xs
xsm
sm
md
lg

ตำรวจไร้สำนึกรับผิดชอบ ถึงเวลาปฏิรูปครั้งใหญ่ !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ตำรวจยิงระเบิดแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ ตั้งแต่เช้าจรดเย็นวันที่ 7 ต.ค.51 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก จน ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดนายตำรวจระดับสูง 2 นาย
"ผ่าประเด็นร้อน"

หลายคนที่ได้เห็นท่าทีของตำรวจบางกลุ่มที่เคยถูกเหมารวมว่าเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แล้วก็อาจอดสูใจว่าประเทศไทยยังมีข้าราชการตำรวจประเภทนี้หลงเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก

ไม่น่าเชื่อว่าในยุคที่เรียกว่าเป็นยุคโลกาภิวัตน์ ประชาชนมีความตื่นตัว รับรู้ข่าวสาร และที่สำคัญมีความก้าวหน้าทางความคิดไปไกลลิบแล้ว และเป็นยุคที่คนไทยเริ่มมองข้าราชการตำรวจ รวมถึงข้าราชการ และนักการเมืองอื่นๆ เป็นลูกน้อง ไม่ใช่เจ้านายเหมือนในอดีตแล้ว

แต่กลับยังมีตำรวจที่ไร้จิตสำนึก อ้างเหตุผลเพื่อปกป้องตัวเอง และพวกของตัวเองอย่างน่าอัปยศที่สุด แทนที่จะก้มหน้ายอมรับความผิด เพราะจำนนต่อหลักฐาน แต่นี่ตรงกันข้าม ยังมีพฤติกรรมข่มขู่ประชาชนไม่เลิก

กรณี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาลถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดทั้งอาญาและวินัยขั้นร้ายแรงร่วมกับฝ่ายการเมืองที่นำโดย สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกฯ ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ทำให้ต้องถูกพิจารณาโทษขั้นปลดออก หรือไล่ออกจากราชการ ซึ่งในเวลาต่อมาคนกลุ่มนี้ยังมีท่าทีขัดขืนไม่ยอมรับคำตัดสิน อ้างว่าไม่เป็นธรรม อ้างหลักการเพื่อเอาตัวรอดสารพัด

ต่อมายังมีข้าราชการตำรวจกลุ่มหนึ่งทั้งในอดีตและปัจจุบัน ได้พยายามเคลื่อนไหวคัดค้านคำสั่งของป.ป.ช. โดยบางคนถึงขั้นกล่าวหาป.ป.ช.ว่ามีที่มามิชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่าไม่มีสิทธิ์มาออกคำสั่งก็มี

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในรายละเอียด แต่ละรายชื่อ แต่ละคน ไล่เรียงไปตั้งแต่ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค พล.ต.อ.ชัชจ์ กุลดิลก พล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภษัช เป็นต้น ซึ่งเป็นอดีตนายตำรวจ ซึ่งเป็นตำรวจที่เติบโตมาในยุคระบอบทักษิณ บางคนเคยมีบทบาทในยุครัฐบาลของ สมัคร สุนทรเวช ต่อเนื่องมาถึงยุครัฐบาล สมชาย วงศ์สวัสดิ์ บางคน เช่น พล.ต.อ.ชัชจ์ ปัจจุบันเป็น ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย

ขณะที่ พล.ต.อ.สล้าง ในอดีตสมัยเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ก็เคยสร้างความมัวหมองจากการมีบทบาทสำคัญในวันที่มีการเข่นฆ่านิสิตนักศึกษากลางพระนคร รวมไปถึงการถูกระบุว่า ทำร้ายร่างกาย ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในสมัยนั้นด้วย

อดีตนายตำรวจดังกล่าวไม่เคยมีความสำนึกกับสิ่งที่ตัวเองได้กระทำ ไม่คิดว่าจะสร้างผลกระทบให้กับวงการตำรวจในวงกว้างอย่างไรบ้าง

นอกจากนี้ ยังมีนายตำรวจที่ยังรับราชการในปัจจุบัน และเคยมีบทบาทอยู่ในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม แต่กลับรอดพ้นจากการถูกดำเนินคดีไปได้อย่างน่าแปลกใจ อย่าง เช่น พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ที่ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุได้ขอลากิจอ้างว่าไปทำบุญกระดูกของบิดา แต่ก็มีคนพบเห็นว่า มีคนที่มีลักษณะหน้าตาคล้ายกันปฏิบัติหน้าที่ในกองบัญชาการตำรวจนครบาลด้วย

ส่วน พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คนนี้ที่ผ่านมาเคยกล่าวหาให้ร้ายผู้ชุมนุม โดยเฉพาะกล่าวหาว่า “น้องโบว์” น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ ที่เสียชีวิตจากการถูกระเบิดแก๊สน้ำตาของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า เป็นผู้พกระเบิดแล้วเกิดระเบิดขึ้นเองไม่ได้เป็นฝีมือของตำรวจ จนในที่สุด พล.ต.ต.สุรพล ต้องยอมกราบขอขมา พ่อแม่ของน้องโบว์ ว่าตัวเองเข้าใจผิด

แต่มาวันนี้นายตำรวจทั้งคู่ยังออกมาแสดงท่าทีกังขาคำสั่งชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช. ที่มีต่อผู้บังคับบัญชาของเขา อย่าง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ โดยอ้างว่าทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้ตำรวจเสียขวัญ ไม่มั่นใจการปฏิบัติหน้าที่

ด้าน พล.ต.ต.อำนวย เลยเถิดถึงขั้นประชด ป.ป.ช.ให้วางกรอบการทำงานของตำรวจว่า ต้องทำอย่างไรเมื่อเกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวกัน ทั้งที่นายตำรวจคนดังกล่าวไม่มีสติปัญญาหรือว่าแกล้งไม่รู้ว่า การสลายการชุมนุมมีระเบียบปฏิบัติวางไว้ตามขั้นตอน จากเบาไปหาหนัก มีการเตือนระบุเอาไว้อย่างชัดเจน

แต่ตำรวจพวกนี้ดูเหมือนไม่เคยใส่ใจกับการที่มีคนได้รับบาดเจ็บ ล้มตาย พิการ เป็นจำนวนมาก ซึ่งมีภาพปรากฏเป็นหลักฐาน แต่ในทางตรงกันข้าม กลับพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองและพวกพ้องพ้นผิด

การอ้างว่าคำสั่งชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช. ทำให้ตำรวจเสียกำลังใจหรือ ไม่มีความมั่นใจในการทำหน้าที่ ถือว่าเป็นปฏิกิริยาที่ไร้ยางอาย เพราะนอกจากไม่เคยสำนึกต่อความสูญเสียชีวิต บาดเจ็บ พิการ ของคนจำนวนมากแล้ว ยังตะแบง เพื่อให้ตัวเองเอาตัวรอดเท่านั้น

ยังคิดว่าพฤติกรรมแบบนี้จะยิ่งทำให้ประชาชนมั่นใจ และชื่นชมเจ้าหน้าที่ตำรวจประเภทนี้หรือ

ดังนั้นเมื่อเห็นความเคลื่อนไหวที่น่าอัปยศดังกล่าวมาทั้งหมด น่าจะถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการปรับโครงสร้างการทำงานของตำรวจอย่างขนานใหญ่ เสริมสร้างจริยธรรม และคุณธรรมสำหรับบุคคลที่จะมาเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างเต็มภาคภูมิ

โดยเฉพาะอย่าง จะต้องหาวิธีสร้างตำรวจอาชีพที่เลิกรับใช้การเมืองเสียที !!


กำลังโหลดความคิดเห็น