ภาพความงามของสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เชิญชวนให้คนไปลงคะแนนให้เธอกลายเป็นดาวเด่นของพรรคพลังธรรมอย่างไรในยุคย่างก้าวเข้าสู่การเมืองนั้น ภาพหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็สามารถบวกคะแนนพิศวาสให้เขาไปไม่น้อยในการเลือกตั้งครั้งแรก
หนุ่มๆ หลงใหลความงามของสุดารัตน์ เช่นเดียวกับสาวๆ ที่หลงใหลในความรูปหล่อของพ่อมาร์ค
บัดนี้ภาพความงามของสุดารัตน์นั้นพิสูจน์แล้วว่า เป็นเพียงภาพลักษณ์ที่ปรากฏอยู่ภายนอก ความงามนั้นไม่ได้ดูกันแค่ใบหน้า กาลเวลาจะปอกเปลือกให้เห็นภายในได้อย่างล่อนจ้อน กลายเป็นตัวอย่างอันงดงามว่า อย่าตัดสินคนกันที่ภาพลักษณ์ภายนอก
เราพิสูจน์สุดารัตน์ไปแล้ว และเรากำลังพิสูจน์อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ดูเหมือนว่า ย่างก้าวของอภิสิทธิ์นั้นมีจังหวะจะโคน คุณวุฒิ ชาติวุฒิ ภาพลักษณ์ คมคิด และลีลาฝีปากอันคมคายนั้น ฉายแววให้เห็นตั้งแต่วันแรกที่ย่างก้าวเข้าสู่การเมืองว่า เขาเป็นคนหนุ่มที่มีอนาคต
แม้ว่า ในเวลาต่อมาเขาก้าวขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีที่ไม่มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เราสิ้นหวังในตัวเขา
ตอนนั้นทุกคนทำนายว่า เขาจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ในอนาคต และแล้วเขาก็ก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งนั้นเร็วกว่าที่คิด แน่นอนว่า การขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในเวลาต่อมาทำให้หลายคนคาดหวังว่า เขาอาจจะก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีในวันใดวันหนึ่ง
แต่ตอนที่ทักษิณยังมีอำนาจและประชาสังคมหลงเคลิ้มด้วยมนต์ประชานิยมของเขา ไม่มีใครคิดว่า ความหวังบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของอภิสิทธิ์จะก้าวมาเร็วอย่างที่คาด
ในตอนนั้นผมเคยคิดและเขียนว่า ต่อให้ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีไปสัก 20 ปีดังที่เขาประกาศไว้ ก็ไม่สายเกินไปสำหรับอภิสิทธิ์ แต่สุดท้ายอภิสิทธิ์ก็ไม่ต้องรอนานขนาดนั้น
เพราะพลันที่เกิด “ปรากฏการณ์สนธิ” แล้วก่อให้เกิดพลังเงียบที่ตื่นตัวทางการเมืองในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ลุกขึ้นมาเรือนแสนเรือนล้าน ต่อสู้กับทุนนิยมฉ้อฉลที่โกงกินชาติบ้านเมือง แล้วกระชากตัวตนที่แท้จริงของทักษิณและระบอบทักษิณให้ประจักษ์ต่อสายตาของสาธารณชน ความหวังของอภิสิทธิ์ก็มาเร็วกว่าที่คาด
วันนี้อภิสิทธิ์ในวัย 44 กลายเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย แต่หลังบริหารประเทศไปเพียงไม่กี่เดือน คะแนนความนิยมของเขาค่อยลดลงไปเรื่อยๆ ด้วยข่าวคราวของการทุจริตคอร์รัปชันและการต่อรองผลประโยชน์ในรัฐบาล
ดูเหมือนว่า เขาแบกรัฐบาลทั้งคณะอยู่บนหลังของตัวเอง ด้วยต้นทุนบารมีที่สังคมมอบความไว้วางใจและให้ความเชื่อมั่นในตัวเขา โดยที่เขาอาจไม่รู้ตัวว่า น้ำหนักที่กดทับอยู่บนตัวเขานั้นทำให้หลังของเขาโง้งต่ำลงทุกวัน
ผลงานของรัฐบาลหลายเดือนมานี้ ดูห่างไกลกับคำมั่นที่เขาประกาศไว้หนักแน่นในวันที่รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
เราคงจำวาทะอันงดงามของเขาได้หลังรับสนองพระบรมราชโองการว่า เขาจะยุติการเมืองที่ล้มเหลว จะนำประสบการณ์ ความรู้ทั้งหมดมาใช้บนพื้นฐานความซื่อสัตย์ สุจริต เพื่อรับใช้ประโยชน์ส่วนรวมเท่านั้น และขอยืนยันต่อประชาชนว่า เขาจะไม่ละทิ้งอุดมการณ์ในการทำงานและไม่ปล่อยให้สูญหายไปกับการใช้อำนาจไม่ถูกต้อง
แต่วาทะอันงดงามของเขานั้น ถูกพิสูจน์ด้วยการกระทำในเวลาต่อมา และกำลังทำให้ผมประหวั่นพรั่นพรึงว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กำลังเดินซ้ำรอยชวน หลีกภัย ที่หลายคนบอกว่า เป็นชวน เชื่องช้า และไม่กล้าตัดสินใจ และเวลาต่อมาโรคเบื่อพรรคประชาธิปัตย์ก็กลายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งให้ทักษิณชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น
เพราะคนเขากำลังกล่าวหากันเสียงดังในเวลานี้ว่า รัฐบาลทำงานไม่เป็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม และเสียงครหาเรื่องผลประโยชน์ก็ดังอึงมี่อยู่ในเวลานี้ว่า กระทรวงที่แบ่งปันกันไปในพรรคร่วมรัฐบาลนั้น กลายเป็นฐานในการแบ่งอาณาเขตหาผลประโยชน์ เพื่อเร่งหาทุนรอนเสบียงคลังไว้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
อภิสิทธิ์ไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงภาพลักษณ์ของผู้นำที่กล้าตัดสินใจ แต่กลับปล่อยให้พรรคร่วมรัฐบาลใช้ภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรีในการการันตีความสะอาดบริสุทธิ์ เหมือนยอมให้พรรคร่วมทำนาบนหลังตัวเองไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลประโยชน์ในการย้ายสนามบิน เรื่องรถเมล์เน่า และผลประโยชน์ในกระทรวงต่างๆ ที่อภิสิทธิ์ปล่อยให้พรรคร่วมตั้งโต๊ะหาประโยชน์ตามลำพัง
รวมถึงจุดยืนที่แตกต่างระหว่างตอนเป็นฝ่ายค้านและรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ รถเมล์ หรือเรื่องหวย
ราวกับว่า ปรารถนาเพียงอย่างเดียว คือ การยกมือสนับสนุนรัฐบาลเพื่อรักษาเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเอาไว้ หลายเรื่องไม่ได้แสดงให้เห็นถึงการกล้าตัดสินใจที่ยึดโยงกับผลประโยชน์ของประชาชน นอกจากการซื้อเวลาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของพรรคร่วมและเสถียรภาพของรัฐบาล
กระทั่งคำถามเรื่องความโปร่งใสกรณีเช็คเปล่า 4 แสนล้านบาท ในนามของ พ.ร.ก.กู้เงิน ก็ถูกอภิสิทธิ์ใช้ต้นทุนของเขาในการการันตีแทนคำตอบที่เป็นรูปธรรม
อีกประโยคหนึ่งที่ผมจำได้ในวันที่อภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีวันแรก เขาพูดว่า “คนคนหนึ่งไม่สามารถทำทุกอย่างได้ ไม่สามารถทำให้คนมารัก หรือสนับสนุนได้ทุกคน แต่ขอยืนยันว่าจะฟังเสียงทุกคนและทำงานให้ทุกคน จะใช้การทำงานไปสู่ความตั้งใจในการทำงานให้พี่น้องคนไทยทุกคน ให้เป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง”
ผมอยากบอกว่า วันนี้ อภิสิทธิ์ไม่เพียงแต่ไม่สามารถทำให้คนที่ไม่รักเขา หันมารักเขาได้เท่านั้น แต่เขากลับทำให้คนที่รักเขาตั้งคำถามกับตัวเขาเองด้วย
ด้วยรักและยังหวังในตัวอภิสิทธิ์ บอกตรงๆ ว่า ผมพยายามติดตามการทำงานของนายกรัฐมนตรี เพื่อให้กำลังใจ แต่กลับพบว่า หมายการทำงานของนายกรัฐมนตรีในระยะไม่กี่เดือนมานี้ เต็มไปด้วยการกล่าวปาฐกถา สุนทรพจน์ การเดินทางไปเป็นประธานเปิดงานของกระทรวงทบวงกรมต่างๆ
งานเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ไม่จำเป็นต้องใช้นายกรัฐมนตรีแต่ใช้เจ้ากระทรวงนั้นแทนก็ได้ ผมคงไม่ต้องจำแนกแจกแจงว่ามีงานอะไรบ้าง เพราะนายกรัฐมนตรีย่อมจะรู้ดีกว่าคนอื่น ลองย้อนไปดูว่า บางวันท่านต้องกล่าวปาฐกถาถึง 2-3 ครั้งใช่หรือไม่ หรือบางวันต้องวิ่งรอกไปเปิดป้ายงานโน้นงานนี้ตั้งหลายงาน
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า วันนี้ยังไม่สายเกินไปสำหรับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ผมคิดว่า อภิสิทธิ์ยังเหลือทุนรอนที่สังคมเชื่อมั่นและตั้งความหวังในการแสดงความกล้าหาญทางการเมือง และกล้าตัดสินใจต่อสู้กับความชั่วร้ายที่ใช้ภาพลักษณ์ของเขาในการอำพรางผลประโยชน์
หวังว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังเป็นอภิสิทธิ์ที่สังคมคาดหวัง เหมือนการมองเห็นความดีความงามจากภาพลักษณ์ภายนอก แล้วสะท้อนความดีงามภายในออกมา
และผมคงยังเชื่อมั่นได้ว่า อภิสิทธิ์จะยึดโยงผลประโยชน์ของประชาชนมากกว่าเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของตัวเอง
surawhisky@hotmail.com
หนุ่มๆ หลงใหลความงามของสุดารัตน์ เช่นเดียวกับสาวๆ ที่หลงใหลในความรูปหล่อของพ่อมาร์ค
บัดนี้ภาพความงามของสุดารัตน์นั้นพิสูจน์แล้วว่า เป็นเพียงภาพลักษณ์ที่ปรากฏอยู่ภายนอก ความงามนั้นไม่ได้ดูกันแค่ใบหน้า กาลเวลาจะปอกเปลือกให้เห็นภายในได้อย่างล่อนจ้อน กลายเป็นตัวอย่างอันงดงามว่า อย่าตัดสินคนกันที่ภาพลักษณ์ภายนอก
เราพิสูจน์สุดารัตน์ไปแล้ว และเรากำลังพิสูจน์อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ดูเหมือนว่า ย่างก้าวของอภิสิทธิ์นั้นมีจังหวะจะโคน คุณวุฒิ ชาติวุฒิ ภาพลักษณ์ คมคิด และลีลาฝีปากอันคมคายนั้น ฉายแววให้เห็นตั้งแต่วันแรกที่ย่างก้าวเข้าสู่การเมืองว่า เขาเป็นคนหนุ่มที่มีอนาคต
แม้ว่า ในเวลาต่อมาเขาก้าวขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีที่ไม่มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เราสิ้นหวังในตัวเขา
ตอนนั้นทุกคนทำนายว่า เขาจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ในอนาคต และแล้วเขาก็ก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งนั้นเร็วกว่าที่คิด แน่นอนว่า การขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในเวลาต่อมาทำให้หลายคนคาดหวังว่า เขาอาจจะก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีในวันใดวันหนึ่ง
แต่ตอนที่ทักษิณยังมีอำนาจและประชาสังคมหลงเคลิ้มด้วยมนต์ประชานิยมของเขา ไม่มีใครคิดว่า ความหวังบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของอภิสิทธิ์จะก้าวมาเร็วอย่างที่คาด
ในตอนนั้นผมเคยคิดและเขียนว่า ต่อให้ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีไปสัก 20 ปีดังที่เขาประกาศไว้ ก็ไม่สายเกินไปสำหรับอภิสิทธิ์ แต่สุดท้ายอภิสิทธิ์ก็ไม่ต้องรอนานขนาดนั้น
เพราะพลันที่เกิด “ปรากฏการณ์สนธิ” แล้วก่อให้เกิดพลังเงียบที่ตื่นตัวทางการเมืองในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ลุกขึ้นมาเรือนแสนเรือนล้าน ต่อสู้กับทุนนิยมฉ้อฉลที่โกงกินชาติบ้านเมือง แล้วกระชากตัวตนที่แท้จริงของทักษิณและระบอบทักษิณให้ประจักษ์ต่อสายตาของสาธารณชน ความหวังของอภิสิทธิ์ก็มาเร็วกว่าที่คาด
วันนี้อภิสิทธิ์ในวัย 44 กลายเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย แต่หลังบริหารประเทศไปเพียงไม่กี่เดือน คะแนนความนิยมของเขาค่อยลดลงไปเรื่อยๆ ด้วยข่าวคราวของการทุจริตคอร์รัปชันและการต่อรองผลประโยชน์ในรัฐบาล
ดูเหมือนว่า เขาแบกรัฐบาลทั้งคณะอยู่บนหลังของตัวเอง ด้วยต้นทุนบารมีที่สังคมมอบความไว้วางใจและให้ความเชื่อมั่นในตัวเขา โดยที่เขาอาจไม่รู้ตัวว่า น้ำหนักที่กดทับอยู่บนตัวเขานั้นทำให้หลังของเขาโง้งต่ำลงทุกวัน
ผลงานของรัฐบาลหลายเดือนมานี้ ดูห่างไกลกับคำมั่นที่เขาประกาศไว้หนักแน่นในวันที่รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
เราคงจำวาทะอันงดงามของเขาได้หลังรับสนองพระบรมราชโองการว่า เขาจะยุติการเมืองที่ล้มเหลว จะนำประสบการณ์ ความรู้ทั้งหมดมาใช้บนพื้นฐานความซื่อสัตย์ สุจริต เพื่อรับใช้ประโยชน์ส่วนรวมเท่านั้น และขอยืนยันต่อประชาชนว่า เขาจะไม่ละทิ้งอุดมการณ์ในการทำงานและไม่ปล่อยให้สูญหายไปกับการใช้อำนาจไม่ถูกต้อง
แต่วาทะอันงดงามของเขานั้น ถูกพิสูจน์ด้วยการกระทำในเวลาต่อมา และกำลังทำให้ผมประหวั่นพรั่นพรึงว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กำลังเดินซ้ำรอยชวน หลีกภัย ที่หลายคนบอกว่า เป็นชวน เชื่องช้า และไม่กล้าตัดสินใจ และเวลาต่อมาโรคเบื่อพรรคประชาธิปัตย์ก็กลายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งให้ทักษิณชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น
เพราะคนเขากำลังกล่าวหากันเสียงดังในเวลานี้ว่า รัฐบาลทำงานไม่เป็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม และเสียงครหาเรื่องผลประโยชน์ก็ดังอึงมี่อยู่ในเวลานี้ว่า กระทรวงที่แบ่งปันกันไปในพรรคร่วมรัฐบาลนั้น กลายเป็นฐานในการแบ่งอาณาเขตหาผลประโยชน์ เพื่อเร่งหาทุนรอนเสบียงคลังไว้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
อภิสิทธิ์ไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงภาพลักษณ์ของผู้นำที่กล้าตัดสินใจ แต่กลับปล่อยให้พรรคร่วมรัฐบาลใช้ภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรีในการการันตีความสะอาดบริสุทธิ์ เหมือนยอมให้พรรคร่วมทำนาบนหลังตัวเองไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลประโยชน์ในการย้ายสนามบิน เรื่องรถเมล์เน่า และผลประโยชน์ในกระทรวงต่างๆ ที่อภิสิทธิ์ปล่อยให้พรรคร่วมตั้งโต๊ะหาประโยชน์ตามลำพัง
รวมถึงจุดยืนที่แตกต่างระหว่างตอนเป็นฝ่ายค้านและรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ รถเมล์ หรือเรื่องหวย
ราวกับว่า ปรารถนาเพียงอย่างเดียว คือ การยกมือสนับสนุนรัฐบาลเพื่อรักษาเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเอาไว้ หลายเรื่องไม่ได้แสดงให้เห็นถึงการกล้าตัดสินใจที่ยึดโยงกับผลประโยชน์ของประชาชน นอกจากการซื้อเวลาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของพรรคร่วมและเสถียรภาพของรัฐบาล
กระทั่งคำถามเรื่องความโปร่งใสกรณีเช็คเปล่า 4 แสนล้านบาท ในนามของ พ.ร.ก.กู้เงิน ก็ถูกอภิสิทธิ์ใช้ต้นทุนของเขาในการการันตีแทนคำตอบที่เป็นรูปธรรม
อีกประโยคหนึ่งที่ผมจำได้ในวันที่อภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีวันแรก เขาพูดว่า “คนคนหนึ่งไม่สามารถทำทุกอย่างได้ ไม่สามารถทำให้คนมารัก หรือสนับสนุนได้ทุกคน แต่ขอยืนยันว่าจะฟังเสียงทุกคนและทำงานให้ทุกคน จะใช้การทำงานไปสู่ความตั้งใจในการทำงานให้พี่น้องคนไทยทุกคน ให้เป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง”
ผมอยากบอกว่า วันนี้ อภิสิทธิ์ไม่เพียงแต่ไม่สามารถทำให้คนที่ไม่รักเขา หันมารักเขาได้เท่านั้น แต่เขากลับทำให้คนที่รักเขาตั้งคำถามกับตัวเขาเองด้วย
ด้วยรักและยังหวังในตัวอภิสิทธิ์ บอกตรงๆ ว่า ผมพยายามติดตามการทำงานของนายกรัฐมนตรี เพื่อให้กำลังใจ แต่กลับพบว่า หมายการทำงานของนายกรัฐมนตรีในระยะไม่กี่เดือนมานี้ เต็มไปด้วยการกล่าวปาฐกถา สุนทรพจน์ การเดินทางไปเป็นประธานเปิดงานของกระทรวงทบวงกรมต่างๆ
งานเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ไม่จำเป็นต้องใช้นายกรัฐมนตรีแต่ใช้เจ้ากระทรวงนั้นแทนก็ได้ ผมคงไม่ต้องจำแนกแจกแจงว่ามีงานอะไรบ้าง เพราะนายกรัฐมนตรีย่อมจะรู้ดีกว่าคนอื่น ลองย้อนไปดูว่า บางวันท่านต้องกล่าวปาฐกถาถึง 2-3 ครั้งใช่หรือไม่ หรือบางวันต้องวิ่งรอกไปเปิดป้ายงานโน้นงานนี้ตั้งหลายงาน
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า วันนี้ยังไม่สายเกินไปสำหรับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ผมคิดว่า อภิสิทธิ์ยังเหลือทุนรอนที่สังคมเชื่อมั่นและตั้งความหวังในการแสดงความกล้าหาญทางการเมือง และกล้าตัดสินใจต่อสู้กับความชั่วร้ายที่ใช้ภาพลักษณ์ของเขาในการอำพรางผลประโยชน์
หวังว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังเป็นอภิสิทธิ์ที่สังคมคาดหวัง เหมือนการมองเห็นความดีความงามจากภาพลักษณ์ภายนอก แล้วสะท้อนความดีงามภายในออกมา
และผมคงยังเชื่อมั่นได้ว่า อภิสิทธิ์จะยึดโยงผลประโยชน์ของประชาชนมากกว่าเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของตัวเอง
surawhisky@hotmail.com