"เด็ดดอกไม้รายทาง"
โดย...อัญชะลี ไพรีรัก
เพิ่งผ่านงานกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณตนและสวนสนามในโอกาสครบ 108 ปีของการก่อตั้งโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพรานมาหมาดๆ แท้ๆ ปรากฏว่า กลางสัปดาห์ที่ผ่านมาวงการสีกากีประดาบกันเลือดเดือด ถึงขนาดรุ่นพี่เชือดรุ่นน้องสยองขวัญ ด้วยหมายจับข้าราชการตำรวจ และอดีตข้าราชการตำรวจ 5 นาย ในคดีฆ่าเจ้าหน้าที่ทูตและนักธุรกิจซาอุดิอาระเบียที่กำลังจะหมดอายุความรอมร่ออยู่แล้วเชียว
ว่ากันว่า คุณพี่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ทิ้งทวนด้ามเบ้อเริ่มเทิ่ม ก่อนถูกย้ายไปเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม ฟังแล้วออกจะไม่เชื่อเสียทีเดียวนัก ต้องรอดูกันต่อไป เพราะคุณทวีนี่สำคัญไม่หยอก ไม่งั้นจะได้ฉายา “แมวเก้าชีวิต” หรือ
เห็นข่าวหมายจับเจ้าหน้าที่ชุดหนึ่ง ซึ่งถูกข้อกล่าวหาว่า อุ้ม –ฆ่า ฆาตกรรมอำพรางเผานั่งยางเจ้าหน้าที่ทูตและนักธุรกิจ ชาวซาอุดิอาระเบีย เมื่อ 19 ปีก่อนแล้วไพล่ไปนึกถึง “เกรียงไกร เตชะโม่ง” อดีตผู้ต้องหาคนสำคัญในคดีเพชรซาอุดิอาระเบีย ที่พ้นคุกไปนานแล้ว และเวลานี้จะอยู่หรือตายเสียที่ไหนก็ไม่รู้ได้ แต่ที่แน่ๆ หนุ่มเมืองลำปางคนนี้สร้างเรื่องอื้อฉาวจนเป็นที่มาของ “อาถรรพ์เพชรซาอุดิอาระเบีย” ที่ยากจะลืม
สมัยยังเป็นนักข่าวสูงยาวขาวหมวยวัยแรกแย้ม ได้รับมอบหมายให้ทำข่าวคดี เพชรซาอุฯ ร่วมกับรุ่นพี่สายอาชญากรรมอีกหลายคน ข่าวชิ้นนี้มีตำรวจ นักการเมือง เจ้าของร้านเพชร และเจ้าหน้าที่ทูตทั้งสองประเทศหลายคนมะรุมมะตุ้ม จนแทบไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ใครผิด และ ใครหยิบฉวย
ที่แน่ๆ คือ เพชร 4 กระสอบที่เกรียงไกรขโมยออกมาจากพระราชวังเจ้าชายไฟซัล บิน ซาฮัด แห่งซาอุดิอาระเบีย มูลค่าหลายร้อยล้านบาท ได้ก่อกำเนิดมหากาพย์แห่งคดีโจรกรรมที่อื้ออึง กินความยืดเยื้อยาวนานมาเกือบ 19 ปี แถมความสูญเสียที่บังเกิดขึ้นตามมามากมาย ตั้งแต่ ติดคุก ความตาย จนถึงความสัมพันธ์สองประเทศร้าวฉานยากเยียวยาหากไม่สามารถพบว่า ใครฆ่าเจ้าหน้าที่ทูตซาอุและนักธุรกิจรวม 4 คน และใครอมเพชร “บลูไดมอนด์” เพชรเม็ดใหญ่ประจำราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย ที่ร่ำลือกันว่า มีอาถรรพ์บนคำสาปแช่ง
หรือว่า วันนี้อาถรรพ์แห่งเพชรบลูไดมอนด์เริ่มต้นทำงานอีกหน และคนตายลุกขึ้นมาทวงถามความยุติธรรม
ย้อนกลับไปก่อนปี 2531 ที่มีเรื่องราวใหญ่โต ตอนนั้นเกรียงไกร เตชะโม่งเป็นหนุ่มกลัดมัน เกเร กร้าวและแกร่ง จาก อ.เถิน จ.ลำปาง เขาทำมาหากินหลายประเภทตีหัวหมาด่าแม่เจ๊กไปทั่ว วันหนึ่งมีโอกาสได้ไปขุดทองที่ประเทศซาอุดิอาระเบียตามความนิยมในยุคนั้น
แม้เขาจะไปทำงานเป็นคนงานในบริษัทรักษาความสะอาด แต่ก็มีอดิเรกประการหนึ่งคือ แทงไฮโลเป็นล่ำเป็นสัน ไม่ใช่เป็นคนขี่ดวง แต่สองนิ้วของเกรียงไกรทั้งสองมือ “ฝังแม่เหล็ก” ต่างหาก นี่จึงทำให้ฐานะการเงินของเขาแตกต่างไปจากคนงานไทยคนอื่นๆ ชัดเจน
จนกระทั่งวันหนึ่งในเดือนที่ทะเลทรายร้อนจัด เจ้าชายไฟซัล บิน ซาฮัด อพยพพาครอบครัวทั้งหมดหลายสิบชีวิตไปตากอากาศที่ยุโรป เวลาเดียวกันนั้นเองบริษัทฯที่เกรียงไกรทำงานอยู่รับงานทำความสะอาดพระราชวังที่พระราชวังซึ่งใหญ่โตโอฬารสุดบรรยาย
ด้วยความเป็นคนลดเลี้ยวเคี้ยวคด งานนี้จึงพลิกชีวิตเกรียงไกรไปตลอดชีวิตนิจนิรันดร์ ทันทีที่เขาเห็นพระราชวังชุบทองประดับเพชร สมองอขงเขาก็วางแผนร้านในบัดดล ชายผู้โง่เขลาแต่น้ำลายสอด้วยความโลภตัดสินใจแอบลักลอบฝังตัวอยู่ในพระราชวังไม่กลับออกไปเหมือนคนงานคนอื่นๆ และเขาอาศัยช่วงเวลาละหมาดที่เงียบงัน เร้นกายออกมาพร้อมกระสอบใหญ่ 4 ใบ ทุกใบเต็มไปด้วยเพชร ทองคำ และเงินดอลลาร์
เกรียงไกรหลบไปอาศัยเพื่อนในวงไฮโลอยู่พักหนึ่ง เพื่อส่งพัสดุต่างๆมากมายประดามีกลับเมืองไทย เมื่อแล้วเสร็จก็ลาพรรคพวกกลับบ้านหน้าตาเฉย ไม่มีใครระแคะระคายสักนิดว่าเกรียงไกรกลับบ้านก่อนหมดสัญญาว่าจ้างเพราะอะไร มารู้อีกทีเมื่อข่าวครึกโครมและคนงานไทยถูกส่งกลับจนบัดนี้ไม่หวนคืน
ความที่เข้าๆ ออกๆ ระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบียบ่อยๆ เกรียงไกรเอาตัวรอดจากด่านศุลกากรมาได้ด้วย “เงินใต้โต๊ะ” ทันทีที่ออกจากสนามบินเขาตัดสินใจพุ่งตรงกลับลำปาง ที่นั่นเขาเริ่มต้นใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่าย เสเพล หว่านเงินที่ได้จากการขายเพชรพลอยไปทั่วเมือง แจกทั้งญาติ แจกทั้งหญิง
ปฐมบทเรื่องเพชรและความตายกับหายนะของคนมากมายเริ่มต้นที่นี่ ที่ร้านเพชร – ทองในตัวเมืองเถิน ลำปาง เมื่อเกรียงไกรทยอยเอาของโจรออกขาย เข้าทำนองไก่ได้พลอย ความวูบวาบของเครื่องประดับประดามีที่เขาปล้นออกมาจากพระราชวังแห่งราชวงศ์ทะเลทราย ส่งเสียงเซ็งแซ่ไปทั่วเมืองเหนือ จนเกรียงไกรต้องเดินทางไปขายเพชรที่เมืองอื่น และเมืองอื่นๆ
จากเพชรเม็ดหนึ่งสู่เพชรเม็ดใหญ่ เมื่อเพชรกองมากมาย ใครต่อใครก็ไม่เริ่มเชื่อขี้หน้าว่า เพชรโจรเหล่านี้คือ เพชรจริง จนเกรียงไกรผู้เบาปัญญาทดสอบเพชรแท้ต่อหน้าพ่อค้าโจรซึ่งท้าทายด้วยการใช้ ค้านพิสูจน์เพชร โป้งเดียวนิ่งสนิท เพชรจริงในมือเกรียงไกรก็เลื่องลืออื้ออึงจนแสบหู “สันติ ศรีธนะขันธ์” พ่อค้าใหญ่จากเมืองกรุงและนี่เองคือจุดเริ่มต้น ปฐมบทแห่งอาถรรพ์ บลูไดมอนด์ ล้ำลึก น่าขนลุก และกลืนกินเกียรติยศ ชื่อเสียง รวมถึงชีวิตผู้คนไปมากมายเหลือคณานับ...ตลอด 19 ปีที่หายไปไร้ร่องรอย
ขณะที่ด้านหนึ่งของเมืองไทยการซื้อ-ขายเพชรของโจรกำลังฟู่ฟ่า แต่อีกด้านหนึ่งของขอบฟ้า เจ้าชายไฟซัลกำลังงุ่นง่านกับการตามหานาฬิกาเรือนทองฝังเพชรที่บอกเวลาละหมาดได้ตรงเผง ทั้งยังเป็นของขวัญล้ำค่าจากราชวงศ์ทะเลทรายด้วยกัน
เมื่อสอบทานไปมาพบว่า ข้าวของมากมายหลายร้อนชิ้นที่ล้วนแล้วแต่สูงค่าหายไปจากพระราชวังอันกว้างใหญ่ เจ้าชายถึงกับเดือดดาลและบัญชาการตามล่าหาเพชรมาคืนวัง
กระบวนการของตำรวจสากล และ เจ้าหน้าที่ทูตจากซาอุดิอาระเบีย พุ่งเป้ามาที่ คนงานไทยนามเกรียงไกร เตชะโม่ง ทีมชุดใหญ่มาเมืองไทย และ พล.ต.ต.ชลอ เกิดเทศ พล.ต.ต.โสภณ สะวิคามิน และตำรวจน้อยใหญ่อีกมากมายในขณะนั้น เข้าร่วมทำคดีนี้ที่ครึกโครมด้วยความคึกคัก ตอนนั้น พล.ต.อ.แสวง ธีระสวัสดิ์ เป็นอธิบดีกรมตำรวจ มือปราบชุดใหญ่ใช้เวลาไม่นานนักกับวิธีการป่าเถื่อนสองสามอย่างก็ได้ตัว เกรียงไกร เตชะโม่ง ขณะหลบหนีอยู่แถวชายแดนไทย-พม่า ด้านแม่สอด ในช่วงเวลากำลังกกผู้หญิงหากินในโรมแรมรูหนู เขาถูกนำตัวคืนภูมิลำเนา เพื่อรื้อค้นที่พัก และขุดต้นไม้รอบบ้านจนพรุนเพื่อหาเพชรซาอุฯ
เมื่อได้ครบแต่ยังไม่จบเรื่อง เกรียงไกรถูกพามากรุงเทพ แถลงข่าว โชว์เพชร-ทองของล้ำค่า จนผู้คนตาลุกวาวไปทั่วบ้านทั่วเมือง เมื่อเกรียงไกรติดคุก ขบวนการขนของมีค่าคืนเจ้าของก็เริ่มขึ้น ครั้นเจ้าชายนับกลับไปกลับมาปรากฏว่า ได้ของกลางคืนไม่ครบ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับ “บลูไดมอนด์”หายไป และความสัมพันธ์ทางการทูตสิ้นสุดลง คนงานถูกส่งกลับ และตำรวจสากลเข้ามาร่วมสืบค้น “ของกลาง”ที่ถูกอม
ปฏิบัติการณ์ตามล่าเพชรของกลางและ บลูไดมอนด์เกิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้โหดเหี้ยมสามานย์กว่าตามล่าตัวเกรียงไกรยิ่งนัก ผลคือ เจ้าหน้าที่ทูตซาอุฯ และนักธุรกิจถูกอุ้มฆ่า เผานั่งยาง รวมถึงสองแม่ลูกตระกูล ศรีธนะขันธ์ต้องจบชีวิตสังเวยความไร้มนุษยธรรมของตำรวจใจทราม ส่วนสันติผู้เป็นบิดาหนีตายระหกระเหิน แม้จะขอร้องให้พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รัฐมนตรีมหาดไทยในเวลานั้นช่วยแก้ไขแต่ก็ไม่ทันท่วงที ชีวิตของเขาอยู่บนเส้นด้าย เมียถูกข่มขืนก่อนตายและลูกชายคนเดียวตกเป็นเหยื่อกรรมที่ผู้ใหญ่กระทำอย่างไม่น่าให้อภัย
ผ่านไป 19 ปีแล้ว ชีวิตของสันติวันนี้ยังล่มจม ล้มละลาย ขาดวิ่นไม่ฟื้นคืนกลับไปเหมือนเก่า
เรื่องราวของเพชรซาอุฯ ได้เริ่มขึ้นและ ไม่มีวันจะจบลงได้ แม้ว่า ชะลอ เกิดเทศจะติดคุกร่วมกับตำรวจอีกหลายนาย แม้เกรียงไกรจะติดคุกในไทยไม่ถูกส่งไปให้ทางการซาอุฯ ตัดมือในฐานะทำผิดกฎหมายขโมย แต่เมื่อบลูไดมอนด์ยังหาไม่เจอ และจับมือใครดมไม่ได้ว่า มือใครฆ่าคนซาอุฯ ตายในระหว่างมาควานหาบลูไดมอนด์... ความสัมพันธ์สองประเทศก็ไม่มีวันหวนกลับคืน
เวลานี้ทางซาอุดิอาระเบียปรับลดระดับความสัมพันธ์กับไทย เหลือไว้แต่เพียงสำนักงานสถานทูตที่มีเพียงอุปทูต และคณะเจ้าหน้าที่ทำงานประสานการติดต่อเท่านั้น โดยอุปทูตคนสุดท้ายที่ลือเลื่องจนบิ๊กจิ๋วขยาดคือ ท่านทูตโคจา ส่วนคนถัดๆ มาสงวนท่าทียิ่งยวด
วันนี้ได้ยินข่าวออกหมายจับข้าราชการตำรวจและอดีตข้าราชการตำรวจ ที่มีส่วนต่อการตายของเจ้าหน้าที่ทูตและนักธุรกิจซาอุดิอาระเบีย ซึ่งหนึ่งในนั้นผูกพันทางสายเลือดกับอดีตบิ๊ก คมช. ก็ให้หวนนึกถึงท่านทูตโคจา และคำกล่าวของเขาที่ว่า
“บลูไดมอนด์ของเราอยู่ไหนเอาคืนกลับมา ชีวิตคนของเราอยู่ที่ไหนเอาคืนกลับมา ต้องแลกกัน หนึ่งต่อหนึ่ง ไม่งั้นเราจบกัน.