วานนี้ (20 ต.ค.) นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ส.ส.นครนายก กลุ่มทศวรรษใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ ได้นำเอกสารเรื่อง ข้อเสนอประเด็นสำคัญเพื่อบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังยกร่าง มาแจกจ่ายกับสื่อมวลชน พร้อมแถลง เพื่อคัดค้านกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
นายชาญชัย กล่าวว่าเอกสารดังกล่าว จัดทำโดยคณะทำงานของพรรคเมื่อเดือน ก.พ.2550 โดยคณะทำงานชุดกล่าวมี14 คน นายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นประธาน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นที่ปรึกษาฯ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขาธิการฯ เอกสารนี้ได้มอบต่อกรรมาธิการยกร่างฯ มีประเด็น อาทิ ส.ส.มีจำนวน 400 คน ไม่มีส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ เพราะเห็นว่าส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อมาพร้อมเงิน แต่วันนี้เวลาผ่านไป 2 ปี พรรคจะมาเปลี่ยนจุดยืนเพราะพรรคร่วมรัฐบาลจะเอาอีกอย่าง ตนจึงรับไม่ได้
ผมขอยืนยันว่าหากการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปเพื่อประโยชน์ของนักการเมืองผมคงไม่เป็นเห็นด้วย ผมพร้อมชี้แจงเรื่องนี้ในที่ประชุมพรรคในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ ขอยืนยันว่าไม่ได้ทะเลาะกับใคร เพียงแต่ต้องการให้พิจารณา อย่างรอบครอบว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้มีประโยชน์ต่อใคร
ส่วนที่เคยพูดถึงธรรมนูญของพรรคและการปลดนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ออกจากเลขาธิการพรรคนั้น นายชาญชัย กล่าวว่า นายสุเทพไปตกลงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างไรตนไม่ทราบ แต่หากเลขาธิการพรรคไปทำผิด ธรรมนูญของพรรคหมวด 3 ข้อ 6 (7) เปิดโอกาสให้สมาชิกเข้าชื่อถอดถอน กรรมการบริหารพรรคออกจากตำแหน่งได้
ขอให้สื่อช่วยไปถามคณะทำงานจัดทำข้อเสนอทั้ง 14 คน ว่าจุดยืนอยู่ ตรงไหน จะแก้รัฐธรรมนูญก็ไม่ว่าเพราะกาลเวลาเปลี่ยน แต่ต้องอธิบายเหตุผลว่า แก้แล้วดีกว่าเก่าอย่างไร
วันเดียวกันมีการประชุมพรรคประชาธิปัตย์ หลังการประชุม นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรค แถลงว่า จุดยืนของพรรคในการแก้ไขรัฐธรรมนูญคือต้องฟังเสียงประชาชนผ่านประชามติ จึงมีมติให้แสวงหาความร่วมมือจากวิป3 ฝ่าย ขณะเดียวกัน ในฐานะแกนนำรัฐบาล ยืนยันว่า ไม่มีการกดดันจากพรรคร่วมจากข่าวปล่อยที่หวังสร้างความขัดแย้ง
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า นายชาญชัย ชี้แจงต่อที่ประชุมว่า ไม่มีความขัดแย้งกับนายสุเทพ และไม่ได้พูดว่าพรรคแตกแยก สื่อมีการสื่อความหมายคลาดเคลื่อน ซึ่งพรรคได้กำชับให้นายชาญชัยแก้ข่าวต่อสื่อมวลชนในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ที่ประชุมได้มีการพูดถึงประเด็นถึงการทำงานของเลขาธิการพรรค พบว่า การปรึกษากับพรรคร่วมรัฐบาลดำเนินการไปได้ด้วยดี ไม่มีการกดดดดันเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ด้าน นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ปฏิเสธว่าไม่ได้ส่งสัญญาณให้ ส.ส.ขวางการแก้ไข รัฐธรรมนูญ ที่เป็นข่าวเป็นการวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองภายในพรรค ซึ่งการวิเคราะห์เสมือนสัญญาณเตือนภัยให้รู้ว่า วันนี้มีเรื่องแบบนี้ วันข้างหน้าอาจมีปัญหาได้ ที่ต้องวิเคราะห์กันก็คือ มันจะมีปัญหา กลายเป็นเทศกาลเรียกร้องให้ทุกฝ่าย ตั้งเวทีชุมชนมากขึ้นนี่คือประเด็นที่พรรคต้องคิด
นายบัญญ้ติ กล่าวว่าอย่าไปคิดว่าพรรคร่วมฯจะมาครอบงำพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อทำงานร่วมกันจะต้องให้เกียรติกัน และพรรคร่วมฯก็ต้องให้เกียรติเรา ขณะนี้เริ่มมีปัญหาว่า ทุกคนคิดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะนำไปสู่การสร้างความสมานฉันท์ แต่ในวันนี้เห็นชัดว่าเริ่มจะไม่สมานฉันท์กันอีกแล้ว
ส่วนที่มีข่าวว่ารุนแรงไปถึงขั้นจะล่ารายชื่อถอดถอนนายสุเทพ ออกจากเลขาธิการพรรค์นั้น นายบัญญัติ กล่าวว่าไม่มี และระหว่างตนกับนายสุเทพก็ไม่เคยมีปัญหาขัดแย้งกัน ซึ่งตนได้เตือนคนในพรรคแล้วว่า วันนี้ คู่ต่อสู้และทำลายเรามี 2 ยุทธศาสตร์ คือยุทธศาสตร์ ที่แสดงให้เห็นว่า พรรคแตกแบ่งเป็นกลุ่มเป็นแก๊งค์ต้องระมัดระวัง และอีกยุทธศาสตร์คือ ที่บอกว่า พรรคประชาธิปัตย์ก็โกงเหมือนกับพรรคการเมืองอื่น
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไม่มีอะไรที่นายชาญชัย จะต้องมาขู่ว่าจะแฉเอกสารมัดหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค ที่ให้สัญญาไว้กับทหาร และส.ส.ร.50 ว่าควรเพิ่มเติมมาตราใดลงในรัฐธรรมนูญบ้าง เพราะประเด็นที่ตนให้ข้อเสนอแนะไปนั้นเหมือนเดิมทุกอย่าง เช่นเรื่อง แบ่งเขตเลือกตั้งเป็นเขตใหญ่ เรื่องที่มา ส.ว.กับอำนาจต้องสอดคล้องกัน ขณะเดียวกันพรรคเคยพูดชัดเจนว่าจะแก้รัฐธรรมนูญ 50 แต่ให้รับประชามติไปก่อน ดังนั้นไม่มีเรื่องเปลี่ยนแปลงจุดยืนใดๆ
นายชาญชัย กล่าวว่าเอกสารดังกล่าว จัดทำโดยคณะทำงานของพรรคเมื่อเดือน ก.พ.2550 โดยคณะทำงานชุดกล่าวมี14 คน นายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นประธาน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นที่ปรึกษาฯ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขาธิการฯ เอกสารนี้ได้มอบต่อกรรมาธิการยกร่างฯ มีประเด็น อาทิ ส.ส.มีจำนวน 400 คน ไม่มีส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ เพราะเห็นว่าส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อมาพร้อมเงิน แต่วันนี้เวลาผ่านไป 2 ปี พรรคจะมาเปลี่ยนจุดยืนเพราะพรรคร่วมรัฐบาลจะเอาอีกอย่าง ตนจึงรับไม่ได้
ผมขอยืนยันว่าหากการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปเพื่อประโยชน์ของนักการเมืองผมคงไม่เป็นเห็นด้วย ผมพร้อมชี้แจงเรื่องนี้ในที่ประชุมพรรคในช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ ขอยืนยันว่าไม่ได้ทะเลาะกับใคร เพียงแต่ต้องการให้พิจารณา อย่างรอบครอบว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้มีประโยชน์ต่อใคร
ส่วนที่เคยพูดถึงธรรมนูญของพรรคและการปลดนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ออกจากเลขาธิการพรรคนั้น นายชาญชัย กล่าวว่า นายสุเทพไปตกลงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างไรตนไม่ทราบ แต่หากเลขาธิการพรรคไปทำผิด ธรรมนูญของพรรคหมวด 3 ข้อ 6 (7) เปิดโอกาสให้สมาชิกเข้าชื่อถอดถอน กรรมการบริหารพรรคออกจากตำแหน่งได้
ขอให้สื่อช่วยไปถามคณะทำงานจัดทำข้อเสนอทั้ง 14 คน ว่าจุดยืนอยู่ ตรงไหน จะแก้รัฐธรรมนูญก็ไม่ว่าเพราะกาลเวลาเปลี่ยน แต่ต้องอธิบายเหตุผลว่า แก้แล้วดีกว่าเก่าอย่างไร
วันเดียวกันมีการประชุมพรรคประชาธิปัตย์ หลังการประชุม นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรค แถลงว่า จุดยืนของพรรคในการแก้ไขรัฐธรรมนูญคือต้องฟังเสียงประชาชนผ่านประชามติ จึงมีมติให้แสวงหาความร่วมมือจากวิป3 ฝ่าย ขณะเดียวกัน ในฐานะแกนนำรัฐบาล ยืนยันว่า ไม่มีการกดดันจากพรรคร่วมจากข่าวปล่อยที่หวังสร้างความขัดแย้ง
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า นายชาญชัย ชี้แจงต่อที่ประชุมว่า ไม่มีความขัดแย้งกับนายสุเทพ และไม่ได้พูดว่าพรรคแตกแยก สื่อมีการสื่อความหมายคลาดเคลื่อน ซึ่งพรรคได้กำชับให้นายชาญชัยแก้ข่าวต่อสื่อมวลชนในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ที่ประชุมได้มีการพูดถึงประเด็นถึงการทำงานของเลขาธิการพรรค พบว่า การปรึกษากับพรรคร่วมรัฐบาลดำเนินการไปได้ด้วยดี ไม่มีการกดดดดันเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ด้าน นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ปฏิเสธว่าไม่ได้ส่งสัญญาณให้ ส.ส.ขวางการแก้ไข รัฐธรรมนูญ ที่เป็นข่าวเป็นการวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองภายในพรรค ซึ่งการวิเคราะห์เสมือนสัญญาณเตือนภัยให้รู้ว่า วันนี้มีเรื่องแบบนี้ วันข้างหน้าอาจมีปัญหาได้ ที่ต้องวิเคราะห์กันก็คือ มันจะมีปัญหา กลายเป็นเทศกาลเรียกร้องให้ทุกฝ่าย ตั้งเวทีชุมชนมากขึ้นนี่คือประเด็นที่พรรคต้องคิด
นายบัญญ้ติ กล่าวว่าอย่าไปคิดว่าพรรคร่วมฯจะมาครอบงำพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อทำงานร่วมกันจะต้องให้เกียรติกัน และพรรคร่วมฯก็ต้องให้เกียรติเรา ขณะนี้เริ่มมีปัญหาว่า ทุกคนคิดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะนำไปสู่การสร้างความสมานฉันท์ แต่ในวันนี้เห็นชัดว่าเริ่มจะไม่สมานฉันท์กันอีกแล้ว
ส่วนที่มีข่าวว่ารุนแรงไปถึงขั้นจะล่ารายชื่อถอดถอนนายสุเทพ ออกจากเลขาธิการพรรค์นั้น นายบัญญัติ กล่าวว่าไม่มี และระหว่างตนกับนายสุเทพก็ไม่เคยมีปัญหาขัดแย้งกัน ซึ่งตนได้เตือนคนในพรรคแล้วว่า วันนี้ คู่ต่อสู้และทำลายเรามี 2 ยุทธศาสตร์ คือยุทธศาสตร์ ที่แสดงให้เห็นว่า พรรคแตกแบ่งเป็นกลุ่มเป็นแก๊งค์ต้องระมัดระวัง และอีกยุทธศาสตร์คือ ที่บอกว่า พรรคประชาธิปัตย์ก็โกงเหมือนกับพรรคการเมืองอื่น
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไม่มีอะไรที่นายชาญชัย จะต้องมาขู่ว่าจะแฉเอกสารมัดหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค ที่ให้สัญญาไว้กับทหาร และส.ส.ร.50 ว่าควรเพิ่มเติมมาตราใดลงในรัฐธรรมนูญบ้าง เพราะประเด็นที่ตนให้ข้อเสนอแนะไปนั้นเหมือนเดิมทุกอย่าง เช่นเรื่อง แบ่งเขตเลือกตั้งเป็นเขตใหญ่ เรื่องที่มา ส.ว.กับอำนาจต้องสอดคล้องกัน ขณะเดียวกันพรรคเคยพูดชัดเจนว่าจะแก้รัฐธรรมนูญ 50 แต่ให้รับประชามติไปก่อน ดังนั้นไม่มีเรื่องเปลี่ยนแปลงจุดยืนใดๆ