นิตยสารฟาร์อีสต์เทิร์น อีโคโนมิค รีวิว ได้สัมภาษณ์พิเศษทักษิณ ที่สำนักงานในเมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ เป็นเวลา 1 ชั่วโมง
ทักษิณนับเป็นนักโทษเพียงรายเดียวที่หลบหนีคดีไปแล้ว แต่ก็ยังคงปรากฏตัวเป็นข่าวโผล่อยู่ตรงนั้นตรงนี้ โจมตีกระบวนการยุติธรรมไทยและประเทศไทยอยู่ตลอดเวลา
ทักษิณ พูดว่า
เขาจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาก เขาเป็นเหมือนสุนัขที่เชื่องอยู่เสมอ
“ผมเชื่องแล้ว และสามารถเชื่องได้อีก”
การพูดเช่นนี้ แท้จริงแล้วก็เพื่อโยงให้เห็นว่า บุคคลที่จะชี้ชะตาของเขาก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ใช่หรือไม่ หรือเพื่อสะท้อนให้เห็นว่า หากเปรียบกับพระมหากษัตริย์ไทยแล้ว เขาเป็นเพียงสุนัขที่หมอบราบคาบอยู่เบื้องหน้า
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลใดก็ไม่ส่งผลดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เลย
เพราะคำพูดของทักษิณ คล้ายกับพยายามสื่อให้เข้าใจว่า สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เบื้องหลังที่เขาถูกดำเนินคดีจนต้องระเห็จเร่ร่อนอยู่ในต่างประเทศ
ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้ว ทักษิณถูกตัดสินจำคุกเพราะใช้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อเอื้อประโยชน์ในการซื้อที่ดินจากการประมูลของหน่วยงานรัฐให้กับพจมานภรรยา
พจมานได้ทำการประมูลซื้อที่ดินริมถนนเทียมร่วมมิตร ย่านถนนรัชดาภิเษก ใกล้กับศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เนื้อที่ประมาณ 33 ไร่ ด้วยราคา 772 ล้านบาท จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ในการกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง
โดยทักษิณ ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ร่วมลงนามยินยอมในฐานะคู่สมรส ซึ่งกฎหมาย ป.ป.ช.ที่เขียนขึ้นเพื่อป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้นได้
ผลการประมูลในครั้งที่สองพจมานชนะการประมูลด้วยราคาสูงสุด 772 ล้านบาท ก่อนที่จะทำสัญญาซื้อขาย และจะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2546
เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 คณะรัฐมนตรีมีมติเลื่อนวันหยุดปีใหม่ จากวันที่ 31 ธันวาคม เป็นวันที่ 2 มกราคม โดยให้เหตุผลว่า เพื่อให้ประชาชนได้หยุดยาวตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 4 มกราคม พ.ศ. 2547 ซึ่งส่งผลให้การซื้อขายที่ดินรัชดา สามารถดำเนินการได้ทันในวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2546
และเสียค่าธรรมเนียมโอนที่ดิน เฉพาะกรณีปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ในอัตราลดหย่อนเพียง 0.01% ที่มีผลใช้บังคับถึงสิ้นปี 2546 แต่ต่อมาในวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2546 กรมที่ดินได้ขยายระยะเวลาใช้อัตราลดหย่อน ไปอีก 1 ปีจนถึงสิ้นปี 2547
นี่คือข้อเท็จจริงที่ทำให้ต้องเพิ่มสรรพนามหน้านามของทักษิณว่า นักโทษชาย หรือ นช.ซึ่งเป็นคดีอาญาไม่เกี่ยวข้องกับคดีการเมืองใดๆ เป็นความผิดตามบทบัญญัติของกฎหมาย ไม่ว่าคนคนนั้นจะชื่อทักษิณหรือชื่ออะไร
ไม่ได้เกี่ยวกับที่ทักษิณพยายามโยงว่า เขาถูกดำเนินคดีต่างๆ เพราะถูกกลั่นแกล้งและถูกกล่าวหาว่า ไม่จงรักภักดี
แต่สิ่งที่ทักษิณสะท้อนออกมา เมื่อรวมกับการเคลื่อนไหวของนักวิชาการบางกลุ่มแล้ว ก็อาจทำให้ชาวต่างชาติเข้าใจว่า สถาบันกษัตริย์ของไทยเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 24 พ.ย.ปีที่แล้ว ทักษิณได้ให้สัมภาษณ์เว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์อาระเบียน บิวสิเนส (http://www.arabianbusiness.com/) ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ ที่ตีพิมพ์ที่เมืองดูไบ สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์
“ถ้าผมได้เข้ามาบริหารประเทศ จะนำความมั่นใจกลับสู่ประเทศไทยได้ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมผมต้องกลับไปเล่นการเมือง เราจะต้องหากลไกที่จะทำให้ผมกลับได้ อย่างไรก็ตาม การจะกลับประเทศได้ ก็ต่อเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่ามีความจำเป็น และประชาชนต้องการ ผมคิดว่าปัจจัยสำคัญขึ้นอยู่กับประชาชน ถ้าพวกเขารู้สึกว่าลำบากมาก และเรียกร้องให้ผมกลับผมจะกลับ ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรู้สึกว่าผมมีประโยชน์ ผมก็จะกลับไป และพระองค์อาจจะทรงอภัยโทษให้ผม แต่ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าผมช่วยอะไรไม่ได้ และประชาชนไม่ต้องการผม ผมจะอยู่ที่นี่และทำธุรกิจต่อไป”
การสื่อเช่นนี้ไม่ว่าทักษิณจะมีเจตนาเช่นไร แต่ก็ทำให้เข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีบทบาทสำคัญที่จะชี้เป็นชี้ตายให้กับตัวเขา
นอกจากนั้นการสัมภาษณ์ครั้งล่าสุดยังมีคำพูดอีกตอนของทักษิณที่น่าสนใจ
เขาพูดว่า
“จริงๆ แล้ว ผมจงรักภักดีต่อในหลวงมาก และหากมีสิ่งที่ย้อนไปได้ ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนแปลง”
“บางทีเราอาจต้องย้อนกลับไปปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมากับบางคน ซึ่งไม่ควรจะมีการดำเนินคดีต่อคนอื่นเพราะการเมืองอีกต่อไป และหลังจากที่เราสมานฉันท์แล้ว หากมีใครกระทำผิด ก็ควรให้กฎหมายลงโทษ”
อะไรที่ทักษิณคิดว่าต้องเปลี่ยนแปลง ใครคือ บางคนที่ทักษิณต้องการย้อนกลับไปปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมา
น่าคิดว่า สิ่งที่ทักษิณสะท้อนออกมานี้สอดรับกับการเคลื่อนไหวของนายธงชัย วินิจจะกูล ที่ระดมนักวิชาการชื่อดังจากต่างประเทศ เพื่อผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพอดิบพอดี
โดยอ้างว่า กฎหมายนี้ถูกนำมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง
ธงชัยระบุว่าสถานการณ์วิกฤตทางการเมืองในประเทศไทยในระยะหลายปีที่ผ่านมาได้นำไปสู่การทำลายประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพในหลายๆ ด้าน ในไม่กี่เดือนที่ผ่านมากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ถูกนำมาใช้และมีการฟ้องคดีหมิ่นฯ และจับกุมบุคคลในแวดวงต่างๆ หลายคน ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้นำไปสู่การสร้างบรรยากาศแห่งความกลัวขึ้นมาในชุมชนทางการเมืองและชุมชนวิชาการในประเทศ
จะเห็นว่า สิ่งที่ธงชัยออกมาเรียกร้องสอดคล้องกับการออกมาให้สัมภาษณ์ของ ทักษิณอย่างเหมาะเจาะ
การเคลื่อนไหวของธงชัยและทักษิณจะรู้กันหรือไม่ ไม่ทราบ แต่การเคลื่อนไหวของทั้งสองฝ่ายมีผลประโยชน์ที่สอดคล้องกัน
ในขณะเดียวกัน ธงชัยก็หวังจะใช้มวลชนเสื้อแดงของทักษิณเป็นตัวขับเคลื่อน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ซ่อนเร้นอยู่
ซึ่งจะเห็นได้ว่า ข้อความของผู้ปราศรัยบนเวทีเสื้อแดง นักวิชาการรายล้อมเวทีเสื้อแดงกับนักวิชาการที่ไม่เอากษัตริย์ในปัจจุบันนั้นมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน
เว็บไซต์ สื่อสิ่งพิมพ์ที่สนับสนุนนักวิชาการแนวธงชัย และรักทักษิณประสานแน่นเป็นทองแผ่นเดียวกัน
พูดง่ายๆ ก็คือต่างฝ่ายต่างยืมมือกันและกัน ฝ่ายซ้ายและนักวิชาการบางกลุ่มเห็นว่า แม้ทักษิณจะโกง แต่เขาสามารถใช้ทักษิณและมวลชนของทักษิณเป็นกระดานหกเพื่อบรรลุเป้าหมายในการโค่นล้มสังคมเก่าได้
ทักษิณบอกว่า เขามีความจงรักภักดีเหมือนสุนัขที่เชื่อง แต่จะตอบคำถามอย่างไรกับสุนัขที่รายล้อมอยู่รอบตัวเขา
การเคลื่อนไหวให้ปฏิรูปจนถึงยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จึงเป็นอะไรที่มากกว่าข้ออ้างเรื่องสิทธิเสรีภาพ
surawhisky@gmail.com
ทักษิณนับเป็นนักโทษเพียงรายเดียวที่หลบหนีคดีไปแล้ว แต่ก็ยังคงปรากฏตัวเป็นข่าวโผล่อยู่ตรงนั้นตรงนี้ โจมตีกระบวนการยุติธรรมไทยและประเทศไทยอยู่ตลอดเวลา
ทักษิณ พูดว่า
เขาจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาก เขาเป็นเหมือนสุนัขที่เชื่องอยู่เสมอ
“ผมเชื่องแล้ว และสามารถเชื่องได้อีก”
การพูดเช่นนี้ แท้จริงแล้วก็เพื่อโยงให้เห็นว่า บุคคลที่จะชี้ชะตาของเขาก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ใช่หรือไม่ หรือเพื่อสะท้อนให้เห็นว่า หากเปรียบกับพระมหากษัตริย์ไทยแล้ว เขาเป็นเพียงสุนัขที่หมอบราบคาบอยู่เบื้องหน้า
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลใดก็ไม่ส่งผลดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เลย
เพราะคำพูดของทักษิณ คล้ายกับพยายามสื่อให้เข้าใจว่า สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่เบื้องหลังที่เขาถูกดำเนินคดีจนต้องระเห็จเร่ร่อนอยู่ในต่างประเทศ
ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้ว ทักษิณถูกตัดสินจำคุกเพราะใช้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อเอื้อประโยชน์ในการซื้อที่ดินจากการประมูลของหน่วยงานรัฐให้กับพจมานภรรยา
พจมานได้ทำการประมูลซื้อที่ดินริมถนนเทียมร่วมมิตร ย่านถนนรัชดาภิเษก ใกล้กับศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เนื้อที่ประมาณ 33 ไร่ ด้วยราคา 772 ล้านบาท จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ในการกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง
โดยทักษิณ ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ร่วมลงนามยินยอมในฐานะคู่สมรส ซึ่งกฎหมาย ป.ป.ช.ที่เขียนขึ้นเพื่อป้องกันการทุจริตคอร์รัปชันไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้นได้
ผลการประมูลในครั้งที่สองพจมานชนะการประมูลด้วยราคาสูงสุด 772 ล้านบาท ก่อนที่จะทำสัญญาซื้อขาย และจะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2546
เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 คณะรัฐมนตรีมีมติเลื่อนวันหยุดปีใหม่ จากวันที่ 31 ธันวาคม เป็นวันที่ 2 มกราคม โดยให้เหตุผลว่า เพื่อให้ประชาชนได้หยุดยาวตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 4 มกราคม พ.ศ. 2547 ซึ่งส่งผลให้การซื้อขายที่ดินรัชดา สามารถดำเนินการได้ทันในวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2546
และเสียค่าธรรมเนียมโอนที่ดิน เฉพาะกรณีปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ในอัตราลดหย่อนเพียง 0.01% ที่มีผลใช้บังคับถึงสิ้นปี 2546 แต่ต่อมาในวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2546 กรมที่ดินได้ขยายระยะเวลาใช้อัตราลดหย่อน ไปอีก 1 ปีจนถึงสิ้นปี 2547
นี่คือข้อเท็จจริงที่ทำให้ต้องเพิ่มสรรพนามหน้านามของทักษิณว่า นักโทษชาย หรือ นช.ซึ่งเป็นคดีอาญาไม่เกี่ยวข้องกับคดีการเมืองใดๆ เป็นความผิดตามบทบัญญัติของกฎหมาย ไม่ว่าคนคนนั้นจะชื่อทักษิณหรือชื่ออะไร
ไม่ได้เกี่ยวกับที่ทักษิณพยายามโยงว่า เขาถูกดำเนินคดีต่างๆ เพราะถูกกลั่นแกล้งและถูกกล่าวหาว่า ไม่จงรักภักดี
แต่สิ่งที่ทักษิณสะท้อนออกมา เมื่อรวมกับการเคลื่อนไหวของนักวิชาการบางกลุ่มแล้ว ก็อาจทำให้ชาวต่างชาติเข้าใจว่า สถาบันกษัตริย์ของไทยเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 24 พ.ย.ปีที่แล้ว ทักษิณได้ให้สัมภาษณ์เว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์อาระเบียน บิวสิเนส (http://www.arabianbusiness.com/) ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษ ที่ตีพิมพ์ที่เมืองดูไบ สาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์
“ถ้าผมได้เข้ามาบริหารประเทศ จะนำความมั่นใจกลับสู่ประเทศไทยได้ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมผมต้องกลับไปเล่นการเมือง เราจะต้องหากลไกที่จะทำให้ผมกลับได้ อย่างไรก็ตาม การจะกลับประเทศได้ ก็ต่อเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่ามีความจำเป็น และประชาชนต้องการ ผมคิดว่าปัจจัยสำคัญขึ้นอยู่กับประชาชน ถ้าพวกเขารู้สึกว่าลำบากมาก และเรียกร้องให้ผมกลับผมจะกลับ ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรู้สึกว่าผมมีประโยชน์ ผมก็จะกลับไป และพระองค์อาจจะทรงอภัยโทษให้ผม แต่ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าผมช่วยอะไรไม่ได้ และประชาชนไม่ต้องการผม ผมจะอยู่ที่นี่และทำธุรกิจต่อไป”
การสื่อเช่นนี้ไม่ว่าทักษิณจะมีเจตนาเช่นไร แต่ก็ทำให้เข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีบทบาทสำคัญที่จะชี้เป็นชี้ตายให้กับตัวเขา
นอกจากนั้นการสัมภาษณ์ครั้งล่าสุดยังมีคำพูดอีกตอนของทักษิณที่น่าสนใจ
เขาพูดว่า
“จริงๆ แล้ว ผมจงรักภักดีต่อในหลวงมาก และหากมีสิ่งที่ย้อนไปได้ ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนแปลง”
“บางทีเราอาจต้องย้อนกลับไปปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมากับบางคน ซึ่งไม่ควรจะมีการดำเนินคดีต่อคนอื่นเพราะการเมืองอีกต่อไป และหลังจากที่เราสมานฉันท์แล้ว หากมีใครกระทำผิด ก็ควรให้กฎหมายลงโทษ”
อะไรที่ทักษิณคิดว่าต้องเปลี่ยนแปลง ใครคือ บางคนที่ทักษิณต้องการย้อนกลับไปปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมา
น่าคิดว่า สิ่งที่ทักษิณสะท้อนออกมานี้สอดรับกับการเคลื่อนไหวของนายธงชัย วินิจจะกูล ที่ระดมนักวิชาการชื่อดังจากต่างประเทศ เพื่อผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพอดิบพอดี
โดยอ้างว่า กฎหมายนี้ถูกนำมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง
ธงชัยระบุว่าสถานการณ์วิกฤตทางการเมืองในประเทศไทยในระยะหลายปีที่ผ่านมาได้นำไปสู่การทำลายประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพในหลายๆ ด้าน ในไม่กี่เดือนที่ผ่านมากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ถูกนำมาใช้และมีการฟ้องคดีหมิ่นฯ และจับกุมบุคคลในแวดวงต่างๆ หลายคน ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้นำไปสู่การสร้างบรรยากาศแห่งความกลัวขึ้นมาในชุมชนทางการเมืองและชุมชนวิชาการในประเทศ
จะเห็นว่า สิ่งที่ธงชัยออกมาเรียกร้องสอดคล้องกับการออกมาให้สัมภาษณ์ของ ทักษิณอย่างเหมาะเจาะ
การเคลื่อนไหวของธงชัยและทักษิณจะรู้กันหรือไม่ ไม่ทราบ แต่การเคลื่อนไหวของทั้งสองฝ่ายมีผลประโยชน์ที่สอดคล้องกัน
ในขณะเดียวกัน ธงชัยก็หวังจะใช้มวลชนเสื้อแดงของทักษิณเป็นตัวขับเคลื่อน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ซ่อนเร้นอยู่
ซึ่งจะเห็นได้ว่า ข้อความของผู้ปราศรัยบนเวทีเสื้อแดง นักวิชาการรายล้อมเวทีเสื้อแดงกับนักวิชาการที่ไม่เอากษัตริย์ในปัจจุบันนั้นมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน
เว็บไซต์ สื่อสิ่งพิมพ์ที่สนับสนุนนักวิชาการแนวธงชัย และรักทักษิณประสานแน่นเป็นทองแผ่นเดียวกัน
พูดง่ายๆ ก็คือต่างฝ่ายต่างยืมมือกันและกัน ฝ่ายซ้ายและนักวิชาการบางกลุ่มเห็นว่า แม้ทักษิณจะโกง แต่เขาสามารถใช้ทักษิณและมวลชนของทักษิณเป็นกระดานหกเพื่อบรรลุเป้าหมายในการโค่นล้มสังคมเก่าได้
ทักษิณบอกว่า เขามีความจงรักภักดีเหมือนสุนัขที่เชื่อง แต่จะตอบคำถามอย่างไรกับสุนัขที่รายล้อมอยู่รอบตัวเขา
การเคลื่อนไหวให้ปฏิรูปจนถึงยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จึงเป็นอะไรที่มากกว่าข้ออ้างเรื่องสิทธิเสรีภาพ
surawhisky@gmail.com