรจาจึงลงเอยกันด้วยดี

เพราะถ้ามองในมุมของทักษิณ ชินวัตร ที่ก่อนหน้านี้ปล่อยให้พรรคเพื่อไทยเดินไปตามยถากรรม “ขาดหัว” ที่จะนำขบวน ทำให้การเคลื่อนไหวขาดทิศทางสะเปะสะปะ แม้จะมีคนอาสากระสันอยากนั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคเพื่อไทยหลายคน แต่ก็ขาดบารมี ไร้แก่นสาร ทำให้เจ้าของพรรคอย่าง ทักษิณ ยังลังเล ไม่ตัดสินใจเคาะชื่อหัวหน้าพรรคอยู่นาน

ทำให้การเคลื่อนไหวของพรรคในสภาต้องหยุดนิ่ง ไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มใดๆได้เลย ในทางตรงข้ามการเคลื่อนไหวกลับปล่อยให้ “ 3 เกลอ” นำมาใช้หาประโยชน์ส่วนตัว เคลื่อนไหวโดยใช้มวลชนเสื้อแดงเป็นเครื่องมือเพื่อกดดันรัฐบาล แต่ผ่านมานานเป็นปี แม้ว่าในช่วงก่อจลาจลเดือนเมษายนเกือบทำสำเร็จรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เกือบล่มมาแล้ว

แต่หลังจากนั้นภาพพจน์ที่เป็นลบ และเกิดความแตกแยกจากผลประโยชน์ไม่ลงตัวทำให้เสื้อแดงแตกออกเป็นแดง 3 เกลอ กับ “แดงสยาม” แฉโพยกันวุ่นวาย จนเป็นที่สมเพชเวทนาของสังคมทั่วไป

ภาพลักษณ์ที่เป็นลบถดถอยลงทุกวัน ยิ่งทำให้โอกาสที่ จะทำให้ ทักษิณ ชินวัตร ได้กลับประเทศโดยที่ไม่ต้องรับโทษในคดีทุจริตที่ยาวเป็นหางว่าว หรือโอกาสจะได้เงิน 7.6 หมื่นล้านที่ถูกอายัดคืนมายิ่งริบหรี่ลงเรื่อยๆ

เมื่อสภาพความเป็นจริงปฏิเสธไม่ได้มันก็ต้องปรับเปลี่ยนเกมใหม่ หากสังเกตจากท่าระยะหลัง ทักษิณ โฟนอินเข้ามาแต่ละครั้งจะเน้นย้ำจะขอปรองดอง ฟังแรกๆอาจจะผ่านหูเรื่อยเปื่อย แต่หลายครั้งเข้ามีแต่พูดซ้ำมันก็ทำให้ต้องคิดว่า เขามุ่งหวังอย่างที่พูดจริงๆ ก็ได้

เพราะถ้าพิจารณาจากองค์ประกอบอื่นๆ หากยังเดินในแนวทางเดิม ก็มีหวังได้ตายอยู่กลางทะเลทรายดูไบเป็นแน่

อย่างไรก็ดี ทุกอย่างอาจประจวบเหมาะ เมื่อ จิ๋ว ติดบ่วงคดีอาญา 7 ตุลา อาจติดคุกตอนแก่ จึงจำเป็นต้องจับมือกันแบบ “รวมการเฉพาะกิจ”

แม้ว่าในทางการเมืองย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่านาทีนี้สำหรับ ทักษิณ สำหรับพรรคเพื่อไทย การได้ พล.อ.ชวลิต เข้ามาร่วมถือว่า เป็นจังหวะดีที่สุดในภาวะที่มีแต่ข้อจำกัด ทั้งที่หากจะว่าไปแล้ว พล.อ.ชวลิต ในยุคนี้ก็ไม่ต่างจาก “ยาที่หมดอายุ” ไม่มีเครดิตในสังคมทั่วไปเหลืออยู่แล้ว

เพราะไม่ว่ามองในมุมไหนไม่มีผลงานที่โดดเด่น มีแต่สร้างความสับสน และล้มเหลวในแทบทุกเรื่อง แต่อาจจะยังนำไปหากินได้บ้างกับผลงานจากการมีส่วนร่วมในการออกนโยบาย 66/23 ที่เน้นสมานฉันท์แต่นั่นก็อยู่ในฐานะกุนซือ และมีตำแหน่งในกองทัพค้ำอยู่เบื้องหลัง

อย่างไรก็ดีสิ่งที่ต้องพิจารณาควบคู่กันไปสำหรับ พล.อ.ชวลิต ภาพติดตัวมาตลอดก็คืองานมวลชนใต้ดิน ไม่เชื่อหากลองย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ในช่วงพฤษภาทมิฬ ที่เขาร่วมต่อสู้กับ วีระ มุสิกพงศ์ ก็มีเรื่องของแก๊งมอเตอร์ไซค์ออกมาป่วนเมืองยังคาใจ หลายคน ยังมีการตั้งคำถามกันมาตลอด

การกลับมาอีกรอบเที่ยวนี้คำแรกที่ได้ยินออกมาจากปากก็คือต้องการสมานฉันท์ในบ้านเมือง สอดคล้องกับคำพูดของ ทักษิณ ที่หันกลับมาเน้นการปรองดอง มันก็อาจเป็นความหวังที่พรรคเพื่อไทยจะหันกลับเข้ามาสู่บทบาทในสภาเต็มตัวเสียที

แต่อีกมุมหนึ่งมันก็อดหวั่นใจไม่ได้ เพราะ พล.อ.ชวลิต กับมวลชนใต้ดิน ที่มักติดตัวกันควบคู่กันมาเสมอ และเมื่อมาจับมือกับ ทักษิณ อีกรอบในช่วงที่กำลังมีคดีอาญาติดตัว มันก็ยิ่งทำให้อดคิดไปไกลว่า หากทั้งคู่เกิดหน้ามืด เปิดเกมป่วนล้มกระดานขึ้นมาอีกรอบมันก็เหมือนสองแรงบวก

อันตรายนัก !!

กำลังโหลดความคิดเห็น