ASTVผู้จัดการรายวัน –“หมอเกรียงศักดิ์”เข้าให้ข้อมูลคนพัวพันทุจริตงบไทยเข้มแข็ง“อภิสิทธิ์”กระซิบชื่อนักการเมืองมีเอี่ยว 4-5 คน ชี้ชัดมีทั้งคน ปชป. และ ภท.ร่วมขบวนการ เผย “มาร์ค”สั่งรายงานสายตรงไม่ต้องผ่าน รมว.สธ. ด้าน “วิทยา”เผยคณะกรรมการสอบฯ พบตัวคนผิดแล้ว ยอมรับมีไอ้โม่งสั่งล็อกสเปกแต่ยังบอกไม่ได้ รอตรวจสอบเสร็จสิ้น คาดวันที่ 12 ต.ค.นี้ แถลงผล สั่งตั้งโต๊ะรับเรื่องร้องเรียนจากโรงพยาบาลชุมชน
วานนี้(7ต.ค.) เมื่อเวลา 14.30 น.ที่ห้องรับรองนายกรัฐมนตรี อาคารรัฐสภา 1 นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท ได้เข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จากนั้น นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าวภายหลังการหารือว่า นายกฯได้ประสานงานให้ตนมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริตงบประมาณโครงการไทยเข้มแข็ง พ.ศ. 2553-2555 ในกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ทั้งหมด โดยนายกฯ เห็นด้วยกับแนวทางและข้อเสนอของแพทย์ชนบทที่เสนอว่าควรจะปรับแก้ และทบทวนในเรื่องราคากลางของสิ่งก่อสร้างและราคาเครื่องมือแพทย์ และเห็นด้วยว่าควรทบทวนในบางพื้นที่ที่มีความจำเป็น และบางรายการที่ไม่ต้องการก็ตัดออกไป
นอกจากนี้ภาพรวมที่กลุ่มแพทย์ชนบทเสนอความคิดเห็นเรื่องราคากลางในส่วนของงบฯ ครุภัณฑ์สิ่งก่อสร้างที่อยู่ในวงเงิน 5 หมื่นล้านบาทเศษน่าจะสูงกว่าปกติถึงร้อยละ 30 ซึ่งนายกฯ ก็เห็นด้วย ส่วนเครื่องมือแพทย์และในบางพื้นที่ที่ไม่ได้ร้องขอแต่มีการจัดลงไปให้ก็จะต้องมีการปรับแก้และบอกให้แจ้งรายละเอียดมาอีกครั้งหนึ่งภายใน 1 สัปดาห์ โดยให้แจ้งตรงกับนายกฯ ไม่ต้องผ่าน รมว.สาธารณสุข
**เปิดชื่อนักการเมืองโกงให้“มาร์ค”
“ผมบอกชื่อจริงผู้ที่พัวพันกับการทุจริตกับนายกฯไปแล้ว มีคนจากทั้ง 2 พรรคที่เกี่ยวข้อง คือ ทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทย ซึ่งนายกฯ พูดตั้งแต่ต้นว่า ถ้าเป็นกรณีของพรรคประชาธิปัตย์จะดำเนินการกันเอง”น.พ.เกรียงศักดิ์กล่าว
เมื่อถามว่า ในส่วนของพรรคภูมิใจไทยต้องแสดงความรับผิดชอบอะไรด้วยหรือไม่ น.พ.เกรียงศักดิ์ กล่าวว่า ถ้าจะแสดงสปิริตเช่นเดียวกับทีมของ รมว.สาธารณสุขน่าจะดีไม่น้อย เพราะในแง่ข้อเท็จจริงมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมีผู้เกี่ยวข้องกันทั้งสองส่วน
เมื่อถามว่ารายงานชื่อนักการเมืองที่เกี่ยวข้องไปกี่ชื่อ น.พ.เกรียงศักดิ์ กล่าวว่า ในส่วนของการเมืองมีทั้งหมดไม่น้อยกว่า 4-5 ชื่อ และบอกนายกฯไปแล้ว แต่ถ้ารวมภาคราชการที่มีระดับสูงพอสมควร ก็เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย เมื่อถามว่า ระดับนักการเมืองสูงถึงระดับรัฐมนตรีเลยหรือไม่ น.พ.เกรียงศักดิ์ กล่าวว่า ขอไม่ตอบ เพราะมันเหลืออีกเล็กน้อยจริงๆ
“ผมไม่ค่อยมั่นใจว่าจะเอาผิดได้ เพราะกรณีเช่นนี้ไม่มีใบเสร็จเป็นทางการ เพียงแต่เป็นข้อมูลที่ตรวจสอบได้และน่าเชื่อถือ ซึ่งโครงการดังกล่าวมีเม็ดเงินค่อนข้างสูง จะปล่อยให้มีการดำเนินการโครงการจนสมบูรณ์ไม่ได้ เพราะค่าเสียหายจะสูง เป็นหมื่นล้านบาท เราจึงเห็นว่าจำเป็นต้องใช้มาตรการป้องปรามโดยมีการประสานเป็นการภายในกับนายกฯ”
**“วิทยา”รับมีไอ้โม่งสั่งล็อกสเปกครุภัณฑ์
นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า การจัดซื้อครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้างถือเป็นเรื่องจำเป็น ตนได้มอบหมายให้แต่ละจังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ ตั้งแต่กำหนดสเปก กำหนดราคาที่เหมาะ โดยให้ตั้งคณะกรรมการบริหารซึ่งต้องมีตัวแทนจากโรงพยาบาลทุกระดับ ทั้ง ร.พ.ชุมชน ร.พ.ศูนย์/ร.พ.ทั่วไป ให้ร่วมเป็นคณะกรรมการด้วย และขอร้องให้ ผอ.โรงพยาบาลให้ความร่วมมือในการแจ้งต่อคณะกรรมการที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่า มีรายการครุภัณฑ์ใดบ้าง ที่ไม่ตรงตามความต้องการแต่ถูกยัดเยียดหรือถูกบังคับให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยูวีแฟน เครื่องออโตเมด ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องรู้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และหาตัวให้ได้ว่าผู้ใดเป็นคนสั่งให้บรรจุรายการนั้นไว้ และมีวัตถุประสงค์ใดที่ทำเช่นนั้น โดยจะตั้งโต๊ะรับเรื่องร้องเรียน ซึ่งสามารถกรอกรายละเอียดรายการที่ไม่ต้องการ รายการที่ไม่ได้ขอ หรือขอแล้วไม่ได้ ให้แจ้งต่อคณะกรรมการเพื่อนำไปสอบสวนต่อไป
นายวิทยา กล่าวต่อว่า ขณะนี้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงได้ตรวจสอบครุภัณฑ์ 6 รายการที่มีข้อสังเกตว่ามีความผิดปกติในการจัดซื้อจัดจ้างมีความคืบหน้าจนเบื้องต้นพบคนผิดแล้ว แต่จะรอให้คณะกรรมการฯ เป็นผู้แถลงรายละเอียดภายหลังสอบสวนทั้งหมด โดยให้คณะกรรมการประชุมทุกวันเพื่อให้ได้ความคืบหน้าเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการทำความผิดเกิดขึ้น เป็นเพียงขั้นตอนของการเตรียมการเท่านั้น
“จากที่ได้รับรายงานทราบว่ามีคนสั่งให้ใส่รายการบางอย่างลงไปจริง แต่ขณะนี้ไม่ขอบอกว่าเป็นผู้ใด อยากให้คณะกรรมการทำงานให้เสร็จสิ้นเสียก่อน”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการตั้งโต๊ะร้องเรียนพบว่าส่วนใหญ่โรงพยาบาลชุมชนจะระบุว่า ไม่ต้องการเครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยแสงอัลตราไวโอเลต โดยจะมีการรวบรวมรายการเพื่อนำให้คณะกรรมการสอบสวนต่อไป
**เตรียมแถลงข้อเท็จจริง12 ต.ค.
ด้าน นพ.เสรี หงษ์หยก ผู้ตรวจราชการ สธ.ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กล่าวว่า ขณะนี้การสอบสวนมีความคืบหน้ามากขึ้น แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ เพราะต้องตรวจสอบให้ครบทุกด้าน รวมถึงจะมีการนำข้อมูลที่ได้จากการตั้งโต๊ะรับร้องเรียนมาพิจารณาด้วย
ด้าน นพ.ไพจิตร์ วราชิต รักษาราชการแทนปลัด สธ.กล่าวว่า ขณะนี้ให้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ทำงานอย่างเต็มที่ คาดว่าวันที่ 12 ต.ค.นี้ จะสามารถสรุปและแถลงให้ทราบผลเบื้องต้นได้
ด้าน นพ.สุชาติ เลาบริพัตร ผอ.สำนักบริหารสาธารณสุขภูมิภาค (สบภ.) กล่าวถึงกระแสข่าวว่าได้ยอมรับกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเป็นผู้นำเครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยแสงอัลตราไวโอเลตหรือยูวีแฟนเข้าไปอยู่ในรายการครุภัณฑ์โครงการไทยเข้มแข็ง เนื่องจากเป็นคำสั่งจากผู้บริหารระดับสูงกว่าว่า ไม่ขอตอบคำถามใดๆ เพราะได้เข้าให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง กับคณะกรรมการตรวจสอบฯ ทั้งหมดแล้ว
ด้าน นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผอ.สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์(สนย.) กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่า ยอมรับในที่ประชุมผู้บริหารระดับสูงของ สธ.ว่า การจัดสรรงบประมาณโครงการไทยเข้มแข็งนั้นเกิดความผิดพลาดหลายอย่างทำให้มีราคาครุภัณฑ์ค่อนข้างแตกต่างกันมากว่า ตนรับผิดชอบในการรวบรวมขั้นตอนสุดท้าย เพื่อเสนอคณะกรรมการกลั่นกรอง ต้องยอมรับว่าไม่มีใครสามารถดูในหลักการได้ทั้งหมด และขอยืนยันว่า ไม่มีใครมาสั่งตนเองได้ หรือจะเอาอะไรมาสอดไส้ครุภัณฑ์ในส่วนที่ตนรับผิดชอบได้ ถ้าจะมีการสั่งหรือการสอดไส้ก็น่าจะเป็นการสั่งเจ้าภาพหน่วยที่รับผิดชอบส่วนอื่นๆ มากกว่า อย่างไรก็ตาม รู้สึกเห็นใจเจ้าหน้าที่ ที่มีเวลาค่อนข้างจำกัด และอาจจะขาดความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ โดยเฉพาะการหาราคากลาง อาจจะเกิดการผิดพลาดได้
ด้าน นพ.ประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย และในฐานะประธานกรรมาธิการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ตนได้รับข้อมูลจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องแจ้งมาว่า ได้มีการประมูลที่โรงพยาบาลมหาราช จ.นครราชสีมา โดยมีการล็อกสเปกอีก 714 ล้านบาท และในการเข้าประมูลงาน ซึ่งมีผู้ยื่นประมูลเป็นจำนวนมาก แต่ได้ผู้ประมูลเพียง 3 ราย ซึ่งพบว่าเป็นคนของข้างใน และกำลังจะดำเนินการตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวต่อไป
วานนี้(7ต.ค.) เมื่อเวลา 14.30 น.ที่ห้องรับรองนายกรัฐมนตรี อาคารรัฐสภา 1 นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท ได้เข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จากนั้น นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าวภายหลังการหารือว่า นายกฯได้ประสานงานให้ตนมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการทุจริตงบประมาณโครงการไทยเข้มแข็ง พ.ศ. 2553-2555 ในกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ทั้งหมด โดยนายกฯ เห็นด้วยกับแนวทางและข้อเสนอของแพทย์ชนบทที่เสนอว่าควรจะปรับแก้ และทบทวนในเรื่องราคากลางของสิ่งก่อสร้างและราคาเครื่องมือแพทย์ และเห็นด้วยว่าควรทบทวนในบางพื้นที่ที่มีความจำเป็น และบางรายการที่ไม่ต้องการก็ตัดออกไป
นอกจากนี้ภาพรวมที่กลุ่มแพทย์ชนบทเสนอความคิดเห็นเรื่องราคากลางในส่วนของงบฯ ครุภัณฑ์สิ่งก่อสร้างที่อยู่ในวงเงิน 5 หมื่นล้านบาทเศษน่าจะสูงกว่าปกติถึงร้อยละ 30 ซึ่งนายกฯ ก็เห็นด้วย ส่วนเครื่องมือแพทย์และในบางพื้นที่ที่ไม่ได้ร้องขอแต่มีการจัดลงไปให้ก็จะต้องมีการปรับแก้และบอกให้แจ้งรายละเอียดมาอีกครั้งหนึ่งภายใน 1 สัปดาห์ โดยให้แจ้งตรงกับนายกฯ ไม่ต้องผ่าน รมว.สาธารณสุข
**เปิดชื่อนักการเมืองโกงให้“มาร์ค”
“ผมบอกชื่อจริงผู้ที่พัวพันกับการทุจริตกับนายกฯไปแล้ว มีคนจากทั้ง 2 พรรคที่เกี่ยวข้อง คือ ทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทย ซึ่งนายกฯ พูดตั้งแต่ต้นว่า ถ้าเป็นกรณีของพรรคประชาธิปัตย์จะดำเนินการกันเอง”น.พ.เกรียงศักดิ์กล่าว
เมื่อถามว่า ในส่วนของพรรคภูมิใจไทยต้องแสดงความรับผิดชอบอะไรด้วยหรือไม่ น.พ.เกรียงศักดิ์ กล่าวว่า ถ้าจะแสดงสปิริตเช่นเดียวกับทีมของ รมว.สาธารณสุขน่าจะดีไม่น้อย เพราะในแง่ข้อเท็จจริงมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมีผู้เกี่ยวข้องกันทั้งสองส่วน
เมื่อถามว่ารายงานชื่อนักการเมืองที่เกี่ยวข้องไปกี่ชื่อ น.พ.เกรียงศักดิ์ กล่าวว่า ในส่วนของการเมืองมีทั้งหมดไม่น้อยกว่า 4-5 ชื่อ และบอกนายกฯไปแล้ว แต่ถ้ารวมภาคราชการที่มีระดับสูงพอสมควร ก็เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย เมื่อถามว่า ระดับนักการเมืองสูงถึงระดับรัฐมนตรีเลยหรือไม่ น.พ.เกรียงศักดิ์ กล่าวว่า ขอไม่ตอบ เพราะมันเหลืออีกเล็กน้อยจริงๆ
“ผมไม่ค่อยมั่นใจว่าจะเอาผิดได้ เพราะกรณีเช่นนี้ไม่มีใบเสร็จเป็นทางการ เพียงแต่เป็นข้อมูลที่ตรวจสอบได้และน่าเชื่อถือ ซึ่งโครงการดังกล่าวมีเม็ดเงินค่อนข้างสูง จะปล่อยให้มีการดำเนินการโครงการจนสมบูรณ์ไม่ได้ เพราะค่าเสียหายจะสูง เป็นหมื่นล้านบาท เราจึงเห็นว่าจำเป็นต้องใช้มาตรการป้องปรามโดยมีการประสานเป็นการภายในกับนายกฯ”
**“วิทยา”รับมีไอ้โม่งสั่งล็อกสเปกครุภัณฑ์
นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า การจัดซื้อครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้างถือเป็นเรื่องจำเป็น ตนได้มอบหมายให้แต่ละจังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ ตั้งแต่กำหนดสเปก กำหนดราคาที่เหมาะ โดยให้ตั้งคณะกรรมการบริหารซึ่งต้องมีตัวแทนจากโรงพยาบาลทุกระดับ ทั้ง ร.พ.ชุมชน ร.พ.ศูนย์/ร.พ.ทั่วไป ให้ร่วมเป็นคณะกรรมการด้วย และขอร้องให้ ผอ.โรงพยาบาลให้ความร่วมมือในการแจ้งต่อคณะกรรมการที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่า มีรายการครุภัณฑ์ใดบ้าง ที่ไม่ตรงตามความต้องการแต่ถูกยัดเยียดหรือถูกบังคับให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยูวีแฟน เครื่องออโตเมด ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องรู้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และหาตัวให้ได้ว่าผู้ใดเป็นคนสั่งให้บรรจุรายการนั้นไว้ และมีวัตถุประสงค์ใดที่ทำเช่นนั้น โดยจะตั้งโต๊ะรับเรื่องร้องเรียน ซึ่งสามารถกรอกรายละเอียดรายการที่ไม่ต้องการ รายการที่ไม่ได้ขอ หรือขอแล้วไม่ได้ ให้แจ้งต่อคณะกรรมการเพื่อนำไปสอบสวนต่อไป
นายวิทยา กล่าวต่อว่า ขณะนี้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงได้ตรวจสอบครุภัณฑ์ 6 รายการที่มีข้อสังเกตว่ามีความผิดปกติในการจัดซื้อจัดจ้างมีความคืบหน้าจนเบื้องต้นพบคนผิดแล้ว แต่จะรอให้คณะกรรมการฯ เป็นผู้แถลงรายละเอียดภายหลังสอบสวนทั้งหมด โดยให้คณะกรรมการประชุมทุกวันเพื่อให้ได้ความคืบหน้าเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการทำความผิดเกิดขึ้น เป็นเพียงขั้นตอนของการเตรียมการเท่านั้น
“จากที่ได้รับรายงานทราบว่ามีคนสั่งให้ใส่รายการบางอย่างลงไปจริง แต่ขณะนี้ไม่ขอบอกว่าเป็นผู้ใด อยากให้คณะกรรมการทำงานให้เสร็จสิ้นเสียก่อน”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการตั้งโต๊ะร้องเรียนพบว่าส่วนใหญ่โรงพยาบาลชุมชนจะระบุว่า ไม่ต้องการเครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยแสงอัลตราไวโอเลต โดยจะมีการรวบรวมรายการเพื่อนำให้คณะกรรมการสอบสวนต่อไป
**เตรียมแถลงข้อเท็จจริง12 ต.ค.
ด้าน นพ.เสรี หงษ์หยก ผู้ตรวจราชการ สธ.ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กล่าวว่า ขณะนี้การสอบสวนมีความคืบหน้ามากขึ้น แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ เพราะต้องตรวจสอบให้ครบทุกด้าน รวมถึงจะมีการนำข้อมูลที่ได้จากการตั้งโต๊ะรับร้องเรียนมาพิจารณาด้วย
ด้าน นพ.ไพจิตร์ วราชิต รักษาราชการแทนปลัด สธ.กล่าวว่า ขณะนี้ให้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ทำงานอย่างเต็มที่ คาดว่าวันที่ 12 ต.ค.นี้ จะสามารถสรุปและแถลงให้ทราบผลเบื้องต้นได้
ด้าน นพ.สุชาติ เลาบริพัตร ผอ.สำนักบริหารสาธารณสุขภูมิภาค (สบภ.) กล่าวถึงกระแสข่าวว่าได้ยอมรับกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าเป็นผู้นำเครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยแสงอัลตราไวโอเลตหรือยูวีแฟนเข้าไปอยู่ในรายการครุภัณฑ์โครงการไทยเข้มแข็ง เนื่องจากเป็นคำสั่งจากผู้บริหารระดับสูงกว่าว่า ไม่ขอตอบคำถามใดๆ เพราะได้เข้าให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง กับคณะกรรมการตรวจสอบฯ ทั้งหมดแล้ว
ด้าน นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผอ.สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์(สนย.) กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวว่า ยอมรับในที่ประชุมผู้บริหารระดับสูงของ สธ.ว่า การจัดสรรงบประมาณโครงการไทยเข้มแข็งนั้นเกิดความผิดพลาดหลายอย่างทำให้มีราคาครุภัณฑ์ค่อนข้างแตกต่างกันมากว่า ตนรับผิดชอบในการรวบรวมขั้นตอนสุดท้าย เพื่อเสนอคณะกรรมการกลั่นกรอง ต้องยอมรับว่าไม่มีใครสามารถดูในหลักการได้ทั้งหมด และขอยืนยันว่า ไม่มีใครมาสั่งตนเองได้ หรือจะเอาอะไรมาสอดไส้ครุภัณฑ์ในส่วนที่ตนรับผิดชอบได้ ถ้าจะมีการสั่งหรือการสอดไส้ก็น่าจะเป็นการสั่งเจ้าภาพหน่วยที่รับผิดชอบส่วนอื่นๆ มากกว่า อย่างไรก็ตาม รู้สึกเห็นใจเจ้าหน้าที่ ที่มีเวลาค่อนข้างจำกัด และอาจจะขาดความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ โดยเฉพาะการหาราคากลาง อาจจะเกิดการผิดพลาดได้
ด้าน นพ.ประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย และในฐานะประธานกรรมาธิการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ตนได้รับข้อมูลจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องแจ้งมาว่า ได้มีการประมูลที่โรงพยาบาลมหาราช จ.นครราชสีมา โดยมีการล็อกสเปกอีก 714 ล้านบาท และในการเข้าประมูลงาน ซึ่งมีผู้ยื่นประมูลเป็นจำนวนมาก แต่ได้ผู้ประมูลเพียง 3 ราย ซึ่งพบว่าเป็นคนของข้างใน และกำลังจะดำเนินการตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวต่อไป