xs
xsm
sm
md
lg

หยุดทำร้ายประเทศไทย(ขออ้วก)

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

ผมเห็นกลุ่มคนที่ออกเสนอหน้ากับแคมเปญ "หยุดทำร้ายประเทศไทย"แล้วอยากจะอ้วก เพราะนอกจากผมเห็นว่า พวกเขานั่นแหละที่เป็นส่วนหนึ่งที่กำลังทำร้ายประเทศไทย กรรมวิธีที่ออกมาพูดมาจาก็ทำให้ดูราวกับว่า พวกเขาเป็นพวกบินเหนือ ดี เด่น ดัง เก่งกว่าใครๆในประเทศนี้

อะไรคือ ต้นตอปัญหาของประเทศไทย ปฏิญญาแปดเก้าข้อที่พวกเขายกมาอ้างเพื่อให้คนปฏิญาณหรือ ปฏิญญานี้ได้รับการถกเถียงหาข้อสรุปมาหรือยัง หรือเพราะพวกเขาเป็นผู้ทรงภูมิกว่าใครจึงสามารถหาข้อสรุปมาได้อย่างมักง่ายเช่นนั้น

ผมกล่าวเช่นนี้ไม่ได้หมายจะตำหนิคนที่ออกมาร่วมรณรงค์ตามที่องค์กรต่างๆจัดขึ้น เพราะรู้ว่าส่วนใหญ่นั้นถูกเกณฑ์มาโปกธงชาติ และส่วนหนึ่งก็เห็นว่า การ "หยุดทำร้ายประเทศไทย"เป็นเรื่องที่ดี

แต่อาจไม่ทันใส่ใจที่จะตั้งคำถามว่า ใครคือคนที่ควรหยุด ใครคือคนที่ทำร้ายประเทศอยู่ในขณะนี้

เหมือนกับถ้ามีใครมาถามผมว่า หยุดทำร้ายประเทศไทยดีไหม ผมก็ต้องตอบว่า ดี แต่เราจะโน้มนำสังคมให้ออกมาร่วมรณรงค์ เราก็ควรจะต้องให้สังคมเขารู้เหตุผลและสาเหตุที่แท้จริง ไม่ใช่ปฏิญญาแบบกำกวมเล่นลิ้นและนึกว่าเท่อย่างที่ไม่รู้ใครไปนั่งร่างมา

แต่อย่าบอกว่านี่คือ พลังเงียบ เพราะพลังเงียบนั้นตื่นมาตั้งแต่การลุกขึ้นมาขับไล่ระบอบทักษิณตั้งแต่ปี 2549 แล้ว ลองย้อนกลับไปดูซิครับ คนที่เข้าร่วมกับพันธมิตรฯในครั้งนั้น ส่วนใหญ่เป็นพ่อบ้าน แม่บ้าน พ่อค้าแม่ขายที่ไม่เคยตื่นตัวกับการเมืองมาก่อน แต่เมื่อพวกเขาไม่อาจทนกับการเมืองแบบทักษิณได้จึงขอออกมาชุมนุมขับไล่

ย่อมไม่ใช่พลังเงียบแบบคนกลุ่มหนึ่งออกมาสวมเสื้อสีขาว(รวมถึงขวัญชัย ไพรพนา และก่อแก้ว พิกุลทอง ที่เพิ่มนำคนก่อจลาจลเผาบ้านเผาเมืองมา) แล้วชี้นิ้วกราดไปทั่ว หรือเหวี่ยงแหว่า คนสองกลุ่มที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองอยู่ในขณะนี้กำลังทำร้ายประเทศไทย โดยไม่ได้แยกแยะว่า แต่ละกลุ่มนั้นออกมาทำไม เรียกร้องและต่อสู้เพื่อใคร

แม้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศที่ได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างเพียงพอจะมีความรู้ความเข้าใจต่อปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นในระยะ 3-4 ปีมานี้ และมีความรู้ทางการเมืองมากกว่าคนที่มีมาเรียงหน้าทำแคมเปญแบบจอมปลอมนี้ แต่ก็อาจทำให้มีบางคนบางกลุ่มเข้าใจผิดว่า การเคลื่อนไหวและการแสดงออกทางการเมืองนั้น เป็นการทำร้ายประเทศไทยไปเสียทุกเรื่อง

ผมอ่านปฏิญญา 9 ข้อนี้ แล้ว หวั่นว่า ต่อไปนี้หากใครออกมาชุมนุมทางการเมืองก็อาจจะถูกเหมารวมโดยง่ายว่า เป็นผู้ทำร้ายประเทศไทย แม้ว่าการชุมนุมนั้นจะเป็นการออกมาขับไล่รัฐบาลที่ฉ้อฉล ปล้นชาติบ้านเมือง

ผมกลัวว่า การออกมาขับไล่รัฐบาลฉ้อฉลที่ดื้อด้านซึ่งอาจจะต้องวิพากษ์วิจารณ์โต้เถียงเพื่อให้สังคมเห็นถึงความชั่วช้าเลวทรามที่ดำรงอยู่ ก็จะถูกกล่าวหาว่าใช้ความรุนแรงทางวาจาในการทำร้ายประเทศไทย

ผมกลัวว่า การชุมนุมทางการเมืองตามสิทธิในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งย่อมจะต้องใช้พื้นที่สาธารณะหรือสถานที่ราชการนำมาสู่การกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ก็จะถูกกล่าวหาว่า ทำร้ายประเทศไทย เหมือนที่ยุคหนึ่งคนกรุงเทพฯเคยรำคาญการชุมนุมเพราะว่า ทำให้รถติด

ผมกลัวว่า ถ้ามีการพยายามละเมิดและล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งกำลังก่อรูปขบวนอย่างชัดเจนขึ้น แต่เมื่อมีคนลุกขึ้นมาเตือนสติสังคมและชี้ให้เป็นภยันตรายที่กำลังบั่นทอนสถาบันหลักของชาติอยู่ ก็จะถูกกล่าวหาว่า ใช้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นข้ออ้างทางการเมือง ซึ่งเป็นการทำร้ายประเทศไทย

ผมกลัวว่า ถ้าสื่อออกมาชี้นำให้สังคมเห็นถึงความชั่วร้ายของนักการเมือง จนเกิดการตื่นตัวออกมาร่วมชุมนุมขับไล่นักการเมืองที่ชั่วช้าจะถูกหาว่า เป็นการทำร้ายประเทศไทย จนเหลือแต่สื่อประเภทที่ว่า เอาคนสองฝ่ายมานั่งทะเลาะกัน หรือเปิดโอกาสให้พูดเท่าๆกัน แม้จะรู้ว่า อีกฝ่ายหนึ่งผิดฝ่ายหนึ่งถูก ฝ่ายหนึ่งชั่วฝ่ายหนึ่งดี

ไม่ได้สอนให้สังคมแยกแยะความดีกับความชั่ว ความผิดกับความถูก มุ่งแต่ว่าจะหาทางสมานฉันท์หรือไกล่เกลี่ยความขัดแย้งอย่างไร

ปฏิเสธไม่ได้หรอกครับว่า การบอกง่ายๆว่า ให้ออกมาต่อต้านกลุ่มประชาชนที่ทำให้เกิดการแบ่งขั้ว หรือบุคคลทุกฝ่ายที่ทำให้เกิดความขัดแย้งกัน ทำให้ประชาชนเข้าใจแบบเหมารวมว่า ทั้งพันธมิตรฯและนปก.เป็นปัญหาของบ้านเมืองและเป็นผู้ทำร้ายประเทศไทยในขณะนี้

ส่วนพวกเขาที่สวมเสื้อขาวออกมาเป็นผู้ที่รักและปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง

เพราะปฏิญญานี้ชี้ให้ประชาชนเห็นว่า การออกมาชุมนุมทางการเมืองนั้นเป็นการทำร้ายประเทศไทย โดยไม่ได้ชี้ให้เห็นว่า พันธมิตรฯออกมาชุมนุมทำไม นปก.ออกมาชุมนุมทำไม การเคลื่อนไหวทั้งสองกลุ่มนั้นทำเพื่อใครและหวังผลอะไร

การชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาลคอร์รัปชันเฉกเช่นการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น ถือเป็นการทำร้ายประเทศหรือไม่

ถ้าจะให้ชี้ลงไปว่า ใครที่กำลังทำร้ายประเทศไทย คำตอบของผมข้างต้นก็คือ คนที่ออกมาร่วมรณรงค์แคมเปญนี้ พวกเขาประกอบด้วยใครบ้าง คำตอบก็คือ นักการเมือง สื่อมวลชน และนักวิชาการ

ใช่หรือไม่ว่า ปฐมเหตุของความขัดแย้งทางการเมืองนั้น เกิดจากนักการเมืองคอร์รัปชัน เกิดจากการไม่เคารพกติกาของรัฐธรรมนูญ เมื่อทำผิดแล้วจะแก้ไขให้ถูกจึงมีคนกลุ่มหนึ่งออกมาขับไล่คัดค้าน

สื่อมวลชนกลุ่มหนึ่งออกมารับใช้นักการเมืองที่ให้ผลประโยชน์ มีสื่อบางคนที่มีตำแหน่งในสมาคมองค์กรสื่อตั้งบริษัทขึ้นมาหากินกับนักการเมือง ไม่ได้สื่อสะท้อนให้ประชาชนเห็นถึงความจริงที่ดำรงอยู่

ผมคิดว่า สื่อบางคนกำลังใช้องค์กรส่วนรวมในการเคลื่อนไหวเพื่อเป้าหมายของตัวเอง ผมไม่เกี่ยงหรอกครับว่า ใครจะมีความเห็นทางการเมืองคล้อยไปทางไหน แต่โปรดแสดงความเห็นในนามของตัวเองอย่าเอาองค์กรของส่วนรวมเข้าไปเกี่ยวข้อง

นักวิชาการบางคนก็เฉกเช่นเดียวกัน ผลประโยชน์ที่ได้รับจากนักการเมืองนั้นได้ปิดบังสำนึกความผิดถูกชั่วดีที่จะชี้นำสังคมให้คำนึงถึงความถูกต้อง

ถ้านักการเมืองไม่คอร์รัปชัน สื่อมวลชนและนักวิชาการทำหน้าที่ของตัวเองบนพื้นฐานของจริยธรรม สังคมก็จะไม่มีวันที่จะเกิดความขัดแย้งแตกแยกเช่นทุกวันนี้

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็คงไม่เกิดขึ้น และประชาชนอีกกลุ่มก็คงไม่ถูกนักการเมืองที่เสียประโยชน์ปลุกปั่นออกมา เพราะมีนักวิชาการและสื่อชี้เตือนสติสังคม

ดังนั้นผมจึงเห็นด้วยที่สังคมนอกจากจะต้องออกมาร่วมขับไล่นักการเมืองฉ้อฉลแล้ว ยังจะต้องเปิดโปงนักวิชาการกลางกลวงทั้งหลาย และบอยคอตสื่อบางค่ายอย่างที่พันธมิตรฯทำอยู่ในขณะนี้ด้วย

เพราะกลุ่มคนที่ต้องหยุดทำร้ายประเทศไทยเป็นกลุ่มแรก ก็คือ กลุ่มคนที่ออกมาเรียกร้องให้ประชาชนปฏิญาณตามปฏิญญา 9 ข้อของตัวเองนั่นแหละครับ

surawhisky@gmail.com
กำลังโหลดความคิดเห็น