การแต่งตั้ง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยและเป็นจำเลยหนีคำพิพากษาของศาลไทย เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของ ฮุนเซนและของรัฐบาลกัมพูชาได้ก่อให้เกิดผลกระทบติดตามมาอย่างคาดไม่ถึงและได้สะท้อนให้เห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของอีกหลายๆ คนออกมาอย่างล่อนจ้อน
ข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ก็คือ ฮุนเซนจะตั้งใครเป็นที่ปรึกษาก็คงไม่ไปหนักหัวกบาลใครอย่างแน่นอนหากไม่เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย
ประเด็นก็คือ แม้ทักษิณ ชินวัตร เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยที่ฮุนเซน คิดว่ามีความรู้ความสามารถ แต่ก็เป็นจำเลยหนีคำพิพากษาของศาลไทยในคดีอาญา เพราะศาลที่มีคำพิพากษาตัดสินเป็นศาลสูงสุดของไทยสำหรับนักการเมือง ที่มีมาก่อนรัฐประหาร 19 ก.ย. 49 คือ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
มีคนถูกพิพากษาหลายคนมิใช่เฉพาะทักษิณ ชินวัตรแต่เพียงผู้เดียว และที่สำคัญก็คือ คนทั่วไป เช่น ฮุนเซน ไม่สามารถมาขึ้นศาลนี้ได้
ประเด็นถัดมาก็คือ การตั้งอดีตผู้นำของประเทศหนึ่งไปเป็นที่ปรึกษาของอีกประเทศหนึ่งนั้นไม่หนักหัวกบาลใครก็จริงอยู่ แต่ประชาชนกัมพูชาลองคิดดูให้ดี หากวันหนึ่งในอนาคตประเทศกัมพูชาสามารถเอาผิดผู้นำเผด็จการที่ครองอำนาจมากว่า 25 ปีจากการฉ้อโกงโดยอาศัยอำนาจรัฐที่มีอยู่และหลบหนีคดีอาญามาฝั่งไทยเพราะรู้ว่าต้องติดคุกแน่นอน โดยที่ผู้นำทางฝั่งไทยอาศัยเหตุผลของความเป็นเพื่อนประกาศว่าจะไม่ส่งในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนให้ ทั้งที่มีสัญญาต่อกันที่ลงนามด้วยอวัยวะที่เรียกว่ามือและได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วมิได้มีปืนมาจ่อหัวให้ลงนามแต่อย่างใด
การปฏิเสธดังกล่าวเป็นปัญหาของใครกันแน่และเป็นปัญหาส่วนรวมหรือปัญหาส่วนตัว
ประเด็นที่สามก็คือ หากรัสเซียจะตั้งอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นที่ปรึกษาด้านสังคมและเศรษฐกิจ ฮุนเซนจะมีสติปัญญาระดับปริญญาเอกคิดบ้างไหมว่าประชาชนสหรัฐฯ จะรู้สึกสบายใจและน่ายินดียกย่องเหมือนอย่างที่พรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์ยกย่องมากน้อยเพียงใด เพราะประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปัจจุบันจะยอมให้คนที่ล่วงรู้กำลังรบ ที่ตั้งจรวดนิวเคลียร์ หรือแม้แต่ขั้นตอนการสั่งการรบอันเป็นความลับของประเทศไปเป็นที่ปรึกษาของประเทศอื่นได้อย่างไร แม้จะอ้างว่าขอคำปรึกษาเพื่อหาเมียน้อยก็ตาม และที่สำคัญก็คือจะไม่มีอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใดกล้าทำเช่นนั้นหากไม่มีความคิดจะทรยศขายชาติหรือหาประโยชน์ส่วนตน
ฉันใดก็ฉันนั้น ฮุนเซนทำไมจึงไร้เดียงสาคิดว่าการแต่งตั้งทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ไทยไปเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวแล้วจะให้คนไทย นายกฯ ไทย และประเทศไทยไว้วางใจการกระทำดังกล่าวได้อย่างไร
สุดท้าย การลดระดับความสัมพันธ์ก็เพื่อที่จะเป็นการเตือนสติอย่างสุภาพตามวิถีทางที่อารยประเทศในโลกเขาทำกัน ฮุนเซนจะสำเหนียกบ้างหรือไม่ว่าการแทรกแซงกิจการภายในที่คุณได้กระทำไปนั้นจะเป็นผลร้ายให้กับประชาชนกัมพูชาในภายหลัง
คำสัมภาษณ์ของฮุนเซน ปรากฏในมติชน 11 พ.ย. 52 ที่ว่าเห็นว่า
“กระบวนการยุติธรรมของไทยนั้นไม่ได้มีคุณค่าอะไรนักหนาที่ควรแก่การเคารพเลย”
“กัมพูชาจะต้องเคารพอะไรไทยหรือ การแต่งตั้งทักษิณเพียงคนเดียวไม่เกี่ยวกับไทย”
“ขอให้เลขาธิการอาเซียนพิจารณาแก้ปัญหาเหล่านี้ในลักษณะเบ็ดเสร็จในคราวเดียว และแก้ทั้งหมด ทั้งเรื่องของทักษิณ / เรื่องการปฏิวัติเมื่อ 19 กันยายน 2549 / เรื่องการรุกรานดินแดนของกัมพูชา / การที่กัมพูชาตั้งทักษิณเป็นที่ปรึกษา จะใช้กลไกอะไรกัมพูชาก็พร้อม ทั้งทวิและพหุภาคี เรื่องนี้ที่จริงอยากยกขึ้นพูดที่หัวหินเหมือนกันแต่ก็อดกลั้นไว้ ถือว่าได้ไว้หน้าประเทศไทยและนายอภิสิทธิ์แล้ว การแก้เรื่องนี้ต้องแก้ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเรื่อง ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับทักษิณก็ต้องไล่แก้ตั้งแต่ทักษิณมาเลย ตั้งแต่เรื่องการปฏิวัติ เมื่อ 19 กันยายน 2549”
“ถ้าอภิสิทธิ์เก่งจริงก็ขอให้เลือกตั้งใหม่สิ ท่านกลัวอะไรหรือ หรือว่ากลัวที่จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรืออย่างไร หรือว่ากลัวว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้ง”
“ผมเองเป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้รับเสียงสนับสนุนถึง 2/3 ของสภากัมพูชา แล้ว “ท่านอภิสิทธิ์” ได้รับเท่าไหร่กันหรือ ขโมยเก้าอี้เขามานั่ง ขโมยของของคนอื่นมาเป็นของตัวเองจะให้เคารพได้อย่างไร”
ที่พูดมานั้นเป็นการแทรกแซงกิจการภายในและลบหลู่เหยียดหยามประเทศไทยมากน้อยเพียงใด วิญญูชนทั้งหลายก็คงเข้าใจได้ไม่ยาก
คงไม่ต้องโต้เถียงนะว่าประชาชนกัมพูชาที่คุณปกครองก็ได้รับความยากลำบากจากฝีไม้ลายมือของคุณอยู่แล้ว หากฮุนเซนจะเพิ่มความลำบากโดยรับเอาคำปรึกษาของทักษิณ ไปใช้ก็คงไม่เลวร้ายไปกว่านี้แล้ว จริงไหม
แต่อย่าลืมว่ากัมพูชามิใช่ฮุนเซน และ ฮุนเซนก็มิใช่กัมพูชา หรือว่าเป็นการเข้าใจผิด
พี่น้องประชาชนไทยกัมพูชาทั้งหลายโปรดฟัง. . .
เกมที่กัมพูชาโดยฮุนเซน เริ่มเล่นตั้งแต่การประชุมสุดยอดอาเซียนเป็นต้นมาเป็นการปูทางให้ทักษิณ ชินวัตร สามารถเข้ามาในประเทศกัมพูชาได้โดยหลีกเลี่ยงการส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่มีสนธิสัญญาระหว่างกันกับไทย เป็นการเอาประโยชน์ส่วนตนมาเป็นที่ตั้งโดยชัดเจน ฮุนเซนน่าจะเลือกแทงม้าทักษิณ เพราะหวังว่าจะมีส่วนแบ่งได้กลับมาทั้งจากประเด็นเรื่องการขึ้นทะเบียนมรดกโลกปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบที่สามารถนำไปเป็นประเด็นหาเสียงเพื่อเป็นนายกฯ กัมพูชาต่อไปได้ ซึ่งก็สำเร็จไปแล้วบางส่วน ยังเหลือแต่ประโยชน์จากทรัพยากรในทะเลที่อ้างเป็นพื้นที่ทับซ้อนระหว่างกันที่ทำท่าว่าจะเหลวเพราะถูกยกเลิก บันทึกความเข้าใจหรือMOU ปี 44
จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่ ฮุนเซน ได้กล่าวว่า “ขอประกาศชัดๆ ให้คนกัมพูชาทุกคนทราบว่า ทักษิณ ชวลิต (พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ) สมชาย (นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์) คนเหล่านี้เคยเป็นนายกรัฐมนตรีไทยทั้งนั้น และเป็นเพื่อนของฮุนเซน แห่งกัมพูชา จึงขอให้ทุกคนช่วยอำนวยความสะดวกแก่บุคคลเหล่านี้ และขอร้องให้พี่น้อง ประชาชน-ตำรวจ-ทหารไทย ทราบว่าคนที่คุณๆ ทั้งหลายต่อว่าอยู่นั้นเป็นผู้ที่ชนะการเลือกตั้งมาแล้วทั้งนั้น ผมเคารพอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ผมจึงช่วยเขา มีแต่อภิสิทธิ์เท่านั้นที่จงเกลียดจงชังคนเหล่านั้น”
“ประเทศไทยเอาปัญหาปราสาทพระวิหารมาเป็นตัวประกัน เป็นเครื่องมือในการโค่นล้มรัฐบาลตั้งแต่สมัยรัฐบาลสมัคร ตลอดจนพยายามเอาผิดกับอดีตรัฐมนตรี นพดล (นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ)” มติชน 11 พ.ย. 52
ฮุนเซนมิได้เข้าใจประชาธิปไตยเช่นเดียวกับคนที่เขายกย่อง เพราะคนเหล่านั้นเป็นเผด็จการในคราบประชาธิปไตยอาศัยการเลือกตั้งเป็นความชอบในการกระทำทุกสิ่ง ประชาชนชาวไทยได้ตื่นรู้แล้ว
อย่าลืมว่า ป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิดทั้งสมัครและนพดลในกรณีการไปลงนามบันทึกความเข้าใจเมื่อปี 51 ในเรื่องปราสาทพระวิหารโดยไม่ผ่านความเห็นชอบของสภาฯ มาแล้ว โดยมีข้อเท็จจริงประการหนึ่งจากการไต่สวนว่ามีการร้องขอจากทางกัมพูชาเพื่อช่วยเหลือให้ชนะการเลือกตั้ง ไม่รู้ว่าฮุนเซนรู้หรือไม่ว่า “ไอ้คนทรยศ” คนนั้นที่เอาความช่วยเหลือจากต่างชาติเพียงเพื่อต้องการชนะเลือกตั้งในประเทศตนเองเป็นใคร
เกมแต่งตั้งที่ปรึกษาทักษิณ ชินวัตรจึงเป็นการเคลื่อนไหวอันดับต่อไปเพื่อที่จะทำให้ประชาชนชาวไทยเห็นว่าทำไมจึงทอดทิ้งคนดีๆ อย่างทักษิณ ชินวัตร มีการปูพื้นออกข่าวโดยนายพายับน้องชายว่า ทำไมประเทศไทยจึงไม่เลือกคนมีความสามารถ โดยให้เลือกระหว่างความผิดกับความสามารถ ทำไมจึงต้องให้กษัตริย์กัมพูชาแต่งตั้งทั้งๆ ที่ฮุนเซนก็แต่งตั้งได้เองอยู่แล้วหากไม่ใช่เพื่อต้องการแก้เกมการถอดยศและริบเครื่องราชฯ จนในที่สุดก็มาพลาดด้วยการให้สัมภาษณ์ที่หมิ่นเหม่ต่อการจาบจ้วงสถาบันที่ปรากฏใน Times Online ที่ทำให้ต้องออกมาปฏิเสธโดยใช้มุกเดิมๆว่า พาดหัวผิด โดยมีการออกข่าวทางอินเทอร์เน็ตขอพระราชทานอภัยโทษที่ไม่เคยมีมาก่อน
“วันนี้สิ่งที่ผมไปพลาดในการให้สัมภาษณ์คือเขาตั้งคำถาม แล้วผมฟังไม่ฉะฉาน แล้วไปตอบเร็วเกินไป เป็นความผิดพลาดที่ต้องเอาหัวโขกพื้น ขอบอกเลยครับว่า ผมคือคนเดิม ไม่เคยคิดเลว ทรยศต่อชาติ ประชาชน และไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัว ผมพร้อมจะกรีดเลือดให้ดูได้เลยว่าผมไม่ได้เป็นคนแบบนั้น และขอกราบพระราชทานอภัยโทษเจ้านายทุกคน หากมีอะไรระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท แล้วผมจะเร่งให้เขาแก้ไข เพราะมันไม่ได้เป็นความผิดของผม” มติชน 11 พ.ย. 52
ทักษิณ ชินวัตรอาจเคยชินกับการสัมภาษณ์ที่หมิ่นเหม่เช่นนี้อยู่เป็นประจำด้วยสาเหตุง่ายๆ ก็คือ การใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อทำให้มีข้อยุ่งยากในการดำเนินคดี อีกทั้งยังทำให้ง่ายต่อการบิดเบือนเพราะกลุ่มคนที่เขาต้องการสื่อก็ไม่สามารถอ่านเองได้ถนัด ต้องคอยฟังจากผู้อื่น ส่วนพวกที่อ่านได้ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่กลุ่มที่เขาต้องการสื่อถึงอยู่แล้ว แต่ในครั้งล่าสุด ทักษิณ ชินวัตรก็ข้ามเส้นของความรักชาติไปสู่ทางตรงกันข้ามอย่างชัดเจน
สิ่งที่ทักษิณ ชินวัตรให้สัมภาษณ์จาก 11 หน้ากระดาษ เริ่มแรก ประโยคแรก ก็เป็นความเท็จเสียแล้ว เพราะเขากล่าวว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่พรรคเดียวสามารถชนะการเลือกตั้งในปี 2544 อย่างถล่มทลายได้คะแนนเสียงมากกว่าครึ่งหนึ่งของสภาฯ ทั้งที่เป็นการเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายน 2549 ต่างหากที่ได้ที่นั่ง 377 แต่ก็อย่าลืมว่าการเลือกตั้งในครั้งนั้นจัดขึ้นโดยมีสาเหตุเนื่องมาจากการประกาศยุสภาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 เพื่อหนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ฝ่ายค้านยื่นอภิปราย ทั้งที่เคยให้สัญญาไว้ก่อนเลือกตั้งว่าพร้อมแบ่งคะแนนเสียงให้ฝ่ายค้านทุกเมื่อหากต้องการนำไปใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจตนเอง
แต่เมื่อถึงเวลาดังกล่าวกลับเจอมรสุมการเมืองรุมเร้ามากมาย รวมทั้งรัฐมนตรีของตนไม่สามารถตอบคำถามที่ชัดเจนต่อประชาชนได้จึงเลือกประกาศยุบสภาเพื่อมิให้ข้อมูลต่างๆ ที่ถูกตรวจสอบถูกเผยแพร่ออกไปสู่สาธารณชนมากขึ้นอันจะเป็นผลเสียต่อตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขายหุ้นชินคอร์ปให้กับสิงคโปร์โดยไม่เสียภาษี จึงต้องจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป โดยท้ายที่สุด เมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินให้การเลือกตั้งในครั้งนี้เป็นโมฆะ จึงทำให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่อีกครั้งโดยกำหนดในเดือนตุลาคม แต่ก็ถูกรัฐประหารเสียก่อนเมื่อ 19 ก.ย.2549
ทักษิณ ชินวัตรทำไมจึงมีความจำในเรื่องนี้สั้นนัก ทำไมจึงไม่บอกผู้สัมภาษณ์ด้วย
ประชาชนชาวไทยไม่ว่าจะมีความคิดผ่านสีเสื้อใดก็ตาม ต้องตระหนักว่าตัวตนของทักษิณ ชินวัตรได้เปิดเผยออกมาหมดแล้วว่าเป็นคนเยี่ยงไร แม้มีการแบ่งสี แต่กีฬาสีกำลังใกล้จะเลิกแล้วก็กลับมาเป็นนักเรียนหรือพลเมืองชาวไทยเหมือนกันได้อีกครั้ง
ทำไมทักษิณจึงต้องพูดทุกครั้งที่มีโอกาสว่า “รักชาติและจงรักภักดี” ทำไมจึงต้องมีคนเสนอหน้าออกมารับรองให้ทักษิณว่า “รักชาติและจงรักภักดี” อยู่เป็นประจำ
แต่ความ“รักชาติและจงรักภักดี” เฉกเช่นเดียวกับความดี ไม่มีที่ใดออกประกาศนียบัตรให้ได้ ขึ้นอยู่กับการกระทำต่างหาก มีแต่คน “บ้า” เท่านั้นที่ต้องบอกกับผู้อื่นตลอดเวลาว่า ไม่ “บ้า”
คนเสื้อแดงหรือเสื้อสีอื่นๆ ใดโปรดฟัง หากไม่อยากถูกฮุนเซนบอกว่าเป็นเพื่อนของเขาเฉกเช่น ทักษิณ สมชาย สมัคร ชวลิต นพดล หากคิดผิดก็ควรคิดใหม่ได้ เพราะสังคมไทยนับจากนี้ต่อไปรับรู้และเข้าใจแล้วว่าใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรูของชาติไทย
หมายเหตุ : เป็นความเห็นของผู้เขียน ไม่ผูกพันกับหน่วยงานที่สังกัด
ข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ก็คือ ฮุนเซนจะตั้งใครเป็นที่ปรึกษาก็คงไม่ไปหนักหัวกบาลใครอย่างแน่นอนหากไม่เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย
ประเด็นก็คือ แม้ทักษิณ ชินวัตร เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยที่ฮุนเซน คิดว่ามีความรู้ความสามารถ แต่ก็เป็นจำเลยหนีคำพิพากษาของศาลไทยในคดีอาญา เพราะศาลที่มีคำพิพากษาตัดสินเป็นศาลสูงสุดของไทยสำหรับนักการเมือง ที่มีมาก่อนรัฐประหาร 19 ก.ย. 49 คือ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
มีคนถูกพิพากษาหลายคนมิใช่เฉพาะทักษิณ ชินวัตรแต่เพียงผู้เดียว และที่สำคัญก็คือ คนทั่วไป เช่น ฮุนเซน ไม่สามารถมาขึ้นศาลนี้ได้
ประเด็นถัดมาก็คือ การตั้งอดีตผู้นำของประเทศหนึ่งไปเป็นที่ปรึกษาของอีกประเทศหนึ่งนั้นไม่หนักหัวกบาลใครก็จริงอยู่ แต่ประชาชนกัมพูชาลองคิดดูให้ดี หากวันหนึ่งในอนาคตประเทศกัมพูชาสามารถเอาผิดผู้นำเผด็จการที่ครองอำนาจมากว่า 25 ปีจากการฉ้อโกงโดยอาศัยอำนาจรัฐที่มีอยู่และหลบหนีคดีอาญามาฝั่งไทยเพราะรู้ว่าต้องติดคุกแน่นอน โดยที่ผู้นำทางฝั่งไทยอาศัยเหตุผลของความเป็นเพื่อนประกาศว่าจะไม่ส่งในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนให้ ทั้งที่มีสัญญาต่อกันที่ลงนามด้วยอวัยวะที่เรียกว่ามือและได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วมิได้มีปืนมาจ่อหัวให้ลงนามแต่อย่างใด
การปฏิเสธดังกล่าวเป็นปัญหาของใครกันแน่และเป็นปัญหาส่วนรวมหรือปัญหาส่วนตัว
ประเด็นที่สามก็คือ หากรัสเซียจะตั้งอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นที่ปรึกษาด้านสังคมและเศรษฐกิจ ฮุนเซนจะมีสติปัญญาระดับปริญญาเอกคิดบ้างไหมว่าประชาชนสหรัฐฯ จะรู้สึกสบายใจและน่ายินดียกย่องเหมือนอย่างที่พรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์ยกย่องมากน้อยเพียงใด เพราะประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปัจจุบันจะยอมให้คนที่ล่วงรู้กำลังรบ ที่ตั้งจรวดนิวเคลียร์ หรือแม้แต่ขั้นตอนการสั่งการรบอันเป็นความลับของประเทศไปเป็นที่ปรึกษาของประเทศอื่นได้อย่างไร แม้จะอ้างว่าขอคำปรึกษาเพื่อหาเมียน้อยก็ตาม และที่สำคัญก็คือจะไม่มีอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใดกล้าทำเช่นนั้นหากไม่มีความคิดจะทรยศขายชาติหรือหาประโยชน์ส่วนตน
ฉันใดก็ฉันนั้น ฮุนเซนทำไมจึงไร้เดียงสาคิดว่าการแต่งตั้งทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ไทยไปเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวแล้วจะให้คนไทย นายกฯ ไทย และประเทศไทยไว้วางใจการกระทำดังกล่าวได้อย่างไร
สุดท้าย การลดระดับความสัมพันธ์ก็เพื่อที่จะเป็นการเตือนสติอย่างสุภาพตามวิถีทางที่อารยประเทศในโลกเขาทำกัน ฮุนเซนจะสำเหนียกบ้างหรือไม่ว่าการแทรกแซงกิจการภายในที่คุณได้กระทำไปนั้นจะเป็นผลร้ายให้กับประชาชนกัมพูชาในภายหลัง
คำสัมภาษณ์ของฮุนเซน ปรากฏในมติชน 11 พ.ย. 52 ที่ว่าเห็นว่า
“กระบวนการยุติธรรมของไทยนั้นไม่ได้มีคุณค่าอะไรนักหนาที่ควรแก่การเคารพเลย”
“กัมพูชาจะต้องเคารพอะไรไทยหรือ การแต่งตั้งทักษิณเพียงคนเดียวไม่เกี่ยวกับไทย”
“ขอให้เลขาธิการอาเซียนพิจารณาแก้ปัญหาเหล่านี้ในลักษณะเบ็ดเสร็จในคราวเดียว และแก้ทั้งหมด ทั้งเรื่องของทักษิณ / เรื่องการปฏิวัติเมื่อ 19 กันยายน 2549 / เรื่องการรุกรานดินแดนของกัมพูชา / การที่กัมพูชาตั้งทักษิณเป็นที่ปรึกษา จะใช้กลไกอะไรกัมพูชาก็พร้อม ทั้งทวิและพหุภาคี เรื่องนี้ที่จริงอยากยกขึ้นพูดที่หัวหินเหมือนกันแต่ก็อดกลั้นไว้ ถือว่าได้ไว้หน้าประเทศไทยและนายอภิสิทธิ์แล้ว การแก้เรื่องนี้ต้องแก้ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเรื่อง ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับทักษิณก็ต้องไล่แก้ตั้งแต่ทักษิณมาเลย ตั้งแต่เรื่องการปฏิวัติ เมื่อ 19 กันยายน 2549”
“ถ้าอภิสิทธิ์เก่งจริงก็ขอให้เลือกตั้งใหม่สิ ท่านกลัวอะไรหรือ หรือว่ากลัวที่จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรืออย่างไร หรือว่ากลัวว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้ง”
“ผมเองเป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้รับเสียงสนับสนุนถึง 2/3 ของสภากัมพูชา แล้ว “ท่านอภิสิทธิ์” ได้รับเท่าไหร่กันหรือ ขโมยเก้าอี้เขามานั่ง ขโมยของของคนอื่นมาเป็นของตัวเองจะให้เคารพได้อย่างไร”
ที่พูดมานั้นเป็นการแทรกแซงกิจการภายในและลบหลู่เหยียดหยามประเทศไทยมากน้อยเพียงใด วิญญูชนทั้งหลายก็คงเข้าใจได้ไม่ยาก
คงไม่ต้องโต้เถียงนะว่าประชาชนกัมพูชาที่คุณปกครองก็ได้รับความยากลำบากจากฝีไม้ลายมือของคุณอยู่แล้ว หากฮุนเซนจะเพิ่มความลำบากโดยรับเอาคำปรึกษาของทักษิณ ไปใช้ก็คงไม่เลวร้ายไปกว่านี้แล้ว จริงไหม
แต่อย่าลืมว่ากัมพูชามิใช่ฮุนเซน และ ฮุนเซนก็มิใช่กัมพูชา หรือว่าเป็นการเข้าใจผิด
พี่น้องประชาชนไทยกัมพูชาทั้งหลายโปรดฟัง. . .
เกมที่กัมพูชาโดยฮุนเซน เริ่มเล่นตั้งแต่การประชุมสุดยอดอาเซียนเป็นต้นมาเป็นการปูทางให้ทักษิณ ชินวัตร สามารถเข้ามาในประเทศกัมพูชาได้โดยหลีกเลี่ยงการส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่มีสนธิสัญญาระหว่างกันกับไทย เป็นการเอาประโยชน์ส่วนตนมาเป็นที่ตั้งโดยชัดเจน ฮุนเซนน่าจะเลือกแทงม้าทักษิณ เพราะหวังว่าจะมีส่วนแบ่งได้กลับมาทั้งจากประเด็นเรื่องการขึ้นทะเบียนมรดกโลกปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบที่สามารถนำไปเป็นประเด็นหาเสียงเพื่อเป็นนายกฯ กัมพูชาต่อไปได้ ซึ่งก็สำเร็จไปแล้วบางส่วน ยังเหลือแต่ประโยชน์จากทรัพยากรในทะเลที่อ้างเป็นพื้นที่ทับซ้อนระหว่างกันที่ทำท่าว่าจะเหลวเพราะถูกยกเลิก บันทึกความเข้าใจหรือMOU ปี 44
จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่ ฮุนเซน ได้กล่าวว่า “ขอประกาศชัดๆ ให้คนกัมพูชาทุกคนทราบว่า ทักษิณ ชวลิต (พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ) สมชาย (นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์) คนเหล่านี้เคยเป็นนายกรัฐมนตรีไทยทั้งนั้น และเป็นเพื่อนของฮุนเซน แห่งกัมพูชา จึงขอให้ทุกคนช่วยอำนวยความสะดวกแก่บุคคลเหล่านี้ และขอร้องให้พี่น้อง ประชาชน-ตำรวจ-ทหารไทย ทราบว่าคนที่คุณๆ ทั้งหลายต่อว่าอยู่นั้นเป็นผู้ที่ชนะการเลือกตั้งมาแล้วทั้งนั้น ผมเคารพอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ผมจึงช่วยเขา มีแต่อภิสิทธิ์เท่านั้นที่จงเกลียดจงชังคนเหล่านั้น”
“ประเทศไทยเอาปัญหาปราสาทพระวิหารมาเป็นตัวประกัน เป็นเครื่องมือในการโค่นล้มรัฐบาลตั้งแต่สมัยรัฐบาลสมัคร ตลอดจนพยายามเอาผิดกับอดีตรัฐมนตรี นพดล (นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ)” มติชน 11 พ.ย. 52
ฮุนเซนมิได้เข้าใจประชาธิปไตยเช่นเดียวกับคนที่เขายกย่อง เพราะคนเหล่านั้นเป็นเผด็จการในคราบประชาธิปไตยอาศัยการเลือกตั้งเป็นความชอบในการกระทำทุกสิ่ง ประชาชนชาวไทยได้ตื่นรู้แล้ว
อย่าลืมว่า ป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิดทั้งสมัครและนพดลในกรณีการไปลงนามบันทึกความเข้าใจเมื่อปี 51 ในเรื่องปราสาทพระวิหารโดยไม่ผ่านความเห็นชอบของสภาฯ มาแล้ว โดยมีข้อเท็จจริงประการหนึ่งจากการไต่สวนว่ามีการร้องขอจากทางกัมพูชาเพื่อช่วยเหลือให้ชนะการเลือกตั้ง ไม่รู้ว่าฮุนเซนรู้หรือไม่ว่า “ไอ้คนทรยศ” คนนั้นที่เอาความช่วยเหลือจากต่างชาติเพียงเพื่อต้องการชนะเลือกตั้งในประเทศตนเองเป็นใคร
เกมแต่งตั้งที่ปรึกษาทักษิณ ชินวัตรจึงเป็นการเคลื่อนไหวอันดับต่อไปเพื่อที่จะทำให้ประชาชนชาวไทยเห็นว่าทำไมจึงทอดทิ้งคนดีๆ อย่างทักษิณ ชินวัตร มีการปูพื้นออกข่าวโดยนายพายับน้องชายว่า ทำไมประเทศไทยจึงไม่เลือกคนมีความสามารถ โดยให้เลือกระหว่างความผิดกับความสามารถ ทำไมจึงต้องให้กษัตริย์กัมพูชาแต่งตั้งทั้งๆ ที่ฮุนเซนก็แต่งตั้งได้เองอยู่แล้วหากไม่ใช่เพื่อต้องการแก้เกมการถอดยศและริบเครื่องราชฯ จนในที่สุดก็มาพลาดด้วยการให้สัมภาษณ์ที่หมิ่นเหม่ต่อการจาบจ้วงสถาบันที่ปรากฏใน Times Online ที่ทำให้ต้องออกมาปฏิเสธโดยใช้มุกเดิมๆว่า พาดหัวผิด โดยมีการออกข่าวทางอินเทอร์เน็ตขอพระราชทานอภัยโทษที่ไม่เคยมีมาก่อน
“วันนี้สิ่งที่ผมไปพลาดในการให้สัมภาษณ์คือเขาตั้งคำถาม แล้วผมฟังไม่ฉะฉาน แล้วไปตอบเร็วเกินไป เป็นความผิดพลาดที่ต้องเอาหัวโขกพื้น ขอบอกเลยครับว่า ผมคือคนเดิม ไม่เคยคิดเลว ทรยศต่อชาติ ประชาชน และไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัว ผมพร้อมจะกรีดเลือดให้ดูได้เลยว่าผมไม่ได้เป็นคนแบบนั้น และขอกราบพระราชทานอภัยโทษเจ้านายทุกคน หากมีอะไรระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท แล้วผมจะเร่งให้เขาแก้ไข เพราะมันไม่ได้เป็นความผิดของผม” มติชน 11 พ.ย. 52
ทักษิณ ชินวัตรอาจเคยชินกับการสัมภาษณ์ที่หมิ่นเหม่เช่นนี้อยู่เป็นประจำด้วยสาเหตุง่ายๆ ก็คือ การใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อทำให้มีข้อยุ่งยากในการดำเนินคดี อีกทั้งยังทำให้ง่ายต่อการบิดเบือนเพราะกลุ่มคนที่เขาต้องการสื่อก็ไม่สามารถอ่านเองได้ถนัด ต้องคอยฟังจากผู้อื่น ส่วนพวกที่อ่านได้ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่กลุ่มที่เขาต้องการสื่อถึงอยู่แล้ว แต่ในครั้งล่าสุด ทักษิณ ชินวัตรก็ข้ามเส้นของความรักชาติไปสู่ทางตรงกันข้ามอย่างชัดเจน
สิ่งที่ทักษิณ ชินวัตรให้สัมภาษณ์จาก 11 หน้ากระดาษ เริ่มแรก ประโยคแรก ก็เป็นความเท็จเสียแล้ว เพราะเขากล่าวว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่พรรคเดียวสามารถชนะการเลือกตั้งในปี 2544 อย่างถล่มทลายได้คะแนนเสียงมากกว่าครึ่งหนึ่งของสภาฯ ทั้งที่เป็นการเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายน 2549 ต่างหากที่ได้ที่นั่ง 377 แต่ก็อย่าลืมว่าการเลือกตั้งในครั้งนั้นจัดขึ้นโดยมีสาเหตุเนื่องมาจากการประกาศยุสภาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 เพื่อหนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ฝ่ายค้านยื่นอภิปราย ทั้งที่เคยให้สัญญาไว้ก่อนเลือกตั้งว่าพร้อมแบ่งคะแนนเสียงให้ฝ่ายค้านทุกเมื่อหากต้องการนำไปใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจตนเอง
แต่เมื่อถึงเวลาดังกล่าวกลับเจอมรสุมการเมืองรุมเร้ามากมาย รวมทั้งรัฐมนตรีของตนไม่สามารถตอบคำถามที่ชัดเจนต่อประชาชนได้จึงเลือกประกาศยุบสภาเพื่อมิให้ข้อมูลต่างๆ ที่ถูกตรวจสอบถูกเผยแพร่ออกไปสู่สาธารณชนมากขึ้นอันจะเป็นผลเสียต่อตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขายหุ้นชินคอร์ปให้กับสิงคโปร์โดยไม่เสียภาษี จึงต้องจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป โดยท้ายที่สุด เมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินให้การเลือกตั้งในครั้งนี้เป็นโมฆะ จึงทำให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่อีกครั้งโดยกำหนดในเดือนตุลาคม แต่ก็ถูกรัฐประหารเสียก่อนเมื่อ 19 ก.ย.2549
ทักษิณ ชินวัตรทำไมจึงมีความจำในเรื่องนี้สั้นนัก ทำไมจึงไม่บอกผู้สัมภาษณ์ด้วย
ประชาชนชาวไทยไม่ว่าจะมีความคิดผ่านสีเสื้อใดก็ตาม ต้องตระหนักว่าตัวตนของทักษิณ ชินวัตรได้เปิดเผยออกมาหมดแล้วว่าเป็นคนเยี่ยงไร แม้มีการแบ่งสี แต่กีฬาสีกำลังใกล้จะเลิกแล้วก็กลับมาเป็นนักเรียนหรือพลเมืองชาวไทยเหมือนกันได้อีกครั้ง
ทำไมทักษิณจึงต้องพูดทุกครั้งที่มีโอกาสว่า “รักชาติและจงรักภักดี” ทำไมจึงต้องมีคนเสนอหน้าออกมารับรองให้ทักษิณว่า “รักชาติและจงรักภักดี” อยู่เป็นประจำ
แต่ความ“รักชาติและจงรักภักดี” เฉกเช่นเดียวกับความดี ไม่มีที่ใดออกประกาศนียบัตรให้ได้ ขึ้นอยู่กับการกระทำต่างหาก มีแต่คน “บ้า” เท่านั้นที่ต้องบอกกับผู้อื่นตลอดเวลาว่า ไม่ “บ้า”
คนเสื้อแดงหรือเสื้อสีอื่นๆ ใดโปรดฟัง หากไม่อยากถูกฮุนเซนบอกว่าเป็นเพื่อนของเขาเฉกเช่น ทักษิณ สมชาย สมัคร ชวลิต นพดล หากคิดผิดก็ควรคิดใหม่ได้ เพราะสังคมไทยนับจากนี้ต่อไปรับรู้และเข้าใจแล้วว่าใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรูของชาติไทย
หมายเหตุ : เป็นความเห็นของผู้เขียน ไม่ผูกพันกับหน่วยงานที่สังกัด