วันที่ท้องสนามหลวงคลาคล่ำไปด้วยมวลชนสีแดง เบื้องหน้าของมวลชนคือ เวทีที่หันหน้าไปทางพระบรมมหาราชวัง
ชายร่างเล็ก พาองค์เอวอันอ้อนแอ้นของเขาตระหง่านบนเวทีชูกำปั้นขึ้นเหนือท้องฟ้า ฉายแววตาอันดุดันอาฆาตมาดร้าย แล้วเปล่งวาจาประกาศต่อพลพรรคที่อยู่เบื้องหน้า
“ไม่มีการต่อสู้ครั้งไหนในไทยเหมือนครั้งนี้ เพราะครั้งนี้เป็นศึกชิงบ้านเมืองคืน เราต้องแดงทั้งแผ่นดิน แดงแค่ กทม.ไม่พอ สงขลาหรือขอนแก่นก็ไม่พอ ต้องแดงทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศไทย ขอบคุณรัฐบาลที่สั่งให้ตั้งด่าน เพราะยิ่งตั้งด่านกูยิ่งมา ใครยังหลงละเมอว่าคนไทยถูกครอบงำด้วยความกลัว คนนั้นยังตาบอดสนิท”
ไม่ทันสิ้นเสียงของชายร่างเล็ก พลพรรคแดงเดือดของเขาก็ตะโกนจนพื้นปฐพีแทบเลือนลั่นว่า “ไอ้ บ..ไอ้ บ..”
ศึกชิงบ้านเมืองคืน เราต้องแดงทั้งแผ่นดิน
ชายร่างเล็กผู้กล่าวคำนี้บนเวทีไม่ใช่ใครที่ไหน พลันที่ใครก็ตามประสบกับริมฝีปากยื่นจู๋ของเขาก็ย่อมจำได้ทันทีว่า เขาคือ จักรภพ เพ็ญแข
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่เขาจะกล้าหาญเอ่ยวาจาสะเทือนฟ้าดินเช่นนี้ เพราะหากเปรียบเทียบกับชนักติดหลังและคำกล่าวก่อนหน้านี้ นี่ยังถือว่าน้อยนิดนัก
สิ่งที่ครอบงำคนไทยด้วยความกลัวในทัศนะของจักรภพปากจู๋ เป็นเช่นไร
ครั้งหนึ่งจักรภพเคยกล่าวด้วยภาษาต่างแดนที่นับเป็นอาวุธคู่กายของเขาว่า
we don’t actually need democracy. We are led into believing that the best form of government is guided democracy, or democracy with His Majesty greatest guidance…which I see as a clash or the clash between democracy and patronage system.
ซึ่งต่อมาอนันต์ เหล่าเลิศวรกุล คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไขนัยปริศนาที่ซ่อนเร้นออกมาเป็นภาษาไทยว่า “คนไทยเราจึงไม่ได้ปรารถนาประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เราถูกชักนำให้เชื่อว่า รูปแบบการปกครองที่ดีที่สุดคือ ประชาธิปไตยแบบชี้นำ หรือประชาธิปไตยภายใต้การชี้นำอย่างมากมายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน...”
ในบทความวิเคราะห์คำพูดของจักรภพฉบับเต็มของอาจารย์อนันต์โยงใยให้เห็นด้วยว่า นัยที่แท้จริงของคำว่า patronage system นั้น ไม่ใช่แค่ระบบอุปถัมภ์
ภายใต้นัยที่ซ่อนเร้นของระบบอุปถัมภ์ในความหมายของจักรภพ เขาได้ตอกย้ำในหลายครั้งว่า ระบบอุปถัมภ์เป็นอุปสรรคขัดขวางความเป็นประชาธิปไตย
“เป็นสิ่งที่ทำให้ประชาธิปไตยอยู่ในอุโมงค์ที่ไม่มีแสงสว่าง”
เช่นเดียวกัน เขาเคยกล่าวกับคนไทยที่ลอสแองเจลิส ว่า เบื้องหลังการปฏิวัติรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน2549 นั้น “สูงมาก” เพื่อให้เชื่อมโยงว่า ศัตรูที่แท้จริงของทักษิณคือใคร
ครั้งหนึ่งจักรภพกล่าวว่า “ไม่เคยปรากฏมาก่อนที่ประชาชนจำนวนมากออกมาบอกว่า เราไม่ต้องการการอุปถัมภ์ของท่านอีกต่อไป เราต้องการประชาธิปไตย มิใช่คนที่มาตบหลังเรา ไม่ใช่คนที่บอกเราว่า เราจะทำให้ชีวิตคุณดีขึ้นเล็กน้อย แต่คุณต้องสำนึกในบุญคุณของเรา ถึงเวลาแล้วที่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงควรเป็นสิทธิระดับชาติของประชาชน”
ซึ่งต้องโยงใยไปสู่คำพูดของเขาก่อนหน้านี้ว่า “ผมต้องการเห็นสงครามประชาชนที่ไม่มีการจัดตั้ง”
แล้วศัตรูในสงครามของจักรภพคือใคร
ตอนที่ทักษิณพลิกตำราพิชัยสงครามของซุนหวู่ “หนีคือสุดยอดกลยุทธ์” ตอนนั้น เพ็ญ-จักรภพปากจู๋ก็ตวัดนัยนี้ไว้ภายใต้นามปากกา “กาหลิบ” ของเธอว่า การหนีของทักษิณเป็นยุทธวิธีอย่างหนึ่งในสนามรบ และไม่ใช่การยอมแพ้
เพ็ญจักรภพ บอกด้วยว่า การตัดสินใจครั้งนี้จะส่งผลสะเทือนเลื่อนลั่นต่อราชอาณาจักรไทยทั้งหมด เพราะเท่ากับทักษิณกำลังเปิดแนวรบใหม่นอกพื้นที่อำนาจของศัตรูโดยตรงเผด็จศึกง่ายกว่ากันเยอะ
ตอนนั้นเพ็ญใช้คำว่า “ราชอาณาจักร” อย่างมีนัยสำคัญ และเมื่อขีดเส้นใต้ ตรงคำว่า “จะส่งผลสะเทือนเลื่อนลั่นต่อราชอาณาจักรไทยทั้งหมด” คำว่า “ทั้งหมด” ก็บ่งบอกว่า ทักษิณจะกลับมาเพื่อถอนรากถอนโคนสิ่งที่เขาเชื่อว่า เป็นศัตรูของตัวเอง ซึ่งสอดคล้องกับแรงปรารถนาให้เกิดสงครามประชาชนจากการให้สัมภาษณ์หลายต่อหลายครั้งของเธอ
ดังนั้น “ราชอาณาจักร” แปลว่า อะไร “นอกพื้นที่ของศัตรู” คืออะไร แล้ว “ศัตรู”ของทักษิณที่เพ็ญว่าคือใคร ใครคือคนที่ทักษิณจะกลับมาถอนรากถอนโคน ลองตีความกันเอาเอง
คำพูดของจักรภพในวันนั้น กลายเป็นความจริงในวันนี้ เมื่อทักษิณประกาศผ่านที่ประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทย
“ถ้าประชาชนพร้อมเมื่อไหร่ผมก็พร้อมเมื่อนั้น ถ้าประชาชนยอมพ่ายแพ้ผมก็หมดหน้าที่ ถึงแม้ผมจะต้องอยู่ต่างประเทศอีกนาน แต่ผมจะไม่ยอมตายในต่างประเทศแน่นอน อย่างมากที่สุดผมสู้ไม่ได้ผมก็จะแอบลักลอบเข้าไปตายในอีสาน”
แต่ทักษิณคงลืมไปว่า การมีชีวิตอย่างมีคุณค่ามาตรว่ายากลำบาก แต่คิดตายอย่างมีคุณค่ายิ่งยากกว่า
ทักษิณพูดทุกครั้งราวกับว่า เขาถูกกลั่นแกล้งไม่ให้กลับมาประเทศไทย พูดจนทุกคนเกือบลืมไปว่า จริงแล้วประเทศไทยต้องการให้ทักษิณกลับมา กระบวนการยุติธรรมในบ้านเรายังรอคอยทักษิณอยู่ แต่ทักษิณต่างหากที่หนีไป
ไม่เพียงแต่เปิดให้เห็นถึงศัตรูของทักษิณ บทความในนามแฝง “กาหลิบ” ชิ้นนั้น เพ็ญยังกล่าวถึงกลุ่มพันธมิตรฯ และ ASTV ด้วยว่า เป็นเพียงงูพิษตัวหนึ่งในบ่อสีขาวขนาดใหญ่ของสถานเสาวภา ซึ่งเป็นหน่วยงานในความดูแลของสภากาชาดไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์เท่านั้นเอง ไม่ใช่พญานาคราชแต่อย่างใด
อะไรคือ นัยที่ซ่อนเร้นภายใต้ความหมายของคำว่า งูพิษตัวหนึ่งที่ถูกเลี้ยงไว้เพื่อรีดพิษในบ่อของสถานเสาวภาซึ่งเป็นหน่วยงานในความดูแลของสภากาชาดไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์
หลังจากนั้นไม่นานเพ็ญจักรภพถึงกับกล่าวว่า ต้องคุยกับคนที่เป็น “เจ้าของพันธมิตรฯ” อย่างแท้จริงไม่ใช่แกนนำ
ใครคือเจ้าของพันธมิตรฯ ใครคือผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ใครคือไดโนเสาร์ใส่แหวนบลูไดมอนด์ ใครคือผู้มีอภิสิทธิชน เพื่อสอดรับกับการเคลื่อนไหวของนายใหญ่ เราจึงได้ยินบรรดาพลพรรคเสื้อแดงประกาศก้องศึกแดงเดือดทั้งแผ่นดิน
พลพรรคของทักษิณ แกนนำคนเสื้อแดงเชียงใหม่ เพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล ถึงกับประกาศบนเวทีว่า คนเชียงใหม่ไม่เคยรับรู้ว่ามีสิ่งควรเคารพอื่น นับถือแค่กษัตริย์เชียงใหม่ 3 องค์ ถ้าไปกรุงเทพฯ ไหว้เฉพาะศาลหลักเมืองอย่างเดียว
การเคลื่อนไหวของพลพรรคเสื้อแดง ทำให้รู้ว่า การพูดกระทบกระเทียบส่งนัยไปถึงสถาบันชั้นสูงของเพ็ญจักรภพไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เป้าหมายของเหล่าพลพรรคเสื้อแดงจึงไปไกลกว่าการเอาทักษิณกลับมาตายที่บ้านเกิด แต่เพื่อชิงบ้านชิงเมืองคืน และสร้างรัฐไทยขึ้นมาใหม่
นัยนั้นปรากฏเป็นรูปธรรมว่า ทักษิณส่ง เจ๊แดง-เยาวภาคุมภาคเหนือ เยาวเรศคุมภาคใต้ พายัพคุมภาคอีสาน ยิ่งลักษณ์คุมภาคกลางและกทม.เพื่อเปิดสงครามกับศัตรูเต็มรูปแบบ
เดิมพันครั้งนี้ทำให้พี่น้องตระกูล “ชินวัตร” ผนึกกันแน่น เพื่อทวงคืนอาณาจักรกลับมาให้ได้
และสะท้อนคำพูดของเพ็ญจักรภพก่อนหน้านี้ว่า การตัดสินใจของทักษิณครั้งนี้จะส่งผลสะเทือนเลื่อนลั่นต่อราชอาณาจักรไทยทั้งหมด
surawhisky@gmail.com
ชายร่างเล็ก พาองค์เอวอันอ้อนแอ้นของเขาตระหง่านบนเวทีชูกำปั้นขึ้นเหนือท้องฟ้า ฉายแววตาอันดุดันอาฆาตมาดร้าย แล้วเปล่งวาจาประกาศต่อพลพรรคที่อยู่เบื้องหน้า
“ไม่มีการต่อสู้ครั้งไหนในไทยเหมือนครั้งนี้ เพราะครั้งนี้เป็นศึกชิงบ้านเมืองคืน เราต้องแดงทั้งแผ่นดิน แดงแค่ กทม.ไม่พอ สงขลาหรือขอนแก่นก็ไม่พอ ต้องแดงทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศไทย ขอบคุณรัฐบาลที่สั่งให้ตั้งด่าน เพราะยิ่งตั้งด่านกูยิ่งมา ใครยังหลงละเมอว่าคนไทยถูกครอบงำด้วยความกลัว คนนั้นยังตาบอดสนิท”
ไม่ทันสิ้นเสียงของชายร่างเล็ก พลพรรคแดงเดือดของเขาก็ตะโกนจนพื้นปฐพีแทบเลือนลั่นว่า “ไอ้ บ..ไอ้ บ..”
ศึกชิงบ้านเมืองคืน เราต้องแดงทั้งแผ่นดิน
ชายร่างเล็กผู้กล่าวคำนี้บนเวทีไม่ใช่ใครที่ไหน พลันที่ใครก็ตามประสบกับริมฝีปากยื่นจู๋ของเขาก็ย่อมจำได้ทันทีว่า เขาคือ จักรภพ เพ็ญแข
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่เขาจะกล้าหาญเอ่ยวาจาสะเทือนฟ้าดินเช่นนี้ เพราะหากเปรียบเทียบกับชนักติดหลังและคำกล่าวก่อนหน้านี้ นี่ยังถือว่าน้อยนิดนัก
สิ่งที่ครอบงำคนไทยด้วยความกลัวในทัศนะของจักรภพปากจู๋ เป็นเช่นไร
ครั้งหนึ่งจักรภพเคยกล่าวด้วยภาษาต่างแดนที่นับเป็นอาวุธคู่กายของเขาว่า
we don’t actually need democracy. We are led into believing that the best form of government is guided democracy, or democracy with His Majesty greatest guidance…which I see as a clash or the clash between democracy and patronage system.
ซึ่งต่อมาอนันต์ เหล่าเลิศวรกุล คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไขนัยปริศนาที่ซ่อนเร้นออกมาเป็นภาษาไทยว่า “คนไทยเราจึงไม่ได้ปรารถนาประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เราถูกชักนำให้เชื่อว่า รูปแบบการปกครองที่ดีที่สุดคือ ประชาธิปไตยแบบชี้นำ หรือประชาธิปไตยภายใต้การชี้นำอย่างมากมายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน...”
ในบทความวิเคราะห์คำพูดของจักรภพฉบับเต็มของอาจารย์อนันต์โยงใยให้เห็นด้วยว่า นัยที่แท้จริงของคำว่า patronage system นั้น ไม่ใช่แค่ระบบอุปถัมภ์
ภายใต้นัยที่ซ่อนเร้นของระบบอุปถัมภ์ในความหมายของจักรภพ เขาได้ตอกย้ำในหลายครั้งว่า ระบบอุปถัมภ์เป็นอุปสรรคขัดขวางความเป็นประชาธิปไตย
“เป็นสิ่งที่ทำให้ประชาธิปไตยอยู่ในอุโมงค์ที่ไม่มีแสงสว่าง”
เช่นเดียวกัน เขาเคยกล่าวกับคนไทยที่ลอสแองเจลิส ว่า เบื้องหลังการปฏิวัติรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน2549 นั้น “สูงมาก” เพื่อให้เชื่อมโยงว่า ศัตรูที่แท้จริงของทักษิณคือใคร
ครั้งหนึ่งจักรภพกล่าวว่า “ไม่เคยปรากฏมาก่อนที่ประชาชนจำนวนมากออกมาบอกว่า เราไม่ต้องการการอุปถัมภ์ของท่านอีกต่อไป เราต้องการประชาธิปไตย มิใช่คนที่มาตบหลังเรา ไม่ใช่คนที่บอกเราว่า เราจะทำให้ชีวิตคุณดีขึ้นเล็กน้อย แต่คุณต้องสำนึกในบุญคุณของเรา ถึงเวลาแล้วที่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงควรเป็นสิทธิระดับชาติของประชาชน”
ซึ่งต้องโยงใยไปสู่คำพูดของเขาก่อนหน้านี้ว่า “ผมต้องการเห็นสงครามประชาชนที่ไม่มีการจัดตั้ง”
แล้วศัตรูในสงครามของจักรภพคือใคร
ตอนที่ทักษิณพลิกตำราพิชัยสงครามของซุนหวู่ “หนีคือสุดยอดกลยุทธ์” ตอนนั้น เพ็ญ-จักรภพปากจู๋ก็ตวัดนัยนี้ไว้ภายใต้นามปากกา “กาหลิบ” ของเธอว่า การหนีของทักษิณเป็นยุทธวิธีอย่างหนึ่งในสนามรบ และไม่ใช่การยอมแพ้
เพ็ญจักรภพ บอกด้วยว่า การตัดสินใจครั้งนี้จะส่งผลสะเทือนเลื่อนลั่นต่อราชอาณาจักรไทยทั้งหมด เพราะเท่ากับทักษิณกำลังเปิดแนวรบใหม่นอกพื้นที่อำนาจของศัตรูโดยตรงเผด็จศึกง่ายกว่ากันเยอะ
ตอนนั้นเพ็ญใช้คำว่า “ราชอาณาจักร” อย่างมีนัยสำคัญ และเมื่อขีดเส้นใต้ ตรงคำว่า “จะส่งผลสะเทือนเลื่อนลั่นต่อราชอาณาจักรไทยทั้งหมด” คำว่า “ทั้งหมด” ก็บ่งบอกว่า ทักษิณจะกลับมาเพื่อถอนรากถอนโคนสิ่งที่เขาเชื่อว่า เป็นศัตรูของตัวเอง ซึ่งสอดคล้องกับแรงปรารถนาให้เกิดสงครามประชาชนจากการให้สัมภาษณ์หลายต่อหลายครั้งของเธอ
ดังนั้น “ราชอาณาจักร” แปลว่า อะไร “นอกพื้นที่ของศัตรู” คืออะไร แล้ว “ศัตรู”ของทักษิณที่เพ็ญว่าคือใคร ใครคือคนที่ทักษิณจะกลับมาถอนรากถอนโคน ลองตีความกันเอาเอง
คำพูดของจักรภพในวันนั้น กลายเป็นความจริงในวันนี้ เมื่อทักษิณประกาศผ่านที่ประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทย
“ถ้าประชาชนพร้อมเมื่อไหร่ผมก็พร้อมเมื่อนั้น ถ้าประชาชนยอมพ่ายแพ้ผมก็หมดหน้าที่ ถึงแม้ผมจะต้องอยู่ต่างประเทศอีกนาน แต่ผมจะไม่ยอมตายในต่างประเทศแน่นอน อย่างมากที่สุดผมสู้ไม่ได้ผมก็จะแอบลักลอบเข้าไปตายในอีสาน”
แต่ทักษิณคงลืมไปว่า การมีชีวิตอย่างมีคุณค่ามาตรว่ายากลำบาก แต่คิดตายอย่างมีคุณค่ายิ่งยากกว่า
ทักษิณพูดทุกครั้งราวกับว่า เขาถูกกลั่นแกล้งไม่ให้กลับมาประเทศไทย พูดจนทุกคนเกือบลืมไปว่า จริงแล้วประเทศไทยต้องการให้ทักษิณกลับมา กระบวนการยุติธรรมในบ้านเรายังรอคอยทักษิณอยู่ แต่ทักษิณต่างหากที่หนีไป
ไม่เพียงแต่เปิดให้เห็นถึงศัตรูของทักษิณ บทความในนามแฝง “กาหลิบ” ชิ้นนั้น เพ็ญยังกล่าวถึงกลุ่มพันธมิตรฯ และ ASTV ด้วยว่า เป็นเพียงงูพิษตัวหนึ่งในบ่อสีขาวขนาดใหญ่ของสถานเสาวภา ซึ่งเป็นหน่วยงานในความดูแลของสภากาชาดไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์เท่านั้นเอง ไม่ใช่พญานาคราชแต่อย่างใด
อะไรคือ นัยที่ซ่อนเร้นภายใต้ความหมายของคำว่า งูพิษตัวหนึ่งที่ถูกเลี้ยงไว้เพื่อรีดพิษในบ่อของสถานเสาวภาซึ่งเป็นหน่วยงานในความดูแลของสภากาชาดไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์
หลังจากนั้นไม่นานเพ็ญจักรภพถึงกับกล่าวว่า ต้องคุยกับคนที่เป็น “เจ้าของพันธมิตรฯ” อย่างแท้จริงไม่ใช่แกนนำ
ใครคือเจ้าของพันธมิตรฯ ใครคือผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ ใครคือไดโนเสาร์ใส่แหวนบลูไดมอนด์ ใครคือผู้มีอภิสิทธิชน เพื่อสอดรับกับการเคลื่อนไหวของนายใหญ่ เราจึงได้ยินบรรดาพลพรรคเสื้อแดงประกาศก้องศึกแดงเดือดทั้งแผ่นดิน
พลพรรคของทักษิณ แกนนำคนเสื้อแดงเชียงใหม่ เพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล ถึงกับประกาศบนเวทีว่า คนเชียงใหม่ไม่เคยรับรู้ว่ามีสิ่งควรเคารพอื่น นับถือแค่กษัตริย์เชียงใหม่ 3 องค์ ถ้าไปกรุงเทพฯ ไหว้เฉพาะศาลหลักเมืองอย่างเดียว
การเคลื่อนไหวของพลพรรคเสื้อแดง ทำให้รู้ว่า การพูดกระทบกระเทียบส่งนัยไปถึงสถาบันชั้นสูงของเพ็ญจักรภพไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เป้าหมายของเหล่าพลพรรคเสื้อแดงจึงไปไกลกว่าการเอาทักษิณกลับมาตายที่บ้านเกิด แต่เพื่อชิงบ้านชิงเมืองคืน และสร้างรัฐไทยขึ้นมาใหม่
นัยนั้นปรากฏเป็นรูปธรรมว่า ทักษิณส่ง เจ๊แดง-เยาวภาคุมภาคเหนือ เยาวเรศคุมภาคใต้ พายัพคุมภาคอีสาน ยิ่งลักษณ์คุมภาคกลางและกทม.เพื่อเปิดสงครามกับศัตรูเต็มรูปแบบ
เดิมพันครั้งนี้ทำให้พี่น้องตระกูล “ชินวัตร” ผนึกกันแน่น เพื่อทวงคืนอาณาจักรกลับมาให้ได้
และสะท้อนคำพูดของเพ็ญจักรภพก่อนหน้านี้ว่า การตัดสินใจของทักษิณครั้งนี้จะส่งผลสะเทือนเลื่อนลั่นต่อราชอาณาจักรไทยทั้งหมด
surawhisky@gmail.com