การหนีฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนมีเงินมหาศาล และมีเส้นสายเครือข่าย ก่อนหน้านี้เราได้เห็นกันในกรณีนายสมชาย คุณปลื้ม, นายวัฒนา อัศวเหม หรือแม้แต่นายรักเกียรติ สุขธนะ ก็ยังเล่นบทล่องหนอยู่พักใหญ่ แต่กรณีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนั้นแตกต่างออกไป
คนอื่นที่หนีไปก็กบดานอยู่เงียบๆ ไม่ออกมาปรากฏตัวทั้งในรูปความคิดเห็นและรูปถ่าย ไม่ระบุถิ่นที่อยู่ด้วยตัวเองเสียด้วยซ้ำ มิพักต้องพูดถึงการวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการยุติธรรมของมาตุภูมิ
แต่ทักษิณยังคงเป็นทักษิณคนเดิม!
วันแรกที่หายตัวไปก็ร่อนแถลงการณ์จวกกระบวนการยุติธรรมเสียเต็มเปา แถมมีนัย “ระหว่างบรรทัด” ว่าจะต่อสู้ต่อและจะกลับมาแก้แค้นในไม่ช้า ขอให้แฟนานุแฟนอดทนอีกนิด
วันต่อมาก็ให้บริษัทพีอาร์ระดับโลกร่อนรูปถ่ายเดินชอปปิ้งพร้อมครอบครัวมาให้สื่อไทยขึ้นหน้า 1 ทุกฉบับ!!
แล้วจะให้บอกว่าการเมืองไทยเริ่มคลายตัวลงได้อย่างไร?
เขม็งเกลียวตึงตัวยกระดับความขัดแย้งขึ้นเสียด้วยซ้ำ หากพิจารณาว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรกำลังเดินตามแนวที่เส้นสายเครือข่ายในประเทศไทยกลุ่มหนึ่งขีดเส้นให้
เพราะจะเป็น “วันของผม..” ตามคำของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเองในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2551 หรือ “วันที่ฟ้าเปลี่ยนสี...” ตามที่ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริพูดในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2551 ได้ ณ วันนี้นาทีนี้ไม่ใช่แค่ให้พรรคการเมืองในเครือข่ายชนะเลือกตั้งและเป็นรัฐบาลเท่านั้น เพราะอย่าลืมว่าในขณะนี้มันก็เป็นเช่นนั้นอยู่ ยังไม่เห็นจะช่วยอะไรได้ มันจะเป็นเช่นนั้นได้มันต้องก้าวกระโดดข้ามไปถึงขั้นเกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองขนานใหญ่ล้มการดำเนินงานของกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด ซึ่งไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้โดยง่ายดายและสงบสันติ
ผมไม่ได้พูดเกินเลย หากใครอ่านบทความของ “กาหลิบ” ที่เคยเป็นนามปากกาของนายจักรภพ เพ็ญแข ในคอลัมน์ “เลือกคบไม่เลือกข้าง” ในหนังสือพิมพ์ “โลกวันนี้” ตลอดสัปดาห์ที่แล้วอย่างพินิจพิเคราะห์ก็คงจะเห็น
เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2551 นายคนนี้ที่ต้องรู้ล่วงหน้าว่าวันนั้นนายใหญ่ของตนไม่กลับมาแน่ เขียนตบท้ายบทความเรื่อง “กลับมาทำไม” ของตนเรียกร้องให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรส่งสัญญาณกลับมาว่า “ไม่ถอย” แล้วบอกว่าถ้าเป็นอย่างนั้นละก็...
“การตัดสินใจครั้งนี้จะส่งผลสะเทือนเลื่อนลั่นต่อราชอาณาจักรไทยทั้งหมด เพราะเท่ากับคุณทักษิณกำลังเปิดแนวรบใหม่นอกพื้นที่อำนาจของศัตรูโดยตรง เผด็จศึกง่ายกว่ากันเยอะ...”
โปรดสังเกตคำว่า “ราชอาณาจักรไทย” นะครับพี่น้อง!
วันต่อมา วันที่ 12 สิงหาคม 2551 นายคนนี้ยังคงรุนหลังให้นายใหญ่ออกมากระทำการที่จะส่งผลสะเทือนเลื่อนลั่นต่อราชอาณาจักรไทยอีกครั้ง ตอนหนึ่งเขาเขียนในทำนองข่มขู่เล็กๆ ด้วย...
“ประเด็นสำคัญคือ คุณทักษิณจะต้องส่งสัญญาณสู้ และเตรียมความพร้อมต่อสงครามใหญ่ อย่าให้ความเงียบเข้ามาเชื่อมประสานระหว่างตัวเองและผู้สนับสนุน มิฉะนั้นจะเกิดความท้อแท้ผิดหวังและสูญเสียด้านเครือข่ายขึ้นมาอย่างไม่ควรที่...”
โปรดสังเกตคำว่า “สงครามใหญ่” นะครับ!!
และโปรดกรอเทปความทรงจำกลับไป 1 ปีเศษๆ หยุดลงตรงวันที่ 23 เมษายน 2550 ที่นายจักรภพ เพ็ญแขให้สัมภาษณ์ “มติชนรายวัน” ตอนหนึ่งว่า...
“ผมยอมรับระบบศักดินาไทยไม่ได้ และมีความรู้สึกว่าในตัวคุณทักษิณ ซึ่งมีจุดอ่อนอยู่หลายเรื่อง แต่คุณทักษิณก็ยังเป็นความหวังที่ดีที่สุดในการเปิดประตูไปสู่การเปลี่ยนแปลง เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน...”
เดินหน้าเทปขึ้นมาอีกนิดหยุดตรงวันที่ 20 พฤษภาคม 2550 ที่นายคนเดียวกันนี้ให้สัมภาษณ์ “ไทยโพสต์” ตอนหนึ่งว่า...
“ผมอยากให้สงครามลากไปสักปีสองปี แล้วก็เกิดการปฏิวัติโดยประชาชน”
เดินหน้าเทปต่อมาแล้วมาพินิจพิจารณาคำปราศรัยประวัติศาสตร์ที่เขาแสดงไว้ที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 ที่กำลังเป็นคดีความอยู่
ในบทความวันที่ 12 สิงหาคม 2551 นายอะไรก็ไม่รู้คนนี้ที่ใช้นามปากกาอันเคยเป็นของนายจักรภพ เพ็ญแขอ่านใจพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรว่าที่ไม่กลับมาประเทศไทยนั้นเพราะสูญเสียความเชื่อมั่นศรัทธาในสิ่งที่ตนเคยเชื่อมั่นศรัทธาว่าเป็นความงาม ความดี และความจริง ซึ่งที่สุดก็ได้พบแล้วว่าเป็นแค่ความอัปลักษณ์ ความสามานย์ และความเท็จ ไม่ได้กลัวใครฆ่าทิ้งหรือทำร้ายรังแก และยังบอกต่อไปว่าการเมืองไทยจากนี้ไปจะเป็นการ “วัดดวง” ระหว่างผู้นำที่ไปอยู่ในกระแสโลกและมีความเป็นสากล ซึ่งแน่นอนละว่าหมายถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับผู้นำอีกฝ่ายที่เขาใช้ภาษาปั้นแต่งว่า...
“ผู้นำที่สั่งยึดอำนาจซ้ำซากอยู่ในประเทศจนมั่นใจว่าพื้นที่นี้เป็นของตนทั้งหมด และจะไม่ยอมแบ่งใครเลยแม้แต่น้อยนิด...”
ผู้นำอีกฝ่ายที่ตรงข้ามกับนายใหญ่ของเขา ยังมีภาษาขยายความอีกตอนว่า...
“ควายตัวเดิมที่ลากจูงประเทศไปช้าๆ ในอัตราหอยทากเดิน...”
โปรดสังเกตคำว่า “ผู้นำที่สั่งยึดอำนาจซ้ำซาก” และ “ควายตัวเดิม” ให้ดี!
นายคนที่ใช้นามปากกาที่เคยเป็นของนายจักรภพ เพ็ญแขคนนี้รุนหลังให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรต่อสู้กับผู้นำอีกฝ่ายในลักษณะเปิดสงครามประชาชนเต็มรูป ไม่ต้องอ้อมค้อม ไม่ต้องเสียดายเงินที่จะถูกยึดไป เพราะความเคลื่อนไหวทางการเมืองในระยะนี้มันเกินกว่าการใช้เงินทำสื่อและอุปกรณ์ประชาสัมพันธ์ทั้งหลายเหมือนตอนหาเสียงเลือกตั้งไปแล้ว
ในบทความวันต่อๆ มาก็เป็นการเสนอแนะยุทธวิธีให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็นการเดินสายแฉความจริงของประเทศไทยภายใต้การขับเคลื่อนของสิ่งที่เขาเรียกว่าควายตัวเดิม หรือการเดินสายพบกับผู้ลี้ภัยการเมืองรุ่นก่อนๆ ที่อาจจะไม่โด่งดังเท่า รวมทั้งการเดินสายไปพบกับประเทศที่เขาไม่พอใจประเทศไทย และ ฯลฯ สารพัดที่จะเชื่อได้ว่าหนังสือพิมพ์ในประเทศไทยจะกล้าลงบทความที่เสนอแนะกรรมวิธีการบ่อนทำลายประเทศไทยให้กับผู้ต้องหาหนีหมายจับของศาลได้ขนาดนี้
ประเด็นที่เราจะต้องติดตามกันต่อไปก็คือท่ามกลางความอับจนสิ้นหนทางจนถึงขนาดต้องหนีครั้งนี้
คนที่ลอยคอกลางทะเลอย่างพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจะโดดจับขอนไม้ที่เส้นสายเครือข่ายโยนมาให้นี้หรือไม่ ?
พวกเราต้อง “เตรียมความคิด” และ “เตรียมความพร้อม” ไว้เช่นกัน!
คนอื่นที่หนีไปก็กบดานอยู่เงียบๆ ไม่ออกมาปรากฏตัวทั้งในรูปความคิดเห็นและรูปถ่าย ไม่ระบุถิ่นที่อยู่ด้วยตัวเองเสียด้วยซ้ำ มิพักต้องพูดถึงการวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการยุติธรรมของมาตุภูมิ
แต่ทักษิณยังคงเป็นทักษิณคนเดิม!
วันแรกที่หายตัวไปก็ร่อนแถลงการณ์จวกกระบวนการยุติธรรมเสียเต็มเปา แถมมีนัย “ระหว่างบรรทัด” ว่าจะต่อสู้ต่อและจะกลับมาแก้แค้นในไม่ช้า ขอให้แฟนานุแฟนอดทนอีกนิด
วันต่อมาก็ให้บริษัทพีอาร์ระดับโลกร่อนรูปถ่ายเดินชอปปิ้งพร้อมครอบครัวมาให้สื่อไทยขึ้นหน้า 1 ทุกฉบับ!!
แล้วจะให้บอกว่าการเมืองไทยเริ่มคลายตัวลงได้อย่างไร?
เขม็งเกลียวตึงตัวยกระดับความขัดแย้งขึ้นเสียด้วยซ้ำ หากพิจารณาว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรกำลังเดินตามแนวที่เส้นสายเครือข่ายในประเทศไทยกลุ่มหนึ่งขีดเส้นให้
เพราะจะเป็น “วันของผม..” ตามคำของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเองในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2551 หรือ “วันที่ฟ้าเปลี่ยนสี...” ตามที่ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริพูดในสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2551 ได้ ณ วันนี้นาทีนี้ไม่ใช่แค่ให้พรรคการเมืองในเครือข่ายชนะเลือกตั้งและเป็นรัฐบาลเท่านั้น เพราะอย่าลืมว่าในขณะนี้มันก็เป็นเช่นนั้นอยู่ ยังไม่เห็นจะช่วยอะไรได้ มันจะเป็นเช่นนั้นได้มันต้องก้าวกระโดดข้ามไปถึงขั้นเกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองขนานใหญ่ล้มการดำเนินงานของกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด ซึ่งไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้โดยง่ายดายและสงบสันติ
ผมไม่ได้พูดเกินเลย หากใครอ่านบทความของ “กาหลิบ” ที่เคยเป็นนามปากกาของนายจักรภพ เพ็ญแข ในคอลัมน์ “เลือกคบไม่เลือกข้าง” ในหนังสือพิมพ์ “โลกวันนี้” ตลอดสัปดาห์ที่แล้วอย่างพินิจพิเคราะห์ก็คงจะเห็น
เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2551 นายคนนี้ที่ต้องรู้ล่วงหน้าว่าวันนั้นนายใหญ่ของตนไม่กลับมาแน่ เขียนตบท้ายบทความเรื่อง “กลับมาทำไม” ของตนเรียกร้องให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรส่งสัญญาณกลับมาว่า “ไม่ถอย” แล้วบอกว่าถ้าเป็นอย่างนั้นละก็...
“การตัดสินใจครั้งนี้จะส่งผลสะเทือนเลื่อนลั่นต่อราชอาณาจักรไทยทั้งหมด เพราะเท่ากับคุณทักษิณกำลังเปิดแนวรบใหม่นอกพื้นที่อำนาจของศัตรูโดยตรง เผด็จศึกง่ายกว่ากันเยอะ...”
โปรดสังเกตคำว่า “ราชอาณาจักรไทย” นะครับพี่น้อง!
วันต่อมา วันที่ 12 สิงหาคม 2551 นายคนนี้ยังคงรุนหลังให้นายใหญ่ออกมากระทำการที่จะส่งผลสะเทือนเลื่อนลั่นต่อราชอาณาจักรไทยอีกครั้ง ตอนหนึ่งเขาเขียนในทำนองข่มขู่เล็กๆ ด้วย...
“ประเด็นสำคัญคือ คุณทักษิณจะต้องส่งสัญญาณสู้ และเตรียมความพร้อมต่อสงครามใหญ่ อย่าให้ความเงียบเข้ามาเชื่อมประสานระหว่างตัวเองและผู้สนับสนุน มิฉะนั้นจะเกิดความท้อแท้ผิดหวังและสูญเสียด้านเครือข่ายขึ้นมาอย่างไม่ควรที่...”
โปรดสังเกตคำว่า “สงครามใหญ่” นะครับ!!
และโปรดกรอเทปความทรงจำกลับไป 1 ปีเศษๆ หยุดลงตรงวันที่ 23 เมษายน 2550 ที่นายจักรภพ เพ็ญแขให้สัมภาษณ์ “มติชนรายวัน” ตอนหนึ่งว่า...
“ผมยอมรับระบบศักดินาไทยไม่ได้ และมีความรู้สึกว่าในตัวคุณทักษิณ ซึ่งมีจุดอ่อนอยู่หลายเรื่อง แต่คุณทักษิณก็ยังเป็นความหวังที่ดีที่สุดในการเปิดประตูไปสู่การเปลี่ยนแปลง เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน...”
เดินหน้าเทปขึ้นมาอีกนิดหยุดตรงวันที่ 20 พฤษภาคม 2550 ที่นายคนเดียวกันนี้ให้สัมภาษณ์ “ไทยโพสต์” ตอนหนึ่งว่า...
“ผมอยากให้สงครามลากไปสักปีสองปี แล้วก็เกิดการปฏิวัติโดยประชาชน”
เดินหน้าเทปต่อมาแล้วมาพินิจพิจารณาคำปราศรัยประวัติศาสตร์ที่เขาแสดงไว้ที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 ที่กำลังเป็นคดีความอยู่
ในบทความวันที่ 12 สิงหาคม 2551 นายอะไรก็ไม่รู้คนนี้ที่ใช้นามปากกาอันเคยเป็นของนายจักรภพ เพ็ญแขอ่านใจพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรว่าที่ไม่กลับมาประเทศไทยนั้นเพราะสูญเสียความเชื่อมั่นศรัทธาในสิ่งที่ตนเคยเชื่อมั่นศรัทธาว่าเป็นความงาม ความดี และความจริง ซึ่งที่สุดก็ได้พบแล้วว่าเป็นแค่ความอัปลักษณ์ ความสามานย์ และความเท็จ ไม่ได้กลัวใครฆ่าทิ้งหรือทำร้ายรังแก และยังบอกต่อไปว่าการเมืองไทยจากนี้ไปจะเป็นการ “วัดดวง” ระหว่างผู้นำที่ไปอยู่ในกระแสโลกและมีความเป็นสากล ซึ่งแน่นอนละว่าหมายถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับผู้นำอีกฝ่ายที่เขาใช้ภาษาปั้นแต่งว่า...
“ผู้นำที่สั่งยึดอำนาจซ้ำซากอยู่ในประเทศจนมั่นใจว่าพื้นที่นี้เป็นของตนทั้งหมด และจะไม่ยอมแบ่งใครเลยแม้แต่น้อยนิด...”
ผู้นำอีกฝ่ายที่ตรงข้ามกับนายใหญ่ของเขา ยังมีภาษาขยายความอีกตอนว่า...
“ควายตัวเดิมที่ลากจูงประเทศไปช้าๆ ในอัตราหอยทากเดิน...”
โปรดสังเกตคำว่า “ผู้นำที่สั่งยึดอำนาจซ้ำซาก” และ “ควายตัวเดิม” ให้ดี!
นายคนที่ใช้นามปากกาที่เคยเป็นของนายจักรภพ เพ็ญแขคนนี้รุนหลังให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรต่อสู้กับผู้นำอีกฝ่ายในลักษณะเปิดสงครามประชาชนเต็มรูป ไม่ต้องอ้อมค้อม ไม่ต้องเสียดายเงินที่จะถูกยึดไป เพราะความเคลื่อนไหวทางการเมืองในระยะนี้มันเกินกว่าการใช้เงินทำสื่อและอุปกรณ์ประชาสัมพันธ์ทั้งหลายเหมือนตอนหาเสียงเลือกตั้งไปแล้ว
ในบทความวันต่อๆ มาก็เป็นการเสนอแนะยุทธวิธีให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็นการเดินสายแฉความจริงของประเทศไทยภายใต้การขับเคลื่อนของสิ่งที่เขาเรียกว่าควายตัวเดิม หรือการเดินสายพบกับผู้ลี้ภัยการเมืองรุ่นก่อนๆ ที่อาจจะไม่โด่งดังเท่า รวมทั้งการเดินสายไปพบกับประเทศที่เขาไม่พอใจประเทศไทย และ ฯลฯ สารพัดที่จะเชื่อได้ว่าหนังสือพิมพ์ในประเทศไทยจะกล้าลงบทความที่เสนอแนะกรรมวิธีการบ่อนทำลายประเทศไทยให้กับผู้ต้องหาหนีหมายจับของศาลได้ขนาดนี้
ประเด็นที่เราจะต้องติดตามกันต่อไปก็คือท่ามกลางความอับจนสิ้นหนทางจนถึงขนาดต้องหนีครั้งนี้
คนที่ลอยคอกลางทะเลอย่างพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจะโดดจับขอนไม้ที่เส้นสายเครือข่ายโยนมาให้นี้หรือไม่ ?
พวกเราต้อง “เตรียมความคิด” และ “เตรียมความพร้อม” ไว้เช่นกัน!