พล.อ.เลิศรัตน์ เสนอเพิ่มความในท้ายวรรค 2 ม.190 ปชป.เสนอแก้ถ้อยคำทุกวรรคให้ชัดเจนขึ้นสรุปแก้ ม.190 พิจารณารายละเอียดแต่ละวรรค 21 พ.ค. ได้ข้อยุติที่มา ส.ว.ต้องมาจากเลือกตั้งทั้ง 200 คน ด้าน “สุรชัย-เจิมศักดิ์” ไม่ยอมถูกลากไปลากมาล่องหนไม่เข้าร่วมประชุม
วันนี้ (20 พ.ค.) ที่ห้อง 3501 อาคารรัฐสภา 3 มีการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยมี พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ประธานคณะอนุกรรมการฯ เป็นประธานในการประชุม ซึ่งมีการพิจารณารัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 190, 265, 266 และที่มาของ ส.ว.
สำหรับมาตรา 190 นั้น นายอรรคพล สรสุชาติ คณะอนุกรรมการฯ จากสัดส่วนพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า มาตรา 190 นั้น เมื่อการเขียนคำจำกัดความคนเขียนเขาไม่กล้า ยืนยันว่ามาตรา 190 นั้นเป็นปัญหาจากการเขียนกรอบที่กว้างเกินไป ทำให้การปฏิบัติงานทำได้ยาก และเจตนารมณ์ที่ต้องการให้รัฐสภามีส่วนในการเจรจาที่สำคัญๆ นั้นเราคงต้องมีการปรับถ้อยคำ และเมื่อดูบันทึกการอภิปรายของ ส.ส.ร.ที่มีการเพิ่มเติมแก้ไขกันในชั้นของสภา ซึ่งเมื่อเติมคนละคำสองคำเลยยิ่งไปกันใหญ่ ดังนั้น เรายังต้องคงถ้อยคำไว้ แต่ปรับปรุงถ้อยคำเพื่อให้ข้าราชการสามารถปฏิบัติงานได้ นอกจากนี้ อยากให้คุยกับเจ้าหน้าที่ประจำที่ต้องนำไปใช้ในการปฏิบัติงานด้วย เพราะบางเรื่องเป็นการเจรจาง่ายๆแต่ก็ยังต้องเอาเข้ามาพิจารณากันในสภา ซึ่งสภาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเอาเข้ามาพิจารณาทำไม แต่เพราะไม่มีใครกล้าเสี่ยงที่จะไม่เอาเข้ามาพิจารณาในสภา
นายอรรคพลกล่าวต่อว่า เรามักจะไปอ้างกฎหมายของอังกฤษ แต่กลับเอาไปใช้ผสมกับของสหรัฐอเมริกา เอะอะอะไรเราก็เอาหมด เราต้องคุยกันว่าถ้าจะแก้นั้นจะแก้อย่างไร เราเห็นว่ามีอะไรบ้างที่เป็นปัญหาของประเทศ เรื่องปัญหาเขตแดนนั้นเราต้องเอาไว้แบบเดิม แต่การเจรจาการค้าที่จะกระทบต่อประชาชนนั้นก็ต้องให้สภาได้รับรู้รับทราบ แต่จะถึงขนาดอนุมัติกรอบหรือไม่อย่างไรนั้นก็ต้องคุยกัน เรายังยืนยันที่จะให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม แต่ขอให้เป็นไปในทางที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ด้วย
ด้าน นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ คณะอนุกรรมการฯ จากสัดส่วนพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า มาตรา 190 นั้น ถ้าเขียนไว้อย่างนี้จะกระทบความมั่นคงของประเทศในกรณีที่รัฐบาลจำเป็นจะต้องซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ เพราะจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ก่อนว่าเราจะซื้ออาวุธอะไรบ้าง นอกจากนี้ยังกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติด้วย เพราะไม่มีใครอยากพูดด้วยในการเจรจาการค้าต่างๆ เนื่องจากเขารู้ว่าคุณไม่มีอำนาจอะไรเลย ต้องไปขออำนาจจากสภาก่อน ทำให้ประเทศต้องเสียผลประโยชน์ไป ดังนั้นจึงมี 2 แนวทางคือ 1.แก้มาตรา 190 โดยให้ล้อกับมาตรา 224 ของรัฐธรรมนูญปี 2540 โดยการนำวรรค 2 มาใช้เลย หรือ 2.นำมาตรา 190 มาแก้คำที่ดูแล้วเป็นไปไม่ได้เลย
นายอรรคพลได้กล่าวแย้งขึ้นว่า ตนมองว่าจำเป็นที่จะต้องแก้ในทุกวรรคของมาตรา 190 แต่ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของนายประยุทธ์ที่จะให้เอาวรรค 2 ของมาตรา 224 ของรัฐธรรมนูญ 2540 มาใช้
นายประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิชย์ เลขานุการอนุกรรมการฯ กล่าวว่า มาตรา 190 ที่มีปัญหานั้นคือ มีการระบุว่าสภาต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 60 วันนั้นเป็นบทเร่งรัดหรือการบังคับ แต่ถ้าหากไม่แล้วเสร็จผลในทางกฎหมายนั้นคืออะไร และจะเป็นอย่างไร นอกจากนี้ ในวรรค 3 นั้นตนมองว่ามีปัญหามากที่สุด เนื่องจากเป็นการกลับหลักในการทำหนังสือสัญญา โดยให้ ครม.เสนอกรอบการเจรจาต่อสภาเพื่อขอความเห็นชอบ ซึ่งเป็นการทำลายหลักของการทำหนังสือสัญญา และยังเป็นการให้ฝ่ายนิติบัญญัติมาคุมฝ่ายบริหาร
พล.อ.เลิศรัตน์ กล่าวว่า ตนได้เคยพูดคุยกับ ส.ว. และได้เชิญนักวิชาการมาพูดคุยกันเยอะแยะ ซึ่งสิ่งที่ได้ยินมากที่สุดคือ ไม่รู้ว่าสัญญาประเภทไหนบ้างที่ต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของสภา ดังนั้น ข้อเสนอของพรรคประชาธิปัตย์จึงตรงกับปัญหาหลักจริงๆ และถ้าให้ตนเสนอการแก้ไขแบบให้รัฐบาลสามารถทำงานได้นั้น ก็จะขอเสนอให้ในวรรค 2 ของมาตรา 190นั้นเพิ่มข้อความไว้ตอนท้ายว่า “ทั้งนี้ ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย”
นายนิพนธ์ วิศิษฐยุทธศาสตร์ คณะอนุกรรมการฯ จากสัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ถ้ามองหลักกฎหมายนั้นไม่ควรมีการใช้ถ้อยคำที่ฟุ่มเฟือยมาก ดังนั้น ถ้าจะแก้ก็อยากให้แก้ถ้อยคำในแต่ละวรรคให้ชัดเจน เพื่อที่ฝ่ายบริหารจะได้เห็นว่าทำอะไรได้หรือไม่ได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ถ้าหากมีการกฎหมายลูกที่ชัดเจนออกมาก็อาจจะตัดปัญหาได้ แต่ปัญหาคือจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการออกกฎหมายลูกออกมาเลย จึงเป็นปัญหาที่ทำให้รัฐธรรมนูญมีปัญหา
จากนั้น พล.อ.เลิศรัตน์ จึงกล่าวสรุปว่า สรุปว่าทุกคนเห็นตรงกันว่าควรจะให้มีการแก้ไขมาตรา 190 แต่จะมีการแก้ไขอย่างไรนั้น จะมีการพิจารณาในรายละเอียดของแต่ละวรรคอีกครั้งในวันที่ 21 พ.ค.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การพิจารณามาตรา 190 นั้น นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย และนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง คณะอนุกรรมการฯ จากสัดส่วน ส.ว.นั้นไม่ได้เดินทางมาร่วมประชุมด้วย ทำให้ พล.อ.เลิศรัตน์เสนอให้รอฟังความเห็นจากนายเจิมศักดิ์ซึ่งเป็นอดีต ส.ส.ร.ผู้แปรญัตติมาตรา 190 เพื่อจะได้ความเห็นที่รอบด้านมากขึ้น ทำให้นายสมศักดิ์กล่าวแย้งขึ้นว่า ทุกคนในที่ประชุมขณะนี้ก็เห็นตรงกันหมดว่าต้องแก้มาตรา 190 ส่วนการรอฟังความเห็นจากผู้ที่เห็นต่างนั้นไว้รอฟังความเห็นในวันหลังก็ได้ เพื่อให้การทำงานวันนี้สามารถเดินหน้าต่อไปได้เรื่อยๆ ขณะที่นายประยุทธ์ก็เห็นด้วยที่จะให้มีการพิจารณาต่อไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา จากนั้นจึงค่อยให้มีการรับฟังความเห็นของนายสุรชัยและนายเจิมศักดิ์ในภายหลังก็ได้ พล.อ.เลิศรัตน์ จึงชี้แจงว่า ถ้าเราเสนอให้มีการแก้ไขมาตรา 190 นั้น แน่นอนว่ามีหลายประเด็นที่จะต้องแก้ไข ซึ่งทุกคนในที่นี้ก็เสนอให้มีการแก้ไข ดังนั้นจึงอยากเห็นว่าจะมีการเสนอความเห็นอย่างไรกันบ้าง
ต่อมาเป็นการพิจารณาในมาตรา 265 และ 266 โดยนายอรรคพลกล่าวว่า หน้าที่ของ ส.ส.คือแก้ปัญหาของประชาชน ซึ่งปกติเราก็ทำหนังสือถึงหน่วยงานต่างๆ เพื่อติดตามแนวทางการแก้ไขปัญหา แต่เมื่อรัฐธรรมนูญมาเขียนไว้แบบนี้เราจึงไม่สามารถทำอะไรได้เลย ดังนั้น พรรคชาติไทยพัฒนาจึงเสนอให้แก้มาตรา 266 ในกรณีที่เป็นปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน รวมทั้งสามารถร้องเรียนความผิดพลาดของหน่วยงานของรัฐได้ด้วย ส่วนมาตรา 265 นั้น ขอเสนอให้มีการแก้ไขให้ ส.ส.สามารถดำรงตำแหน่งเป็นข้าราชการทางการเมืองได้
นายวิรัช รัตนเศรษฐ คณะอนุกรรมการฯ จากสัดส่วนพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา กล่าวว่า ส.ส.วันนี้เป็นแค่เสือกระดาษ ส.ส.อ้างได้ว่ารัฐธรรมนูญห้าม ชาวบ้านวันนี้ไม่มาหาผู้แทนฯ แล้ว แต่จะไปหาคนที่สามารถโยกย้ายได้แทน แล้วก็มีโทรศัพท์มาบอกทีหลังว่าอันนี้ของตนนะ มีตัวแทนไว้เป็นนอมินี ซึ่งถ้าหากปล่อย ส.ส.ให้เป็นเลขาฯ รัฐมนตรีได้ งานที่ล้นมือของรัฐมนตรีก็จะได้เบาบางลง
พล.อ.เลิศรัตน์ จึงสรุปว่า ในส่วนของมาตรา 265 (1) นั้นที่ประชุมเสนอให้กลับไปใช้รัฐธรรมนูญ 2540 โดยไม่ห้ามในส่วนของข้าราชทางการเมือง แต่ยังคงไว้ไม่ให้เป็นตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรี อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัญหาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ไปตีความว่า กรรมการต่างๆ ต้องอยู่ในส่วนของฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น ซึ่งอาจจำเป็นต้องพิจารณาปรับแก้รัฐธรรมนูญ ส่วนมาตรา 266 นั้น จริงๆแล้วเอามาจากมาตรา 111 ของรัฐธรรมนูญ 2540 แต่คนเขียนเขาเขียนให้เยอะๆ เอาไว้ ซึ่งวิธีแก้คือ ให้ตัดวงเล็บ 1 ทิ้ง แล้วปรับข้อความวงเล็บ 2 และ 3
สำหรับการพิจารณาเรื่องที่มาของ ส.ว.นั้น นายอรรคพลกล่าวว่า พรรคชาติไทยพัฒนาเสนอให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด และแบ่ง ส.ว.แต่ละจังหวัดตามสัดส่วนจำนวนประชากร อย่างไรก็ตาม หาก ส.ว.จะมาจากการแต่งตั้งทั้งหมดก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่จะต้องมีการระบุไว้ให้ชัดเจนว่าจะเอาทิศทางใดแน่
ด้าน นายนิพนธ์กล่าวว่า กรรมการสรรหา ส.ว.ไม่ได้รู้จักทุกคน ดังนั้น ถ้าจะมีการแก้ไขก็ควรจะให้มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดหากจะยึดหลักของประชาธิปไตย แต่ ส.ว.ที่ทำหน้าที่อยู่ในขณะนี้ก็ควรให้ทำหน้าที่ครบตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ เช่นเดียวกับนายประยุทธ์ ที่เสนอว่า ควรกำหนดให้ ส.ว.200 คนมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด และ ส.ว.ปัจจุบันให้อยู่ครบตามวาระ เพราะเมื่อ ส.ว.ปัจจุบันมาตามรัฐธรรมนูญ 2550 ก็ควรมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญครบถ้วน
นายวิรัช กล่าวว่า วิธีการสรรหา ส.ว.ควรที่จะต้องเปลี่ยน เพราะถ้าหากจะให้ ส.ว.มาจากทุกสายอาชีพก็ควรจะเอาอย่างสภาสนามม้าในอดีตไปเลย นอกจากนี้ หากมีการแก้รัฐธรรมนูญให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดแล้วไม่มีบทเฉพาะกาลไว้ เชื่อว่า ส.ว.จะไม่ยกมือผ่านรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน
นายประสิทธิ์กล่าวว่า ทุกพรรคเห็นตรงกันให้ ส.ว.ทั้งหมดมาจากการเลือกตั้ง แต่ตนไม่แน่ใจว่าภาคประชาชนจะเห็นอย่างไร และเราจะฟังความเห็นภาคประชาชนด้วยหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเห็นด้วยที่จะให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งและมีอำนาจแบบเดิมตามรัฐธรรมนูญ 2540 รวมทั้งคงไว้บทเฉพาะกาลในส่วนของ ส.ว.จากการสรรหา นอกจากนี้ ในส่วนของมาตรา 113 นั้น องค์ประกอบของคณะกรรมการสรรหา 7 ท่าน 3 ท่านเป็นตุลาการ ซึ่งเท่ากับว่าดึงศาลมายุ่งกับการเมือง ซึ่งถือว่าไม่เหมาะสม
พล.อ.เลิศรัตน์ จึงสรุปว่า ที่ประชุมเห็นควรให้ที่มาของ ส.ว.นั้นเป็นการเลือกตั้งทั้งหมด 200 คน ส่วนอำนาจหน้าที่ของ ส.ว.นั้นคงละเอียดไปที่เราจะไปแก้ไข อย่างไรก็ตาม ไม่เห็นด้วยกับกรณีที่คณะกรรมการสรรหาส่งรายชื่อมาให้ ส.ว.เลือก และเมื่อ ส.ว.150 คนส่งคืนกลับไปแล้วคน 5-6 คนบอกว่าโอเค จากนั้นก็นำขึ้นทูลเกล้าฯ เลยนั้น ตรงนี้มันเป็นความไม่ใช่ ไม่รู้ว่าเขียนได้อย่างไร
จากนั้นที่ประชุมได้มีการหารือถึงประเด็นการพิจารณาในวันที่ 21 พ.ค. โดยนายประยุทธ์กล่าวว่า กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งให้ใบแดงใบเหลืองนั้น จะเห็นได้ว่าหลายครั้งมีไม่ถึงร้อยละ 50 ของศาลที่จะเห็นด้วยกับ กกต. สะท้อนให้เห็นว่าการที่ กกต.เป็นผู้กำกับดูแล สืบสวน สอบสวน และตัดสินเองนั้น ความรอบคอบจะไม่เกิดขึ้น จึงอยากให้อำนาจการให้ใบเหลืองใบแดงนั้นไปอยู่ที่ศาลเลือกตั้ง นอกจากนี้ ในมาตรา 278 นั้น การตัดสินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น เป็นการตัดสินโดยศาลเดียว ซึ่งไม่เป็นสากล ซึ่งนายนิพนธ์กล่าวแย้งขึ้นว่า ต้องมีการพิจารณาก่อนว่าในส่วนของการตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอายาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้นขัดหลักสากลหรือไม่ แต่เชื่อว่ามีที่มาทีไปพอสมควรในเรื่องนี้ ขณะที่นายวิรัชเสนอให้มีการพิจารณาการบรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่ง พล.อ.เลิศรัตน์ ระบุว่ากรณีนี้อาจทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นได้จนไม่เกิดความสมานฉันท์ขึ้น
จนกระทั่งเวลา 13.00 น. พล.อ.เลิศรัตน์กล่าวสรุปปิดการประชุมว่า การประชุมในวันที่ 21 พ.ค. คณะอนุกรรมการฯ จะหยิบยกข้อเสนอของที่ประชุมใน 3 ประเด็นดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาต่อไป