“วิทยา” สั่งตั้งโต๊ะรับเรื่องร้องเรียนจากโรงพยาบาลชุมชน เร่งหาคนผิดสอดไส้รายการครุภัณฑ์ ยอมรับมีไอ้โม่งสั่งล็อกสเปกครุภัณฑ์ แต่บอกไม่ได้ คาด วันที่ 12 นี้ คณะกรรมการสอบเครื่องมือร้องเรียน 6 รายการ เตรียมแถลงรายละเอียดเบื้องต้น หมออนามัย-อสม.บุก สธ.ให้กำลังใจ “วิทยา-พิเชฏฐ”
วันนี้ (7 ต.ค.) นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงจากส่วนกลาง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศ ผู้แทนจากสำนักบริหารสาธารณสุขภูมิภาค และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 750 คน เพื่อชี้แจงและมอบนโยบายแนวทางการดำเนินงานพัฒนามาตรฐานโรงพยาบาลชุมชน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ภายใต้โครงการไทยเข้มแข็ง พ.ศ.2553-2555
นายวิทยา กล่าวว่า การจัดซื้อครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้างถือเป็นเรื่องจำเป็น เพราะจากนี้สถานพยาบาลมีภารกิจที่ต้องทำมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า ซึ่งตนอยากให้โครงการจัดซื้อจัดจ้างมีความโปร่งใส โดยได้มอบหมายให้แต่ละจังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ ตั้งแต่กำหนดสเปก กำหนดราคาที่เหมาะ โดยให้ตั้งคณะกรรมการบริหารซึ่งต้องมีตัวแทนจากโรงพยาบาลทุกระดับ ทั้งโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ให้ร่วมเป็นคณะกรรมการ ด้วย
“ขณะนี้คณะที่ปรึกษาของตนลาออกไปหมดแล้ว เหลือเพียงตน และ ผอ.โรงพยาบาลชุมชน ดังนั้น อยากขอร้องให้ ผอ.โรงพยาบาลให้ความร่วมมือในการแจ้งต่อคณะกรรมการที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่า มีรายการครุภัณฑ์ใดบ้าง ที่ไม่ตรงตามความต้องการแต่ยัดเยียด หรือถูกบังคับให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยูวีแฟน เครื่องออโตเมด ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องรู้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และดำเนินการหาตัวให้ได้ว่าผู้ใดเป็นคนสั่งให้บรรจุรายการนั้นๆ ไว้ และมีวัตถุประสงค์ใดที่สั่งการเช่นนั้น โดยจะตั้งโต๊ะรับเรื่องร้องเรียน ซึ่งสามารถกรอกรายละเอียดรายการที่ไม่ต้องการ รายการที่ไม่ได้ขอ หรือขอแล้วไม่ได้ ให้แจ้งต่อคณะกรรมการเพื่อนำไปสอบสวนต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมและตนต้องการทราบว่ามีเจตนาอะไร” นายวิทยา กล่าว
นายวิทยา กล่าวต่อว่า ขณะนี้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงได้ดำเนินการตรวจสอบครุภัณฑ์ 6 รายการ ที่มีข้อสังเกตว่า มีความผิดปกติในการจัดซื้อจัดจ้างมีความคืบหน้าจนเบื้องต้นพบคนผิดแล้ว แต่จะรอให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นผู้แถลงรายละเอียดภายหลังสอบสวนทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ขอให้คณะกรรมการประชุมทุกวันเพื่อให้ได้ความคืบหน้าเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้กระทรวงสาธารณสุขช้ำมากกว่านี้
ต่อข้อถามว่า เมื่อพบว่ามีผู้กระทำผิดแล้วจะดำเนินการอย่างไร นายวิทยา กล่าวว่า จริงๆ แล้วยังไม่มีการทำความผิดเกิดขึ้น เป็นเพียงขั้นตอนของการเตรียมการเท่านั้น หากเป็นข้าราชการที่ยังดำรงตำแหน่งอยู่ ก็จะให้ปลัด สธ.เป็นผู้พิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร แต่หากเป็นข้าราชการที่เกษียณไปแล้ว ก็ต้องพิจารณาตามข้อเท็จและดูข้อกฎหมาย ว่า จะสามารถเอาผิดได้หรือไม่
เมื่อถามว่า การสอบสวนรายการครุภัณฑ์บางอย่างมีผู้สั่งให้ข้าราชการทำหรือไม่ นายวิทยา กล่าวว่า จากที่ได้รับรายงานทราบว่ามีคนสั่งให้ใส่รายการบางอย่างลงไปจริง แต่ขณะนี้ไม่ขอบอกว่าเป็นผู้ใด อยากให้คณะกรรมการทำงานให้เสร็จสิ้นเสียก่อน
ด้านนพ.เสรี หงษ์หยก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กล่าวว่า ขณะนี้การสอบสวนมีความคืบหน้ามากขึ้น แต่ยังไม่สามารถบอกรายละเอียดของการสอบสวนได้ เพราะตามขั้นตอนต้องรายงานต่อปลัดกระทรวงสาธารณสุข ก่อนที่จะรายงานไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่อไป และยังต้องสอบสวนเพิ่มเติมเพราะยังไม่ชัดเจน สมบูรณ์ครบถ้วน ซึ่งการพิจารณาเป็นไปตามเนื้อผ้า ตรงไปตรงมา ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ เพราะต้องตรวจสอบให้ครบทุกด้าน รวมถึงจะมีการนำข้อมูลที่ได้จากการตั้งโต๊ะรับร้องเรียนมาพิจารณาด้วย
ต่อข้อถามว่า หนักใจหรือไม่ในการสอบสวนข้อเท็จจริง นพ.เสรี กล่าวว่า คณะกรรมการที่ร่วมกันทำงานถือว่าเป็นผู้ที่มีความน่าเชื่อถือ ใช้เหตุใช้ผลในการพิจารณา มีความรู้ ดังนั้น ผลการสอบสวนที่ออกมาเชื่อถือได้อย่างแน่นอน และยังไม่มีใครมาข่มขู่ ยังไม่มีการกล่าวโทษใคร สิ่งที่คณะกรรมการพิจารณาเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ส่วนจะดำเนินการอย่างไรไม่ได้เป็นหน้าที่ตน
เมื่อถามว่า หากผู้สั่งการครั้งนี้เป็นข้าราชการที่เกษียณราชการไปแล้วจะสามารถดำเนินการอย่างไรได้หรือไม่ นพ.เสรี กล่าวว่า ตามระเบียบราชการพลเรือน มีระบุไว้ในเรื่องของอายุความ ว่า มีอายุความ 10 ปี หากมีการกระทำผิดและสอบสวนพบ ไม่ใช่เกษียณแล้วจะพ้นผิด สิ่งทำกรรมอะไรไว้ก็จะเป็นไปตามกรรมติดตัวไปถึงอายุ 70 ปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการตั้งโต๊ะร้องเรียนพบว่า ส่วนใหญ่โรงพยาบาลชุมชนจะระบุว่า ไม่ต้องการเครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยแสงอัลตราไวโอเลต โดยจะมีการรวบรวมรายการเพื่อนำให้คณะกรรมการสอบสวนต่อไป
ด้านนพ.ไพจิตร์ วราชิต รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้ให้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ทำงานอย่างเต็มที่ คาดว่าวันจันทร์ที่ 12 ต.ค.นี้ จะสามารถสรุปและแถลงให้ทราบผลเบื้องต้นได้ โดยจะให้คณะกรรมการเป็นผู้ชี้แจงรายละเอียดที่สอบสวนได้ทั้งหมดว่าพบอะไรบ้างจากการสอบสวน ซึ่งจะพิจารณาอย่างละเอียดว่าผู้ที่สอบสวนพบนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องจริงหรือไม่
นพ.วัชรพงศ์ คำหล้า ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเวียงป่าเป้า จ.เชียงราย กล่าวว่า ครุภัณฑ์ทางการแพทย์ที่ทางโรงพยาบาลเสนอขอในโครงการไทยเข้มแข็ง รวมถึงรายการครุภัณฑ์ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) หรือสถานีอนามัยเดิมซึ่งโรงพยาบาลชุมชนทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงไม่มีปัญหา มีเพียงเครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยแสงอัตราไวโอเลต (ยูวี-แฟน) เท่านั้น ที่อยู่ในรายการครุภัณฑ์ 6-7 รายการที่มีการเสนอเป็นข่าวทางสื่อมวลชน ซึ่งทางโรงพยาบาลไม่ได้ขอแต่กลับมีเพิ่มเข้ามาในรายการ อีกทั้งยังมีราคาแพงเกินจริง เพราะจากการที่มีการสอบถามโรงพยาบาลใกล้เคียงพบว่า เครื่องยูวี-แฟนในสเปกใกล้เคียงกันมีราคาเพียง 2-3 หมื่นบาท ขณะที่ราคากลางตั้งไว้ 4 หมื่นบาท
“ช่วงก่อนหน้านี้ มีความสับสนและบอกตรงๆ ว่ากลัว ไม่อยากเข้าไปมีส่วนเกี่ยวของกับการจัดซื้อครุภัณฑ์ต่างๆ เพราะเกรงว่าจะมีการทุจริตแล้วจะเกิดปัญหาตามมา แต่เมื่อได้รับนโยบายจากนายวิทยา และ นพ.ไพจิตร์ ที่เป็นผู้บริหาร มีผู้ใหญ่ดูแลปกป้อง มีกระบวนการ ขั้นตอนชัดเจนแสดงถึงความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ตลอดทำให้มีความมั่นใจมากขึ้น” นพ.วัชรพงศ์ กล่าว
นพ.วัชรพงศ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ในส่วนของโรงพยาบาลไม่เคยได้รับหนังสือเวียนในการสั่งจัดซื้อครุภัณฑ์ใดๆ และไม่มีการโทรศัพท์หรือถูกสั่ง หรือขมขู่ให้ซื้อครุภัณฑ์ ทุกรายการโรงพยาบาลมีสิทธิ์เลือกเอง ไม่ได้จำกัดเหมือนอย่างที่เป็นข่าว เนื่องจากนายแพทยสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายก็มีความกังวลจึงระมัดระวังและเน้นในเรื่องความโปร่งใสให้มากที่สุด ซึ่งตนไม่ได้ออกมาแก้ต่างแทนกระทรวงแต่ไม่อยากเห็นภาพที่เป็นด้านลบของ สธ.
วันเดียวกัน เวลา 13.00 น.กลุ่มตัวแทนหมออนามัยในสถานีอนามัยและอาสาสมัครสาธารณสุขกว่า 200 คน จากกาญจนบุรี นครปฐม ร้อยเอ็ด ราชุบรี นครราชสีมา ชลบุรี เดินทางมาให้กำลังใจ นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข และ นายพิเชฏฐ พัฒนโชติ อดีตที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข ที่เพิ่งประกาศขอลาออกยกทีมไปก่อนหน้านี้ โดยได้ชูป้ายแสดงความชื่นชมและให้กำลังใจพร้อมกับมอบดอกกุหลายให้กับนายวิทยาและนายพิเชฏฐ
นายวิทยา กล่าวในตอนหนึ่งว่า การดำเนินการโครงการไทยเข้มแข็งไม่ใช่มีการเตรียมการฉ้อราษฎร์บังหลวงของบางคนแล้วจะทำให้โครงการดีๆ ที่เป็นนโยบายของรัฐบาลต้องล้มเลิกไป แต่ตนเองจะทำให้โครงการนี้เดินหน้าต่อไปด้วยความโปร่งใส ให้คนในกระทรวงหมอที่ใส่ชุดขาวได้อย่างมีหน้ามีหน้าตา และภาคภูมิใจต่อไปได้อย่างสง่างาม