การขับเคลื่อนเพื่อล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังคงดำเนินไปอย่างคึกคัก ล่าสุดสามารถจับกระแสการสื่อความได้ชัดเจนว่า ความเปลี่ยนแปลงใหญ่ของประเทศไทยกำลังเกิดขึ้นในระยะเวลาหลังจากนี้ไม่นานนัก
การล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆ คือเป้าหมายแรกสุดในการกลับคืนสู่อำนาจ และได้คืนทรัพย์สิน ผลประโยชน์ ตลอดจนพ้นจากโทษภัยใดๆ ของคุณทักษิณ ชินวัตร
ความเคลื่อนไหวตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้วนับถึงขณะนี้บ่งชี้ชัดเจนว่ามีความเชื่อค่อนข้างจะหนักแน่นว่า คุณทักษิณ ชินวัตร จะกลับมามีอำนาจอีกครั้งหนึ่งก่อนสิ้นปีนี้ และเด่นชัดมากจากการส่งข่าวสารและการเคลื่อนไหวชายแดนเขมร โดยมีนัยว่าจะมีการข้ามแดนจากเขมรสู่ประเทศไทยก่อนเข้ากรุง
จึงต้องมาดูกันว่าจากข้อเท็จจริงและปรากฏการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น มีเรื่องใดบ้างที่อาจเกี่ยวข้องกับเรื่องราวเหล่านี้ ที่สำคัญเห็นจะมีดังต่อไปนี้
ประการแรก การเดินทางไปเขมรของบิ๊กจิ๋ว และหลังจากนั้นนายฮวยเซ็งก็ได้เข้ามาอาละวาดหยามน้ำหน้าประเทศไทยในการประชุมสุดยอดอาเซียน ต่อเนื่องมาจนถึงเรื่องการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้คุณทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาของเขมร และเชื่อมโยงมาถึงการต้อนรับอย่างเอิกเกริกผิดกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา พร้อมๆ กับนายฮวยเซ็งประกาศด่ารัฐบาลและกระบวนการยุติธรรมไทยอย่างไม่ไว้หน้า ประสานเสียงจากคุณทักษิณ ชินวัตร ที่ใช้เขมรเป็นฐานในการด่ากราดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เรื่องราวทั้งหมดในกระบวนการของประการนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องเดียวกัน เป็นการเดินหมากเกมกลที่มีการวางแผนไว้เป็นอย่างดีและอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ใช่เรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ
สถานการณ์ในวันนี้ไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยใดๆ อีกแล้วว่าได้เกิดความขัดแย้งถึงขั้นเป็นปรปักษ์ระหว่างไทย-เขมร ที่สร้างความเคียดแค้นชิงชังอย่างสุดแสนประมาณให้กับคนไทยทั้งประเทศ
ประการที่สอง การให้สัมภาษณ์ของคุณทักษิณ ชินวัตร ต่อสื่อมวลชนอังกฤษที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงที่สุดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ องคมนตรี นางสนองพระโอษฐ์ และองค์รัชทายาท ได้ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ไปทั่วโลก แต่คุณทักษิณ ชินวัตร กลับแถลงการณ์มายังคนไทยว่าไม่ได้พูดเช่นนั้น ครั้นถูกนำข้อเท็จจริงมายันก็อ้างว่าพลั้งปากพูดเพราะเข้าใจภาษาอังกฤษไม่ดีพอ ในขณะที่ลิ่วล้อก็ป้ายสีเป็นว่าเรื่องราวเกิดขึ้นจากการวางแผนของฝ่ายรัฐบาล
ผลแท้จริงที่เกิดขึ้นคือ ผลกระทบในทางเสื่อมเสียต่อพระมหากษัตริย์ สถาบันพระมหากษัตริย์ องค์รัชทายาท คณะองคมนตรี คณะนางสนองพระโอษฐ์ ที่เผยแพร่ออกไปทั่วโลก โดยที่ไม่มีคำประกาศแจ้งแก่ผู้ได้รับข้อมูลเหล่านั้นว่า ไม่เป็นความจริง หรือเพราะสำคัญผิด ดังนั้นต่อโลกกว้างจึงเกิดความเสียหาย แต่ขณะเดียวกันก็แก้ตัวกับคนไทยเพราะเกรงแรงใจจงรักภักดีที่ยังเปี่ยมล้นราชอาณาจักรไทย ซึ่งไม่ได้แก้ไขความเสียหายใดๆ เลย
ปรากฏการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่นับเนื่องต่อเนื่องยาวนาน และล้วนเชื่อมโยงกับความเคลื่อนไหวของบรรดาลิ่วล้อบริวารที่ถูกจำคุกอยู่ในขณะนี้ และที่หลบหนีออกไปต่างประเทศ ตลอดจนที่ยังทำการเคลื่อนไหวอยู่
เป็นปรากฏการณ์ที่ส่งผลต่อการบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างน้อยที่สุดก็ส่อว่าจะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นแค่เจว็ด ดังเช่นที่เกิดขึ้นในเขมรในปัจจุบันนี้
ประการที่สาม การเคลื่อนไหวของบิ๊กจิ๋วในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยจุดประเด็นเรื่องการตั้งนครรัฐปัตตานี ซึ่งเป็น 1 ใน 7 ข้อเรียกร้องของฮะยีสุหรงในอดีต ซึ่งเป็นรูปแบบการปกครองในลักษณะที่เอื้ออำนวยต่อการแบ่งแยกราชอาณาจักรออกเป็นอีกรัฐใหม่ ทำนองเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับติมอร์ตะวันออกของอินโดนีเซีย
ความเคลื่อนไหวนี้เห็นได้ชัดว่าต้องการดึงฐานเสียงพี่น้องมุสลิม โดยไม่คำนึงถึงอธิปไตยของประเทศชาติและไม่ได้เป็นส่วนใดๆ ในกระบวนการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ดังนั้นท่ามกลางการเคลื่อนไหวนี้ จึงเกิดปรากฏการณ์คาร์บอมบ์ครั้งร้ายแรงที่สุดเกิดขึ้น และมีแนวโน้มว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากที่เป็นอยู่
ประการที่สี่ สถานการณ์ตึงเครียดทางการทหารตามแนวชายแดนไทย-เขมร ถึงขั้นส่งกำลังหน่วยรบพิเศษขึ้นไปประจำอยู่บนเขาพระวิหาร ต่อมาก็ออกข่าวลวงว่าได้ถอนทหารหน่วยนี้ออกไปแล้ว แต่ในทางความเป็นจริงกลับเตรียมกำลังชุดใหม่เข้ามาเตรียมไว้
หากนับรวมกำลังที่จะถอนออกไป และกำลังที่กำลังเข้ามาใหม่ภายใต้ข้ออ้างว่ามาทดแทน ก็จะกลายเป็นการเพิ่มกำลังทหารของฝ่ายเขมรถึงสองเท่า แต่ในขณะเดียวกันกลับส่งคนมาเจรจากับฝ่ายทหารของไทยว่าไม่ต้องการให้มีการปะทะกัน
หรือนี่คืออุบายลวงให้วางใจ เพื่อเตรียมปฏิบัติการทางการทหารโดยไม่ให้ฝ่ายไทยรู้ตัว
ประการที่ห้า การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงและทหารรับจ้างที่มีการประกาศชุมนุมใหญ่ก่อนปลายปี ในขณะที่มีการแอบฝึกซ้อมกำลังติดอาวุธในหลายพื้นที่ รวมทั้งล่าสุดคือการเตรียมมวลชนเพื่อห้อมล้อมรองรับบุคคลสำคัญจากเขมรที่จะเดินทางเข้ามาประเทศไทย ทำนองเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศฮอนดูรัส
จากห้าประการดังกล่าวนี้จึงสามารถต่อรูปการเข้าเป็นแผนที่มองเห็นได้อย่างเลือนลางว่าเมื่อวันเวลาที่กำหนดมาถึง ก็จะเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นอย่างสอดรับประสานกัน
เป็นไปได้ว่าจะเกิดเหตุระเบิดร้ายแรงในพื้นที่ภาคใต้จนเกิดการระส่ำระสาย ขณะเดียวกันก็จะเกิดเหตุปะทะกันชายแดนเขมร โดยทหารไทยถูกบุกโจมตีโดยไม่รู้ตัว และมีขนาดการปะทะในระดับกรมหรือใกล้ระดับกองพล เพื่อดึงกำลังทหารส่วนกลางจากพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 ขึ้นไปยันศึก ทำให้เปิดช่องว่างทางกำลังขึ้นในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 และในขณะนั้นบรรดานักรบรับจ้างก็จะปฏิบัติการอย่างพร้อมเพรียงกันในหลายจุด เพื่อปฏิบัติการต่อผู้นำของรัฐบาลและกองทัพ เพื่อตัดการบัญชาการให้ขาดสะบั้น
พร้อมๆ กันนั้นก็มีกลุ่มมวลชนเข้ายึดที่ทำการของรัฐบาลและกองทัพ ประกาศปฏิวัติโดยประชาชน โดยมีสื่อประสานเสียงให้เกิดความสมานฉันท์ร่วมมือกับการปฏิวัติของประชาชนนั้น
และพร้อมๆ กันอีกก็มีนักการเมืองคนสำคัญข้ามแดนจากเขมรเข้ามาฝั่งไทย โดยมีมวลชนอีกกลุ่มหนึ่งคอยแวดล้อมต้อนรับ และมีเจ้าหน้าที่ของรัฐบางส่วนเข้าร่วมก่อเกิดเป็นกระแสประสานกับการปฏิวัติในส่วนกลาง
หากเป็นเช่นนี้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็คงดับเครื่องแดวดิ้นสิ้นน้ำยาอย่างแน่นอน
อย่าคิดว่ารูปการดังกล่าวเป็นเรื่องเหลวไหล เพราะก่อนหน้านี้ไม่กี่วันพลเรือเอก บรรณวิทย์ เก่งเรียน อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหมและสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ก็ได้นำแผน 4 ประสานที่จะล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกมาตีแผ่ไปแล้ว และมีลักษณะที่ไม่ต่างกับการวิเคราะห์ดังกล่าวเลย
ข้อที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งคือ การกระทำของนายฮวยเซ็งต่อประเทศไทย ต่อรัฐบาลไทย ต่อกระบวนการยุติธรรม ต่อกองทัพไทย และต่อประชาชนไทยนั้น เป็นที่ประจักษ์ว่าได้ประกาศความเป็นศัตรูอย่างเปิดเผย นำประเทศเขมรเข้าเผชิญหน้ากับประเทศไทย และยอมทุ่มเททุกอย่างเสี่ยงให้กับคุณทักษิณ ชินวัตร
มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? การทุ่มเทและการเสี่ยงถึงเพียงนี้มีสาเหตุได้เพียง 2 ประการ คือ มีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าคุณทักษิณ ชินวัตร กำลังกลับมามีอำนาจในประเทศไทยอย่างหนึ่ง และได้รับเงินผลประโยชน์ตอบแทนเป็นจำนวนมหาศาล คุ้มค่าต่อการนำพาประเทศและอำนาจของตนเข้าเสี่ยงภัย
ในประการหลังนั้นไม่เป็นวิสัยที่จะเป็นไปได้ ดังนั้นวิสัยที่จะเป็นไปได้คือการได้รับข้อมูลข่าวสารและความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าคุณทักษิณ ชินวัตร จะกลับมามีอำนาจในประเทศไทย และไม่เห็นความเสี่ยงใดๆ ที่จะทำให้แปรผันไปได้ นายฮวยเซ็งจึงกล้าทุ่มและเสี่ยงถึงเพียงนี้
นายฮวยเซ็งเคยดึงเอากองทัพเวียดนามเข้ามายึดเขมรเพื่อตัวเองจะได้มีอำนาจสำเร็จมาแล้ว ก็ย่อมเห็นและเข้าใจเป็นอันดีว่าเมื่อนายฮวยเซ็งสนับสนุนทุ่มเทและเสี่ยงถึงเพียงนี้ ก็ย่อมเป็นทีให้คุณทักษิณ ชินวัตร ได้เข้ามาปกครองประเทศไทยในเวลาอันใกล้ที่สุดนี้ ดังนั้นบรรณาการที่เขมรต้องให้แก่เวียดนามเท่าใด จึงย่อมเป็นที่หวังใจได้ว่าเมื่อการใหญ่สำเร็จ นายฮวยเซ็งก็จะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนมากกว่ากันหลายเท่านัก
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลไทยคิดดูดีๆ แล้วจะรู้สึกหนาว! และช่วงเวลาที่จะหนาวเหน็บก็คือช่วงเวลาที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเดินทางไปประชุมในต่างประเทศในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
การล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆ คือเป้าหมายแรกสุดในการกลับคืนสู่อำนาจ และได้คืนทรัพย์สิน ผลประโยชน์ ตลอดจนพ้นจากโทษภัยใดๆ ของคุณทักษิณ ชินวัตร
ความเคลื่อนไหวตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้วนับถึงขณะนี้บ่งชี้ชัดเจนว่ามีความเชื่อค่อนข้างจะหนักแน่นว่า คุณทักษิณ ชินวัตร จะกลับมามีอำนาจอีกครั้งหนึ่งก่อนสิ้นปีนี้ และเด่นชัดมากจากการส่งข่าวสารและการเคลื่อนไหวชายแดนเขมร โดยมีนัยว่าจะมีการข้ามแดนจากเขมรสู่ประเทศไทยก่อนเข้ากรุง
จึงต้องมาดูกันว่าจากข้อเท็จจริงและปรากฏการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น มีเรื่องใดบ้างที่อาจเกี่ยวข้องกับเรื่องราวเหล่านี้ ที่สำคัญเห็นจะมีดังต่อไปนี้
ประการแรก การเดินทางไปเขมรของบิ๊กจิ๋ว และหลังจากนั้นนายฮวยเซ็งก็ได้เข้ามาอาละวาดหยามน้ำหน้าประเทศไทยในการประชุมสุดยอดอาเซียน ต่อเนื่องมาจนถึงเรื่องการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้คุณทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาของเขมร และเชื่อมโยงมาถึงการต้อนรับอย่างเอิกเกริกผิดกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา พร้อมๆ กับนายฮวยเซ็งประกาศด่ารัฐบาลและกระบวนการยุติธรรมไทยอย่างไม่ไว้หน้า ประสานเสียงจากคุณทักษิณ ชินวัตร ที่ใช้เขมรเป็นฐานในการด่ากราดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เรื่องราวทั้งหมดในกระบวนการของประการนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องเดียวกัน เป็นการเดินหมากเกมกลที่มีการวางแผนไว้เป็นอย่างดีและอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ใช่เรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ
สถานการณ์ในวันนี้ไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยใดๆ อีกแล้วว่าได้เกิดความขัดแย้งถึงขั้นเป็นปรปักษ์ระหว่างไทย-เขมร ที่สร้างความเคียดแค้นชิงชังอย่างสุดแสนประมาณให้กับคนไทยทั้งประเทศ
ประการที่สอง การให้สัมภาษณ์ของคุณทักษิณ ชินวัตร ต่อสื่อมวลชนอังกฤษที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงที่สุดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ องคมนตรี นางสนองพระโอษฐ์ และองค์รัชทายาท ได้ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ไปทั่วโลก แต่คุณทักษิณ ชินวัตร กลับแถลงการณ์มายังคนไทยว่าไม่ได้พูดเช่นนั้น ครั้นถูกนำข้อเท็จจริงมายันก็อ้างว่าพลั้งปากพูดเพราะเข้าใจภาษาอังกฤษไม่ดีพอ ในขณะที่ลิ่วล้อก็ป้ายสีเป็นว่าเรื่องราวเกิดขึ้นจากการวางแผนของฝ่ายรัฐบาล
ผลแท้จริงที่เกิดขึ้นคือ ผลกระทบในทางเสื่อมเสียต่อพระมหากษัตริย์ สถาบันพระมหากษัตริย์ องค์รัชทายาท คณะองคมนตรี คณะนางสนองพระโอษฐ์ ที่เผยแพร่ออกไปทั่วโลก โดยที่ไม่มีคำประกาศแจ้งแก่ผู้ได้รับข้อมูลเหล่านั้นว่า ไม่เป็นความจริง หรือเพราะสำคัญผิด ดังนั้นต่อโลกกว้างจึงเกิดความเสียหาย แต่ขณะเดียวกันก็แก้ตัวกับคนไทยเพราะเกรงแรงใจจงรักภักดีที่ยังเปี่ยมล้นราชอาณาจักรไทย ซึ่งไม่ได้แก้ไขความเสียหายใดๆ เลย
ปรากฏการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่นับเนื่องต่อเนื่องยาวนาน และล้วนเชื่อมโยงกับความเคลื่อนไหวของบรรดาลิ่วล้อบริวารที่ถูกจำคุกอยู่ในขณะนี้ และที่หลบหนีออกไปต่างประเทศ ตลอดจนที่ยังทำการเคลื่อนไหวอยู่
เป็นปรากฏการณ์ที่ส่งผลต่อการบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างน้อยที่สุดก็ส่อว่าจะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นแค่เจว็ด ดังเช่นที่เกิดขึ้นในเขมรในปัจจุบันนี้
ประการที่สาม การเคลื่อนไหวของบิ๊กจิ๋วในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยจุดประเด็นเรื่องการตั้งนครรัฐปัตตานี ซึ่งเป็น 1 ใน 7 ข้อเรียกร้องของฮะยีสุหรงในอดีต ซึ่งเป็นรูปแบบการปกครองในลักษณะที่เอื้ออำนวยต่อการแบ่งแยกราชอาณาจักรออกเป็นอีกรัฐใหม่ ทำนองเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับติมอร์ตะวันออกของอินโดนีเซีย
ความเคลื่อนไหวนี้เห็นได้ชัดว่าต้องการดึงฐานเสียงพี่น้องมุสลิม โดยไม่คำนึงถึงอธิปไตยของประเทศชาติและไม่ได้เป็นส่วนใดๆ ในกระบวนการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ดังนั้นท่ามกลางการเคลื่อนไหวนี้ จึงเกิดปรากฏการณ์คาร์บอมบ์ครั้งร้ายแรงที่สุดเกิดขึ้น และมีแนวโน้มว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากที่เป็นอยู่
ประการที่สี่ สถานการณ์ตึงเครียดทางการทหารตามแนวชายแดนไทย-เขมร ถึงขั้นส่งกำลังหน่วยรบพิเศษขึ้นไปประจำอยู่บนเขาพระวิหาร ต่อมาก็ออกข่าวลวงว่าได้ถอนทหารหน่วยนี้ออกไปแล้ว แต่ในทางความเป็นจริงกลับเตรียมกำลังชุดใหม่เข้ามาเตรียมไว้
หากนับรวมกำลังที่จะถอนออกไป และกำลังที่กำลังเข้ามาใหม่ภายใต้ข้ออ้างว่ามาทดแทน ก็จะกลายเป็นการเพิ่มกำลังทหารของฝ่ายเขมรถึงสองเท่า แต่ในขณะเดียวกันกลับส่งคนมาเจรจากับฝ่ายทหารของไทยว่าไม่ต้องการให้มีการปะทะกัน
หรือนี่คืออุบายลวงให้วางใจ เพื่อเตรียมปฏิบัติการทางการทหารโดยไม่ให้ฝ่ายไทยรู้ตัว
ประการที่ห้า การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงและทหารรับจ้างที่มีการประกาศชุมนุมใหญ่ก่อนปลายปี ในขณะที่มีการแอบฝึกซ้อมกำลังติดอาวุธในหลายพื้นที่ รวมทั้งล่าสุดคือการเตรียมมวลชนเพื่อห้อมล้อมรองรับบุคคลสำคัญจากเขมรที่จะเดินทางเข้ามาประเทศไทย ทำนองเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศฮอนดูรัส
จากห้าประการดังกล่าวนี้จึงสามารถต่อรูปการเข้าเป็นแผนที่มองเห็นได้อย่างเลือนลางว่าเมื่อวันเวลาที่กำหนดมาถึง ก็จะเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นอย่างสอดรับประสานกัน
เป็นไปได้ว่าจะเกิดเหตุระเบิดร้ายแรงในพื้นที่ภาคใต้จนเกิดการระส่ำระสาย ขณะเดียวกันก็จะเกิดเหตุปะทะกันชายแดนเขมร โดยทหารไทยถูกบุกโจมตีโดยไม่รู้ตัว และมีขนาดการปะทะในระดับกรมหรือใกล้ระดับกองพล เพื่อดึงกำลังทหารส่วนกลางจากพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 ขึ้นไปยันศึก ทำให้เปิดช่องว่างทางกำลังขึ้นในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 และในขณะนั้นบรรดานักรบรับจ้างก็จะปฏิบัติการอย่างพร้อมเพรียงกันในหลายจุด เพื่อปฏิบัติการต่อผู้นำของรัฐบาลและกองทัพ เพื่อตัดการบัญชาการให้ขาดสะบั้น
พร้อมๆ กันนั้นก็มีกลุ่มมวลชนเข้ายึดที่ทำการของรัฐบาลและกองทัพ ประกาศปฏิวัติโดยประชาชน โดยมีสื่อประสานเสียงให้เกิดความสมานฉันท์ร่วมมือกับการปฏิวัติของประชาชนนั้น
และพร้อมๆ กันอีกก็มีนักการเมืองคนสำคัญข้ามแดนจากเขมรเข้ามาฝั่งไทย โดยมีมวลชนอีกกลุ่มหนึ่งคอยแวดล้อมต้อนรับ และมีเจ้าหน้าที่ของรัฐบางส่วนเข้าร่วมก่อเกิดเป็นกระแสประสานกับการปฏิวัติในส่วนกลาง
หากเป็นเช่นนี้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็คงดับเครื่องแดวดิ้นสิ้นน้ำยาอย่างแน่นอน
อย่าคิดว่ารูปการดังกล่าวเป็นเรื่องเหลวไหล เพราะก่อนหน้านี้ไม่กี่วันพลเรือเอก บรรณวิทย์ เก่งเรียน อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหมและสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ก็ได้นำแผน 4 ประสานที่จะล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกมาตีแผ่ไปแล้ว และมีลักษณะที่ไม่ต่างกับการวิเคราะห์ดังกล่าวเลย
ข้อที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งคือ การกระทำของนายฮวยเซ็งต่อประเทศไทย ต่อรัฐบาลไทย ต่อกระบวนการยุติธรรม ต่อกองทัพไทย และต่อประชาชนไทยนั้น เป็นที่ประจักษ์ว่าได้ประกาศความเป็นศัตรูอย่างเปิดเผย นำประเทศเขมรเข้าเผชิญหน้ากับประเทศไทย และยอมทุ่มเททุกอย่างเสี่ยงให้กับคุณทักษิณ ชินวัตร
มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? การทุ่มเทและการเสี่ยงถึงเพียงนี้มีสาเหตุได้เพียง 2 ประการ คือ มีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าคุณทักษิณ ชินวัตร กำลังกลับมามีอำนาจในประเทศไทยอย่างหนึ่ง และได้รับเงินผลประโยชน์ตอบแทนเป็นจำนวนมหาศาล คุ้มค่าต่อการนำพาประเทศและอำนาจของตนเข้าเสี่ยงภัย
ในประการหลังนั้นไม่เป็นวิสัยที่จะเป็นไปได้ ดังนั้นวิสัยที่จะเป็นไปได้คือการได้รับข้อมูลข่าวสารและความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าคุณทักษิณ ชินวัตร จะกลับมามีอำนาจในประเทศไทย และไม่เห็นความเสี่ยงใดๆ ที่จะทำให้แปรผันไปได้ นายฮวยเซ็งจึงกล้าทุ่มและเสี่ยงถึงเพียงนี้
นายฮวยเซ็งเคยดึงเอากองทัพเวียดนามเข้ามายึดเขมรเพื่อตัวเองจะได้มีอำนาจสำเร็จมาแล้ว ก็ย่อมเห็นและเข้าใจเป็นอันดีว่าเมื่อนายฮวยเซ็งสนับสนุนทุ่มเทและเสี่ยงถึงเพียงนี้ ก็ย่อมเป็นทีให้คุณทักษิณ ชินวัตร ได้เข้ามาปกครองประเทศไทยในเวลาอันใกล้ที่สุดนี้ ดังนั้นบรรณาการที่เขมรต้องให้แก่เวียดนามเท่าใด จึงย่อมเป็นที่หวังใจได้ว่าเมื่อการใหญ่สำเร็จ นายฮวยเซ็งก็จะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนมากกว่ากันหลายเท่านัก
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลไทยคิดดูดีๆ แล้วจะรู้สึกหนาว! และช่วงเวลาที่จะหนาวเหน็บก็คือช่วงเวลาที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเดินทางไปประชุมในต่างประเทศในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้