พจนานุกรมไทย-ไทย อ.เปลื้อง ณ นคร อธิบายความหมายของคำว่า “ตู่” ก. กล่าวอ้างเอาของผู้อื่นเขามาเป็นของตัว
“ตู่” แปลตรงๆ ได้ว่า โกหก บิดเบือน
ผมมีเพื่อนและคนรู้จักชื่อ “ตู่” หลายคน แต่ไม่มีใครที่มีชื่อแล้วมีพฤติกรรมสอดคล้องกับชื่อเล่นเลย นั่นอธิบายว่า คนที่ชื่อ “ตู่” ไม่ได้เป็นคนที่ชอบโกหกเสมอไป และนิสัยชอบโกหกนั้นก็อาจมีอยู่ในคนชื่ออื่นๆ ที่ไม่ใช่ชื่อ “ตู่” เพียงแต่ถ้าใครชื่อ “ตู่”และเป็นคนที่ชอบพูดโกหกด้วยแล้ว ก็ดูจะเป็นเรื่องที่สอดคล้องและเหมาะสมกันพอดี
คนที่พ่อแม่ตั้งชื่อเล่นให้ว่า “ตู่” เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วกลายเป็นคนที่ชอบโกหกบิดเบือนเป็นนิสัย กลายเป็นคนที่พูดโกหกหน้าตาย พูดโกหกจนตัวเองก็แยกแยะไม่ได้ว่าอันไหนเรื่องจริงอันไหนเรื่องเท็จ คนคนนั้นต้องเป็นคนที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของสังคมคือ ไม่รู้จักแยกแยะสิ่งดีเลว ชั่วร้ายกว่าคนทำชั่วที่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นชั่ว เพราะคนแบบนี้อย่างน้อยก็ยังรู้อยู่แก่ใจตัวเองว่าชั่ว จิตใต้สำนึกก็ยังตามหลอกหลอนตัวเองอยู่
แต่คนที่ชอบ “ตู่” จนแยกแยะไม่ได้ว่าอะไรดีเลว กล้าลอยหน้าลอยตาพูดโกหกต่อสาธารณะ ทำชั่วแล้วจิตใต้สำนึกก็คงยังบอกว่า ความชั่วที่ตัวเองทำไปนั้นเป็นความดีอยู่เลย คนคนนั้นก็คงยากจะขัดเกลา
แต่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ที่จตุพร พรหมพันธุ์ จะมีชื่อเล่นว่า “ตู่” แม้ว่า ในวัยเยาว์จตุพร จะได้กินข้าวก้นบาตรที่วัดบวรนิเวศฯ เป็นเด็กวัดได้ใกล้ชิดพระพุทธศาสนา วัยเยาว์ของ “ตู่” ในฐานะเด็กวัด น่าจะได้รับการขัดเกลากล่อมเกลาให้รู้จักแยกแยะดีชั่วได้ระดับหนึ่งแล้ว โชคดีของเรา ถ้า “ตู่” จตุพรไม่เป็นเด็กวัดมาก่อน เราอาจได้เจอ “ตู่” ในพฤติกรรมที่หนักหนากว่านี้
การที่ “ตู่” ได้เป็นเด็กวัด จึงฟังได้ว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้โหดร้ายกับโลกและสังคมไทยมากเกินไป แม้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งได้นำพา “ตู่” ไปอยู่ในแวดล้อมของธรรมะในระยะหนึ่งแล้ว จะยังช่วยอะไรได้ไม่มาก ก็ถือว่า เป็นเคราะห์กรรมของโลกที่ต้องเกิดมาอยู่ร่วมกับ “ตู่”
ผมจำได้ว่า เมื่อไม่นานมานี้ มีสื่อมวลชนไปทำข่าว แม่ของ “ตู่” ที่สุราษฎร์ธานี และพี่สาวที่ดูแลแม่ของ “ตู่” เล่าว่า “ตู่” ไม่เคยมาดูแลหรือสนใจไยดีแม่ของตัวเองเลย และฝากบอกให้ “ตู่” กลับเนื้อกลับตัว ตอนนั้น “ตู่” ออกมาตอบโต้ทำนองว่า มายุ่งอะไรกับแม่ของเขา
ความหมายของ “ตู่” ที่พยายามจะตอบโต้น่าจะอยู่ในบริบทว่า เรื่องของเขาแล้วคนอื่นเสือกอะไรด้วย แต่พอเราได้ยิน “ตู่” พูดว่า สิ่งที่เขาทำอยู่นั้นเพื่อประชาธิปไตย เพื่อประเทศชาติ และประชาชน คนก็คงตั้งคำถามว่า ขนาดแม่ตัวเองยังไม่ดูแลแล้วจะเชื่อถือได้อย่างไร
“ตู่” น่าจะอยู่เหนือกฎเกณฑ์ของมนุษย์ เพราะตั้งแต่มนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคม ต้องมาอาศัยอยู่ด้วยกัน จนเกิดเป็นรัฐชาติ และมีสัญญาประชาคม ต้องบัญญัติกฎหมายหรือสร้างกรอบกติกาในการอยู่ร่วมกัน ดูเหมือนว่า สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถใช้ได้กับ “ตู่” เพราะความเป็น “ตู่” ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลกนี้
แต่สังคมคงแปลกใจว่า คนอย่าง “ตู่” อยู่ๆ กลายมาเป็นสมาชิกผู้ทรงเกียรติได้อย่างไร วันนี้ “ตู่” ใช้เวทีรัฐสภา และส.ส.ผู้ทรงเกียรติในการลอยหน้าลอยตาพูดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง ใส่ความและกล่าวหาผู้อื่น
นอกจากนักรัฐศาสตร์จะต้องค้นหาเพื่อจำกัดความหมายคนอย่าง “ตู่” เพื่อกำหนดกฎเกณฑ์ของประชาสังคมใหม่แล้ว นักรัฐศาสตร์ยังต้องตั้งคำถามว่า การที่คนอย่าง “ตู่” สามารถเข้ามาเป็นนักการเมืองผู้ทรงเกียรติในสภาด้วยแล้ว คำว่า ระบอบประชาธิปไตยที่ว่ากันว่า เป็นระบอบเลวน้อยที่สุดนั้นยังคงใช้ได้อยู่หรือไม่
และถ้าจะต้องร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จริงๆ คงต้องเสนอให้ตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาเป็นการเฉพาะ เพื่อป้องกันคนอย่าง “ตู่” เข้าสภา
เพราะดูเหมือนว่า “ตู่” กำลังเข้าใจว่า เขาเป็นนักการเมืองสามารถจะพูดอะไรก็ได้ ไม่ต้องมีข้อเท็จจริงหรืออะไรรองรับ เพราะนักการเมืองพูดโกหกก็เป็นข่าว ส่วนใครจะเสียหายก็ช่างมัน
แต่ความเชื่อเรื่องนักการเมืองพูดโกหกแล้วเป็นข่าวก็ใช่จะไม่มีหลักการรองรับ เพราะสมหมาย ปาริจฉัตต์ แห่งมติชนอธิบายเอาไว้ในคอลัมน์ของเขาว่า การพูดโกหกของแหล่งข่าวต้องเป็นข่าว ความเป็นบุคคลสาธารณะของแหล่งข่าวรายงานให้สังคมรับรู้ว่าเขาโกหกอย่างไร
น่าเสียดายที่พี่สมหมายของผมไม่ได้อธิบายต่อว่า การที่สื่อเอาเรื่องโกหกของแหล่งข่าวมารายงานทั้งที่รู้ว่าเป็นเรื่องโกหก แต่ไม่บอกผู้บริโภคสื่อว่า เรื่องนั้นโกหกเป็นบรรทัดฐานที่ถูกต้องของสื่อมวลชนหรือไม่ แล้วการที่สื่อนำเรื่องโกหกของบุคคลสาธารณะไปขยายความต่อ เอาเรื่องโกหกไปถามต่อๆ กันไปเสมือนไม่ใช่เรื่องโกหกนั้นเป็นสิ่งที่สื่อควรทำหรือไม่
เพราะเข้าใจว่า ความหมายที่พี่สมหมายของผม พยายามอธิบายนั้น คงไม่ได้หมายความว่า บุคคลสาธารณะจะพูดโกหกอย่างไรก็ได้
สัปดาห์ที่ผ่านมา “ตู่” จตุพร ตู่เรื่องเงิน 300 ล้านออกมาว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์สนับสนุนเงิน 300 ล้านให้กับสถานีโทรทัศน์ภาคภาษาอังกฤษ TAN (Thai-Asian News Network) ที่ “แอ้ม” สโรชา พรอุดมศักดิ์ ดูแลอยู่
ผมคิดว่า ข่าวๆ นี้สื่อมวลชนใช้วิจารณญาณตรองหรือสืบค้นได้ไม่ยากว่า เป็นเรื่องจริงหรือเท็จ และผู้เกี่ยวข้องก็ได้ชี้แจงไปแล้ว แต่ก็มีการเอาข่าวตู่ของ “ตู่” มาละเลงกันอย่างสนุกสนาน ซ้ำร้ายยังพยายามเอาไปผูกกับเงินช่วยเหลือยูเสดของสหรัฐอเมริกาได้อีก ได้ยินได้ฟังแล้วก็ได้แต่สงสารคนบริโภคสื่อ
แต่ “ตู่” ก็ยังไม่เลิกตู่สร้างนิยายต่อเนื่องว่า เงินก้อนดังกล่าวเกิดขึ้น เพราะพันธมิตรฯ มีเทปลับ คนหน้าหล่อ มีพฤติกรรมยิ่งกว่าชู้สาวและมีการขยายผลจากนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทยว่า รัฐบาลชุดนี้สุดท้ายจะตายเพราะคลิปผู้ชายหล่ออายุ 45 ปี
แม้ “ตู่” พูดโกหกก็เป็นข่าว
คนแถวนี้ไม่มีใครเคยได้ยินเรื่องเงิน 300 ล้านบาทนั่นมาก่อน และเป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลจะจ่ายเงินให้กับสถานีโทรทัศน์เอกชน และไม่มีใครรู้เรื่องคลิปลับที่ “ตู่” ตู่ขึ้นมาเลย ถ้า “ตู่” มีคลิปลับเทปลับดังกล่าวในมือก็น่าแปลกว่า ทำไม “ตู่” ไม่เอาออกมาเปิดเผยเสียเอง เหมือนที่พันธมิตรฯ เคยเปิดคลิปของจริง “สมชายตู้เย็น” มาแล้ว
ถ้าเราจำกันได้ก่อนหน้านี้ “ตู่” ลุกขึ้นตู่ในสภาเรื่อง สงกรานต์แดงป่วนเมือง ว่ามีคนตายหลายสิบคน ตู่ว่า มือที่สามยิงชาวบ้านนางเลิ้งไม่เกี่ยวกับเสื้อแดง ตู่ว่า ที่ยึดรถเมล์มาเผานั้นเป็นฝีมือของคนที่ต้องการใส่ร้ายเสื้อแดง และตู่ว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้อยู่ในรถวันที่เสื้อแดงบุกไปทุบรถที่มหาดไทย ฯลฯ
แต่สื่อมวลชนก็เอาเรื่องตู่ของ “ตู่” มาขยายความกันอย่างสนุกสนาน เข้าหลักการที่อ้างว่า บุคคลสาธารณะพูดเรื่องโกหกก็เป็นข่าว (ไม่ว่า การรายงานข่าวโกหกชิ้นนั้นจะส่งผลกระทบต่อสังคมหรือผู้อื่นอย่างไร)
น่าตลกกว่านั้นก็คือ ระหว่างที่ผมเขียนต้นฉบับอยู่นี้ เรื่องตู่เงิน 300 ล้านผ่านมาหลายวันแล้ว ยังไม่มีสื่อรายไหนโทร.มาสัมภาษณ์แอ้ม-สโรชาเลย
หรือว่า สื่อยึดหลักการว่า บุคคลสาธารณะพูดเรื่องโกหกก็เป็นข่าว “ตู่” จึงยังเป็นแหล่งข่าวที่ทรงคุณค่าของสื่อ แล้วละทิ้งหลักการทำความจริงให้ปรากฏไปหมดสิ้นแล้ว
surawhisky@hotmail.com
“ตู่” แปลตรงๆ ได้ว่า โกหก บิดเบือน
ผมมีเพื่อนและคนรู้จักชื่อ “ตู่” หลายคน แต่ไม่มีใครที่มีชื่อแล้วมีพฤติกรรมสอดคล้องกับชื่อเล่นเลย นั่นอธิบายว่า คนที่ชื่อ “ตู่” ไม่ได้เป็นคนที่ชอบโกหกเสมอไป และนิสัยชอบโกหกนั้นก็อาจมีอยู่ในคนชื่ออื่นๆ ที่ไม่ใช่ชื่อ “ตู่” เพียงแต่ถ้าใครชื่อ “ตู่”และเป็นคนที่ชอบพูดโกหกด้วยแล้ว ก็ดูจะเป็นเรื่องที่สอดคล้องและเหมาะสมกันพอดี
คนที่พ่อแม่ตั้งชื่อเล่นให้ว่า “ตู่” เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วกลายเป็นคนที่ชอบโกหกบิดเบือนเป็นนิสัย กลายเป็นคนที่พูดโกหกหน้าตาย พูดโกหกจนตัวเองก็แยกแยะไม่ได้ว่าอันไหนเรื่องจริงอันไหนเรื่องเท็จ คนคนนั้นต้องเป็นคนที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของสังคมคือ ไม่รู้จักแยกแยะสิ่งดีเลว ชั่วร้ายกว่าคนทำชั่วที่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นชั่ว เพราะคนแบบนี้อย่างน้อยก็ยังรู้อยู่แก่ใจตัวเองว่าชั่ว จิตใต้สำนึกก็ยังตามหลอกหลอนตัวเองอยู่
แต่คนที่ชอบ “ตู่” จนแยกแยะไม่ได้ว่าอะไรดีเลว กล้าลอยหน้าลอยตาพูดโกหกต่อสาธารณะ ทำชั่วแล้วจิตใต้สำนึกก็คงยังบอกว่า ความชั่วที่ตัวเองทำไปนั้นเป็นความดีอยู่เลย คนคนนั้นก็คงยากจะขัดเกลา
แต่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ที่จตุพร พรหมพันธุ์ จะมีชื่อเล่นว่า “ตู่” แม้ว่า ในวัยเยาว์จตุพร จะได้กินข้าวก้นบาตรที่วัดบวรนิเวศฯ เป็นเด็กวัดได้ใกล้ชิดพระพุทธศาสนา วัยเยาว์ของ “ตู่” ในฐานะเด็กวัด น่าจะได้รับการขัดเกลากล่อมเกลาให้รู้จักแยกแยะดีชั่วได้ระดับหนึ่งแล้ว โชคดีของเรา ถ้า “ตู่” จตุพรไม่เป็นเด็กวัดมาก่อน เราอาจได้เจอ “ตู่” ในพฤติกรรมที่หนักหนากว่านี้
การที่ “ตู่” ได้เป็นเด็กวัด จึงฟังได้ว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้โหดร้ายกับโลกและสังคมไทยมากเกินไป แม้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งได้นำพา “ตู่” ไปอยู่ในแวดล้อมของธรรมะในระยะหนึ่งแล้ว จะยังช่วยอะไรได้ไม่มาก ก็ถือว่า เป็นเคราะห์กรรมของโลกที่ต้องเกิดมาอยู่ร่วมกับ “ตู่”
ผมจำได้ว่า เมื่อไม่นานมานี้ มีสื่อมวลชนไปทำข่าว แม่ของ “ตู่” ที่สุราษฎร์ธานี และพี่สาวที่ดูแลแม่ของ “ตู่” เล่าว่า “ตู่” ไม่เคยมาดูแลหรือสนใจไยดีแม่ของตัวเองเลย และฝากบอกให้ “ตู่” กลับเนื้อกลับตัว ตอนนั้น “ตู่” ออกมาตอบโต้ทำนองว่า มายุ่งอะไรกับแม่ของเขา
ความหมายของ “ตู่” ที่พยายามจะตอบโต้น่าจะอยู่ในบริบทว่า เรื่องของเขาแล้วคนอื่นเสือกอะไรด้วย แต่พอเราได้ยิน “ตู่” พูดว่า สิ่งที่เขาทำอยู่นั้นเพื่อประชาธิปไตย เพื่อประเทศชาติ และประชาชน คนก็คงตั้งคำถามว่า ขนาดแม่ตัวเองยังไม่ดูแลแล้วจะเชื่อถือได้อย่างไร
“ตู่” น่าจะอยู่เหนือกฎเกณฑ์ของมนุษย์ เพราะตั้งแต่มนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคม ต้องมาอาศัยอยู่ด้วยกัน จนเกิดเป็นรัฐชาติ และมีสัญญาประชาคม ต้องบัญญัติกฎหมายหรือสร้างกรอบกติกาในการอยู่ร่วมกัน ดูเหมือนว่า สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถใช้ได้กับ “ตู่” เพราะความเป็น “ตู่” ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลกนี้
แต่สังคมคงแปลกใจว่า คนอย่าง “ตู่” อยู่ๆ กลายมาเป็นสมาชิกผู้ทรงเกียรติได้อย่างไร วันนี้ “ตู่” ใช้เวทีรัฐสภา และส.ส.ผู้ทรงเกียรติในการลอยหน้าลอยตาพูดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง ใส่ความและกล่าวหาผู้อื่น
นอกจากนักรัฐศาสตร์จะต้องค้นหาเพื่อจำกัดความหมายคนอย่าง “ตู่” เพื่อกำหนดกฎเกณฑ์ของประชาสังคมใหม่แล้ว นักรัฐศาสตร์ยังต้องตั้งคำถามว่า การที่คนอย่าง “ตู่” สามารถเข้ามาเป็นนักการเมืองผู้ทรงเกียรติในสภาด้วยแล้ว คำว่า ระบอบประชาธิปไตยที่ว่ากันว่า เป็นระบอบเลวน้อยที่สุดนั้นยังคงใช้ได้อยู่หรือไม่
และถ้าจะต้องร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จริงๆ คงต้องเสนอให้ตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมาเป็นการเฉพาะ เพื่อป้องกันคนอย่าง “ตู่” เข้าสภา
เพราะดูเหมือนว่า “ตู่” กำลังเข้าใจว่า เขาเป็นนักการเมืองสามารถจะพูดอะไรก็ได้ ไม่ต้องมีข้อเท็จจริงหรืออะไรรองรับ เพราะนักการเมืองพูดโกหกก็เป็นข่าว ส่วนใครจะเสียหายก็ช่างมัน
แต่ความเชื่อเรื่องนักการเมืองพูดโกหกแล้วเป็นข่าวก็ใช่จะไม่มีหลักการรองรับ เพราะสมหมาย ปาริจฉัตต์ แห่งมติชนอธิบายเอาไว้ในคอลัมน์ของเขาว่า การพูดโกหกของแหล่งข่าวต้องเป็นข่าว ความเป็นบุคคลสาธารณะของแหล่งข่าวรายงานให้สังคมรับรู้ว่าเขาโกหกอย่างไร
น่าเสียดายที่พี่สมหมายของผมไม่ได้อธิบายต่อว่า การที่สื่อเอาเรื่องโกหกของแหล่งข่าวมารายงานทั้งที่รู้ว่าเป็นเรื่องโกหก แต่ไม่บอกผู้บริโภคสื่อว่า เรื่องนั้นโกหกเป็นบรรทัดฐานที่ถูกต้องของสื่อมวลชนหรือไม่ แล้วการที่สื่อนำเรื่องโกหกของบุคคลสาธารณะไปขยายความต่อ เอาเรื่องโกหกไปถามต่อๆ กันไปเสมือนไม่ใช่เรื่องโกหกนั้นเป็นสิ่งที่สื่อควรทำหรือไม่
เพราะเข้าใจว่า ความหมายที่พี่สมหมายของผม พยายามอธิบายนั้น คงไม่ได้หมายความว่า บุคคลสาธารณะจะพูดโกหกอย่างไรก็ได้
สัปดาห์ที่ผ่านมา “ตู่” จตุพร ตู่เรื่องเงิน 300 ล้านออกมาว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์สนับสนุนเงิน 300 ล้านให้กับสถานีโทรทัศน์ภาคภาษาอังกฤษ TAN (Thai-Asian News Network) ที่ “แอ้ม” สโรชา พรอุดมศักดิ์ ดูแลอยู่
ผมคิดว่า ข่าวๆ นี้สื่อมวลชนใช้วิจารณญาณตรองหรือสืบค้นได้ไม่ยากว่า เป็นเรื่องจริงหรือเท็จ และผู้เกี่ยวข้องก็ได้ชี้แจงไปแล้ว แต่ก็มีการเอาข่าวตู่ของ “ตู่” มาละเลงกันอย่างสนุกสนาน ซ้ำร้ายยังพยายามเอาไปผูกกับเงินช่วยเหลือยูเสดของสหรัฐอเมริกาได้อีก ได้ยินได้ฟังแล้วก็ได้แต่สงสารคนบริโภคสื่อ
แต่ “ตู่” ก็ยังไม่เลิกตู่สร้างนิยายต่อเนื่องว่า เงินก้อนดังกล่าวเกิดขึ้น เพราะพันธมิตรฯ มีเทปลับ คนหน้าหล่อ มีพฤติกรรมยิ่งกว่าชู้สาวและมีการขยายผลจากนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทยว่า รัฐบาลชุดนี้สุดท้ายจะตายเพราะคลิปผู้ชายหล่ออายุ 45 ปี
แม้ “ตู่” พูดโกหกก็เป็นข่าว
คนแถวนี้ไม่มีใครเคยได้ยินเรื่องเงิน 300 ล้านบาทนั่นมาก่อน และเป็นไปไม่ได้ที่รัฐบาลจะจ่ายเงินให้กับสถานีโทรทัศน์เอกชน และไม่มีใครรู้เรื่องคลิปลับที่ “ตู่” ตู่ขึ้นมาเลย ถ้า “ตู่” มีคลิปลับเทปลับดังกล่าวในมือก็น่าแปลกว่า ทำไม “ตู่” ไม่เอาออกมาเปิดเผยเสียเอง เหมือนที่พันธมิตรฯ เคยเปิดคลิปของจริง “สมชายตู้เย็น” มาแล้ว
ถ้าเราจำกันได้ก่อนหน้านี้ “ตู่” ลุกขึ้นตู่ในสภาเรื่อง สงกรานต์แดงป่วนเมือง ว่ามีคนตายหลายสิบคน ตู่ว่า มือที่สามยิงชาวบ้านนางเลิ้งไม่เกี่ยวกับเสื้อแดง ตู่ว่า ที่ยึดรถเมล์มาเผานั้นเป็นฝีมือของคนที่ต้องการใส่ร้ายเสื้อแดง และตู่ว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้อยู่ในรถวันที่เสื้อแดงบุกไปทุบรถที่มหาดไทย ฯลฯ
แต่สื่อมวลชนก็เอาเรื่องตู่ของ “ตู่” มาขยายความกันอย่างสนุกสนาน เข้าหลักการที่อ้างว่า บุคคลสาธารณะพูดเรื่องโกหกก็เป็นข่าว (ไม่ว่า การรายงานข่าวโกหกชิ้นนั้นจะส่งผลกระทบต่อสังคมหรือผู้อื่นอย่างไร)
น่าตลกกว่านั้นก็คือ ระหว่างที่ผมเขียนต้นฉบับอยู่นี้ เรื่องตู่เงิน 300 ล้านผ่านมาหลายวันแล้ว ยังไม่มีสื่อรายไหนโทร.มาสัมภาษณ์แอ้ม-สโรชาเลย
หรือว่า สื่อยึดหลักการว่า บุคคลสาธารณะพูดเรื่องโกหกก็เป็นข่าว “ตู่” จึงยังเป็นแหล่งข่าวที่ทรงคุณค่าของสื่อ แล้วละทิ้งหลักการทำความจริงให้ปรากฏไปหมดสิ้นแล้ว
surawhisky@hotmail.com