เพื่อไทย จี้ “มาร์ค” ลากตัวคนทุจริตภายใน ก.สาธารณสุข มาลงโทษ เพื่อความโปร่งใส จวกทีมที่ปรึกษา-เลขาฯ สธ.ออก หวังตัดตอนโยงถึงผู้บงการ แขวะ “หมอน้อย” หากเป็นประเทศเจริญแล้ว ไม่ควรกอดเก้าอี้อยู่ต่อ “วิทยา” เผยผลสอบคืบ ขู่ หากพบผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องได้รับโทษทางวินัย ขณะที่ประธานตรวจสอบข้อเท็จจริงไม่ระบุว่าผู้ที่มีส่วนพัวพันทุจริตโครงการนี้เป็นข้าราชการหรือไม่ ด้าน “มานิต” ยืนยันไม่เคยลงนามคำสั่งซื้ออุปกรณ์แพทย์ ไทยเข้มแข็ง
นพ.ประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคพื่อไทย และในฐานะประธานกรรมาธิการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวชี้แจงต่กรณีการทุจิรตในกระทรวงสาธารณสุข ว่า ตนได้ทำหนังสือชี้แจงต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยบุคคลที่พยายามทุจริตก็ยังไม่ละเลิก วันนี้ ตนได้รับข้อมูลจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องแจ้งมา ว่า ได้มีการประมูลที่โรงพยาบาลมหาราช จ.นครราชสีมา โดยมีการล็อกสเปกอีก 714 ล้านบาท และในการเข้าประมูลงาน ซึ่งมีผู้ยื่นประมูลเป็นจำนวนมาก แม้กระทั่ง 10 บริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศ แต่ก็ไม่สามารถประมูลงานดังกล่าวได้ แต่ได้ผู้ประมูลเพียง 3 ราย ซึ่งพบว่าเป็นคนของข้างใน และกำลังจะดำเนินการตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวต่อไป ส่วนเรื่องการออกมาหนังสือรับรองก็ไม่เคยพบว่า หนังสือระบุว่า “ชั้นใต้ดินที่สร้างเอาไว้นั้น ต้องไม่รั่ว” ซึ่งตนไม่เคยได้ยินคุณสมบัติในเรื่องดังกล่าวมาก่อน และการวางท่อแก๊สทางการแพทย์ ต้องติดตั้งโดยบริษัทผู้ที่ผลิต ซึ่งไม่เคยพบมาก่อนเช่นกัน และเรื่องดังกล่าว จะมีการเปิดซองประมูลงานในวันที่ 13 ต.ค.นี้
นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ปัญหาในการจัดซื้อคุรุภัณฑ์ที่ใช้งบประมาณ 8.6 หมื่นล้านบาท โครงการเอสพี2 ที่เป็นโครงการไทยเข้มแข็งนั้น ซึ่งตนมองว่า เป็นโครงการที่ดี แต่จากการที่ได้เชิญแพทย์ชนบทมาสอบถาม พบว่า แพทย์ชนบทมีความหนักใจ และที่รีบออกมา เพราะป้องกันไม่ให้เกิดมีการทุจริต และในบางโครงการที่ไม่ได้ขอ เช่น ยูวีแฟน ซึ่งตนเป็นหมอมาถึงจนปัจจุบันไม่เคยเห็น โดยส่วนใหญ่จะใช้ในงานวิชาการ ซึ่งราคาไม่แพงมากนัก ประมาณ 4 หมื่นบาท เครื่องช่วยหายใจซื้อได้ในราคา 8 แสนบาท ไม่เกินราคา 1.2 ล้านบาท แต่มีการตั้งราคาอยู่ที่ 1.2-1.5 ล้านบาท และเครื่องทางการแพทย์บางอย่างไม่จำเป็นต้องซื้อ เช่น เครื่องตรวจชีวมวล แต่ปรากฏว่า มีการจัดซื้อในราคา 3 ล้านบาท
ส่วนกรณีการจัดสร้างตึกพักสำหรับเจ้าหน้าที่พยาบาล จำนวน 24 ห้อง ที่มีการจัดซื้อจัดจ้างในราคาไม่เกิน 6.5 ล้านบาท แต่มีการตั้งราคาในการสร้างอยู่ที่9 ล้านบาท แม้แต่รถพยาบาล ที่สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐบาล ที่มีการจัดตั้งราคารถพยาบาลอยู่ที่ 1.7 ล้านบาท กลับบอกว่าเป็นการทุจริต แต่มาสมัยนี้ตั้งราคาอยู่ที่ 1.8 ล้านบาท กับปรากฎว่าไม่เป็นไร ทั้งนี้ ยังมีการสร้างตึกบางตึก พบว่า ใช้งบประมาณในการสร้างจริงเพียง 50 ล้าน แต่กับตั้งราคากลางไว้ที่ 90 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงเกินกว่าความจำเป็น ซึ่งทางแพทย์ชนบทแจ้งมาว่าสามารถลดได้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์
นพ.ประสิทธิ์ ยังได้กล่าวถึงกรณีที่ปรึกษาและเลขาฯกระทรวงสาธารณสุข ประกาศลาออกยกทีม นั้น มองว่า เป็นการตัดตอน ไม่ให้ถึงตัวผู้สั่งการ และอยากฝากถึงนายกรัฐมนตรีให้เอาตัวคนที่คิดจะทุจริต หรือผู้ที่อยู่เบื้องหลังออกมาให้ได้ เพราะเคยสัญญากับประชาชนว่าจะบริหารงานอย่างโปร่งใส แต่ปัจจุบันนี้กับไม่ค่อยโปร่งใส ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในกระทรวงสาธารณสุข
ผู้สื่อข่าวถามว่า ใครเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องในการทุจริตเรื่องดังกล่าว นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นคนในกระทรวงสาธารณสุข ซึ่ง “ต” ก็ออกไปแล้ว เหลือเพียงแต่ “ม” ที่ไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่ถ้าหากตนพูดก็ถือว่าเป็นการใส่ร้าย แต่ตอนนี้คนปฏิบัติได้ออกมาเองชัดเจน ซึ่งกำลังสืบอยู่ แม้ในกระทรวงศึกษาก็มีการทุจริตในลักษณะดังกล่าวเช่นเดียวกัน
เมื่อถามว่า นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข ควรที่จะต้องรับผิดชอบเรื่องดังกล่าวด้วยหรือไม่ นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ความเห็นส่วนตัว หากในประเทศที่เจริญแล้ว ตนคิดว่าต้องพิจารณาตัวเองแล้ว แต่ในประเทศไทยไม่ทราบว่าเป็นยังไง ก็แล้วแต่คน แต่หากเป็นต่างประเทศคงลาออกจากตำแหน่งไปแล้ว ไม่ว่าจะส่อเจตนาทุจริตเพียงเล็กน้อย อย่างประเทศญี่ปุ่นรมว.คลัง แค่สงสัยว่ากินเหล้าเมา ถึงขั้นประกาศลาออก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวิทยาได้ให้สัมภาษณ์เปิดเผยความคืบหน้าผลสอบข้อเท็จจริงโครงการไทยเข้มแข็งว่า หลังจากตั้งคณะกรรมการขึ้น 2 ชุดเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่าคืบหน้าไปมาก ขณะนี้รู้ตัวผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อรายการครุภัณฑ์ทางการแพทย์ และอยู่ระหว่างการหาข้อมูลเพิ่มเพื่อหาความผิดที่ชัดเจน โดยจะมอบให้ปลัด สธ.และทีมสอบสวนข้อเท็จจริงเป็นผู้แถลงข่าวผลการสอบสวน ซึ่งขณะนี้ยังคงรอข้อมูลเพิ่ม เนื่องจากการทุจริตยังถือไม่เกิดขึ้นแต่เป็นการเตรียมการ หากพบใครมีส่วนเกี่ยวข้องต้องได้รับโทษทางวินัย นอกจากนี้ ได้สั่งการให้ชุดตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับครุภัณฑ์ การจัดซื้อเครื่องฆ่าเชื้อโรคแสงอุลตราไวโอเลตระบบปิด หรือยูวีแฟน ที่มี นพ.เสรี หงษ์หยก ผู้ตรวจราชการเป็นประธาน ตั้งโต๊ะรับฟังข้อมูลจากผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศที่เข้าร่วมประชุมรับฟังการชี้แจง และมอบนโยบาย แนวทางการดำเนินงานพัฒนามาตรฐานโรงพยาบาลชุมชนโดยเน้นการรับฟังความต้องการการจัดซื้อครุภัณฑ์ในโครงการไทยเข้มแข็งว่า มีความต้องการครุภัณฑ์ใดและไม่ต้องการครุภัณฑ์ใด เพื่อรวบรวมเป็นข้อมูลประกอบ
ในขณะที่นพ.เสรี กล่าวว่า ขณะนี้สามารถรวบรวมข้อมูล ซึ่งมีความคืบหน้าไปมากแต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ โดยตรวจสอบครุภัณฑ์ทางการแพทย์ 6-7 รายการ บางส่วนเป็นรายการเดิมที่ชมรมแพทย์ชนบทร้องเรียนถึงความไม่ชอบมาพากล และในสัปดาห์หน้าจะรายงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขณะนี้ขอรวบรวมข้อมูลเพิ่มก่อน ส่วนจะมีข้าราชการเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่นั้น ตามระเบียบสำนักงาน ก.พ. แม้แต่ข้าราชการเกษียณอายุที่มีส่วนพัวพันการทุจริตก็จะต้องได้รับโทษ เพราะคดีมีอายุความถึง 10 ปี
อย่างไรก็ตาม ด้านนายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันไม่เคยลงนามคำสั่งจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์ในโครงการไทยเข้มแข็ง ขณะที่ได้เร่ง 4 กรม ในความกำกับดูแล คือ กรมควบคุมโรค กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมการแพทย์แผนไทยและกรมสุขภาพจิต ให้ชี้แจงรายละเอียดการจัดซื้อต่าง ๆ เพื่อความโปร่งใส และจะเปิดเผยกับสื่อมวลชนให้เร็วที่สุด ส่วนกรณีที่ชมรมแพทย์ชนบทเรียกร้องให้ทีมที่ปรึกษาของตนลาออกเพื่อแสดงสปิริต ตามที่ทีมที่ปรึกษาของ รมว. สธ. ลาออกทั้งหมดว่าไม่มีความจำเป็น เพราะยังไม่มีการจัดซื้อใด ๆ เกิดขึ้น
ส่วนกรณีมีผู้เกี่ยวข้องชื่อย่อ ม เป็นผู้ออกคำสั่งจัดซื้อตนก็ยืนยันได้ว่าไม่ใช่ตนแน่นอน เท่าที่ตรวจสอบเบื้องต้นพบเอกสารที่มีลายเซ็นของข้าราชการเท่านั้น และเนื่องจากงบประมาณไทยเข้มแข็งส่วนมากอยู่ที่ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตามหลักการโรงพยาบาลชุมชน หรือโรงพยาบาลในสังกัดฯ จะต้องเสนอซื้อวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ขึ้นมาตามลำดับ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีการสั่งการสวนทางลงไป นายมานิต ยังได้ยกตัวอย่างกรณีน้ำยาฆ่าเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ตนเคยเสนอให้ใช้น้ำผงซักฟอกแทนเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายมาแล้ว