ตลอดระยะเวลากว่าสามปีมานี้ นับตั้งแต่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ใส่เสื้อ ‘เราจะสู้เพื่อในหลวง’ ออกมาชักธงรบกับระบอบทักษิณในปี 2548 ซึ่งในเวลาต่อมามีการรวม-ขยายตัวของเครือข่ายจนกลายมาเป็นกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่มีแกนนำหลัก 5 คนในปัจจุบัน
คุณสนธิ แกนนำพันธมิตรฯ และสื่อในเครือผู้จัดการ ต่างถูกบุคคลทั่วไป เพื่อนฝูงพี่น้องในแวดวงวิชาการ-องค์กรพัฒนาเอกชนและสื่อมวลชน มองด้วยสายตาที่หยามเหยียด ตำหนิด้วยคำพูดเสียดสี และด่าทอเป็นตัวหนังสือมาตลอดว่า พวกเรากำลัง “โหนฟ้า” ใช้ “สถาบันเป็นเครื่องมือ” ทางการเมือง
ที่สำคัญ ตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่าเกือบ 3 ปีมานี้ กลุ่มพันธมิตรฯ ถูกนักวิชาการบางกลุ่มกล่าวหาว่า กำลังใช้ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ระบุว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี” มาทำลายคู่ต่อสู้โดยไม่เลือกวิธี
ทว่า กว่าสามปีมานี้ คุณสนธิและแกนนำพันธมิตรฯ ต่างต้องยอมกลืนเลือด ยอมเจ็บตัวบอบช้ำสารพัดเพื่อพิสูจน์ความจริงว่า คุณสนธิและแกนนำพันธมิตรฯ มิได้ใช้ ม.112 เป็นเครื่องมือทำลายผู้อื่น เพราะในความเป็นจริงแล้วมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่ไม่เพียง “หมิ่นสถาบันฯ” เท่านั้น แต่มีแนวคิดและจุดมุ่งหมายที่จะ “ล้มล้างสถาบันกษัตริย์” จริงๆ
การดูหมิ่น หรือไม่ให้ความเคารพศูนย์รวมจิตใจของคนไทยนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงการโยนหินถามทาง เป็นเพียงสะพานที่มุ่งไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่าเท่านั้น
การล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ซึ่งแน่นอนว่าไม่เพียงเป็น ‘ความผิด’ ตามข้อความที่ระบุไว้ในกฎหมายสูงสุด ที่ระบุว่า “บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้” (ตามมาตรา 70 ของ รธน. 2550 และมาตรา 66 ตาม รธน.2540) แต่เป็นการล้มล้างที่อยู่บนพื้นฐานของความมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงรากฐานทางด้านวัฒนธรรม-ประเพณี สังคม จิตวิญญาณและความเชื่อของคนในสังคมไทยทั้งมวลอีกด้วย
การถูกฟ้องร้องและดำเนินคดีอาญาในข้อหาหมิ่นสถาบันฯ ตามมาตรา 112 ของ คุณสนธิ และ อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ หลายต่อหลายคดี เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า พันธมิตรฯ ไม่ได้รับ “อภิสิทธิ์” ปกป้องตัวเองจากคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเลย ทว่า พันธมิตรฯ ก็ไม่เคยปริปาก เรียกร้องให้มีการยกเลิก ม.112 อย่างที่นักวิชาการทั้งของจริง-ของปลอม หรือเอ็นจีโอบางฝ่ายเรียกร้อง
การปรากฏขึ้นของปาฐกถาที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCCT) และคำปราศรัยที่ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกาในปี 2550 โดย นายจักรภพ เพ็ญแข เกี่ยวกับแนวคิดการปกครองประเทศในรูปแบบ “อื่น” รวมถึงบทความของ ‘กาหลิบ’ ในหนังสือพิมพ์โลกวันนี้ในปี 2551
เมื่อนำมาผนวกเข้ากับคำปราศรัยที่ท้องสนามของ ‘ดา ตอร์ปิโด’ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2551 และการจัดรายการออกอากาศเรื่อง “ตำนานศักดินา” ทางคลื่นวิทยุชุมชน 102.75 MHz ของบุคคลที่ใช้ชื่อว่า ชีพ ชูชัย โดยเป็นการออกอากาศอย่างต่อเนื่องมากกว่า 10 ตอนในช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน ถึง กรกฎาคม 2551 พิสูจน์ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว
การถูกกระชากหน้ากากทางความคิดของ นายจักรภพ น.ส.ดารณี และ ชีพ ชูชัย (ที่เชื่อกันว่าคือ นายชูชีพ ชีวะสุทธิ์ หรือ สหายสมชาย ผู้ใกล้ชิดคนในพรรคพลังประชาชน) นั้นถือว่าเป็น ‘จิ๊กซอว์’ และ ‘หลักฐาน’ ชิ้นสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดของระบอบทักษิณ
‘จุดมุ่งหมายสูงสุด’ ของระบอบทักษิณ ที่บังเอิญอาจไปสอดคล้องกับปมลึกๆ ในใจของนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์-รัฐศาสตร์-อักษรศาสตร์ อดีตนักศึกษาสมัย 6 ตุลาคม 2519 อย่าง สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ธงชัย วินิจจะกูล สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ รวมถึงนักวิชาการอีกจำนวนหนึ่ง
แน่นอนว่า การดึงเอามันสมองนักวิชาการเหล่านี้มาอยู่ฝ่ายเดียวกัน ทำให้การเคลื่อนไหวเพื่อนำไปสู่ระบอบการปกครองในรูปแบบ “อื่น” ที่มิใช่ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ของระบอบทักษิณนั้นกลายเป็นการเคลื่อนไหวที่มีพลัง และมีรากฐานทาง ‘ความคิด-ปรัชญา’ ขึ้นมาทันที
ความคิดและปรัชญาที่ในเวลานี้ถูกบ่มเพาะให้กลายมาเป็นจิตวิญญาณการเคลื่อนไหวหลักของระบอบทักษิณไปเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะกระจายไปสู่แนวคิดของชาวรากหญ้า-รากแก้ว ชาวท้องถิ่น-ชนบททั้งหลายด้วย
คงไม่มีใครเชื่อว่า ในเวลานี้ชาวบ้านบางกลุ่มเริ่มเชื่อแล้วว่าประเทศไทยในอนาคต จะมีหรือไม่มีสถาบันก็ได้ ถ้ามีก็ขอให้มีบทบาทแบบในประเทศญี่ปุ่นหรือในประเทศอังกฤษก็เพียงพอ
การอธิบายความเชื่อมโยงของ “เครือข่ายความคิด” ของคนกลุ่มข้างต้นอย่างละเอียดนั้นจำเป็นต้องใช้เวลามาก และอาจจะเขียนหนังสือได้อีกหลายเล่ม อย่างไรก็ตามไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ถึงความสัมพันธ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมระหว่างชื่อของบุคคลทั้งหมดข้างต้นที่ผมกล่าวมาได้
จักรภพ เพ็ญแข อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคไทยรักไทย อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แกนนำ นปก. และเจ้าของนามปากกา ‘กาหลิบ’ แห่งหนังสือพิมพ์โลกวันนี้ ผู้ถูกกล่าวหาว่ามีแนวคิดอันเป็นอันตรายต่อสถาบันฯ สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายไปถึงบุคคลใดได้บ้าง?
ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล แกนนำกลุ่มที่เคลื่อนไหวคู่ไปกับ นปก. ซึ่งในเวลาต่อมาเมื่อถูกจับกุมก็มี นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ มายื่นขอประกันตัวให้แต่ไม่ได้รับอนุญาต สองคนนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างไร? ใช่หรือไม่ว่านายสุธาชัยคือ หนึ่งในคณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ (คปพร.) ซึ่งถูกอุปโลกน์ขึ้นมาให้เป็นองค์กรภาคประชาชนผู้เสนอขอยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ให้กับ ส.ส.พรรคพลังประชาชนนำเข้าพิจารณาในสภา
ชูชีพ ชีวสุทธิ์ ประธานชมรมพิทักษ์รัฐธรรมนูญและอดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทย คนเดือนตุลาฯ ผู้ซึ่งมีความสนิทสนมกับ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช และนายเนวิน ชิดชอบ และเคลื่อนไหวสอดคล้องกับอดีตพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนอยู่เสมอ
ณ วันนี้ ภาพต่อขบวนการมุ่งหวังให้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองถูกต่อครบถ้วนแล้ว ด้วย “จิ๊กซอว์” ทั้งหลายข้างต้น รอเพียงสื่อมวลชนทั่วไป และประชาชนทั้งหลาย เปิดตา-เปิดใจ-เปิดสมอง เพื่อเข้าถึงข้อเท็จจริงเท่านั้น
คุณสนธิ แกนนำพันธมิตรฯ และสื่อในเครือผู้จัดการ ต่างถูกบุคคลทั่วไป เพื่อนฝูงพี่น้องในแวดวงวิชาการ-องค์กรพัฒนาเอกชนและสื่อมวลชน มองด้วยสายตาที่หยามเหยียด ตำหนิด้วยคำพูดเสียดสี และด่าทอเป็นตัวหนังสือมาตลอดว่า พวกเรากำลัง “โหนฟ้า” ใช้ “สถาบันเป็นเครื่องมือ” ทางการเมือง
ที่สำคัญ ตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่าเกือบ 3 ปีมานี้ กลุ่มพันธมิตรฯ ถูกนักวิชาการบางกลุ่มกล่าวหาว่า กำลังใช้ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ระบุว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี” มาทำลายคู่ต่อสู้โดยไม่เลือกวิธี
ทว่า กว่าสามปีมานี้ คุณสนธิและแกนนำพันธมิตรฯ ต่างต้องยอมกลืนเลือด ยอมเจ็บตัวบอบช้ำสารพัดเพื่อพิสูจน์ความจริงว่า คุณสนธิและแกนนำพันธมิตรฯ มิได้ใช้ ม.112 เป็นเครื่องมือทำลายผู้อื่น เพราะในความเป็นจริงแล้วมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่ไม่เพียง “หมิ่นสถาบันฯ” เท่านั้น แต่มีแนวคิดและจุดมุ่งหมายที่จะ “ล้มล้างสถาบันกษัตริย์” จริงๆ
การดูหมิ่น หรือไม่ให้ความเคารพศูนย์รวมจิตใจของคนไทยนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงการโยนหินถามทาง เป็นเพียงสะพานที่มุ่งไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่าเท่านั้น
การล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ซึ่งแน่นอนว่าไม่เพียงเป็น ‘ความผิด’ ตามข้อความที่ระบุไว้ในกฎหมายสูงสุด ที่ระบุว่า “บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้” (ตามมาตรา 70 ของ รธน. 2550 และมาตรา 66 ตาม รธน.2540) แต่เป็นการล้มล้างที่อยู่บนพื้นฐานของความมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงรากฐานทางด้านวัฒนธรรม-ประเพณี สังคม จิตวิญญาณและความเชื่อของคนในสังคมไทยทั้งมวลอีกด้วย
การถูกฟ้องร้องและดำเนินคดีอาญาในข้อหาหมิ่นสถาบันฯ ตามมาตรา 112 ของ คุณสนธิ และ อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ หลายต่อหลายคดี เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า พันธมิตรฯ ไม่ได้รับ “อภิสิทธิ์” ปกป้องตัวเองจากคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเลย ทว่า พันธมิตรฯ ก็ไม่เคยปริปาก เรียกร้องให้มีการยกเลิก ม.112 อย่างที่นักวิชาการทั้งของจริง-ของปลอม หรือเอ็นจีโอบางฝ่ายเรียกร้อง
การปรากฏขึ้นของปาฐกถาที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCCT) และคำปราศรัยที่ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกาในปี 2550 โดย นายจักรภพ เพ็ญแข เกี่ยวกับแนวคิดการปกครองประเทศในรูปแบบ “อื่น” รวมถึงบทความของ ‘กาหลิบ’ ในหนังสือพิมพ์โลกวันนี้ในปี 2551
เมื่อนำมาผนวกเข้ากับคำปราศรัยที่ท้องสนามของ ‘ดา ตอร์ปิโด’ น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2551 และการจัดรายการออกอากาศเรื่อง “ตำนานศักดินา” ทางคลื่นวิทยุชุมชน 102.75 MHz ของบุคคลที่ใช้ชื่อว่า ชีพ ชูชัย โดยเป็นการออกอากาศอย่างต่อเนื่องมากกว่า 10 ตอนในช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน ถึง กรกฎาคม 2551 พิสูจน์ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว
การถูกกระชากหน้ากากทางความคิดของ นายจักรภพ น.ส.ดารณี และ ชีพ ชูชัย (ที่เชื่อกันว่าคือ นายชูชีพ ชีวะสุทธิ์ หรือ สหายสมชาย ผู้ใกล้ชิดคนในพรรคพลังประชาชน) นั้นถือว่าเป็น ‘จิ๊กซอว์’ และ ‘หลักฐาน’ ชิ้นสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดของระบอบทักษิณ
‘จุดมุ่งหมายสูงสุด’ ของระบอบทักษิณ ที่บังเอิญอาจไปสอดคล้องกับปมลึกๆ ในใจของนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์-รัฐศาสตร์-อักษรศาสตร์ อดีตนักศึกษาสมัย 6 ตุลาคม 2519 อย่าง สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ธงชัย วินิจจะกูล สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ รวมถึงนักวิชาการอีกจำนวนหนึ่ง
แน่นอนว่า การดึงเอามันสมองนักวิชาการเหล่านี้มาอยู่ฝ่ายเดียวกัน ทำให้การเคลื่อนไหวเพื่อนำไปสู่ระบอบการปกครองในรูปแบบ “อื่น” ที่มิใช่ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ของระบอบทักษิณนั้นกลายเป็นการเคลื่อนไหวที่มีพลัง และมีรากฐานทาง ‘ความคิด-ปรัชญา’ ขึ้นมาทันที
ความคิดและปรัชญาที่ในเวลานี้ถูกบ่มเพาะให้กลายมาเป็นจิตวิญญาณการเคลื่อนไหวหลักของระบอบทักษิณไปเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะกระจายไปสู่แนวคิดของชาวรากหญ้า-รากแก้ว ชาวท้องถิ่น-ชนบททั้งหลายด้วย
คงไม่มีใครเชื่อว่า ในเวลานี้ชาวบ้านบางกลุ่มเริ่มเชื่อแล้วว่าประเทศไทยในอนาคต จะมีหรือไม่มีสถาบันก็ได้ ถ้ามีก็ขอให้มีบทบาทแบบในประเทศญี่ปุ่นหรือในประเทศอังกฤษก็เพียงพอ
การอธิบายความเชื่อมโยงของ “เครือข่ายความคิด” ของคนกลุ่มข้างต้นอย่างละเอียดนั้นจำเป็นต้องใช้เวลามาก และอาจจะเขียนหนังสือได้อีกหลายเล่ม อย่างไรก็ตามไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ถึงความสัมพันธ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมระหว่างชื่อของบุคคลทั้งหมดข้างต้นที่ผมกล่าวมาได้
จักรภพ เพ็ญแข อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคไทยรักไทย อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แกนนำ นปก. และเจ้าของนามปากกา ‘กาหลิบ’ แห่งหนังสือพิมพ์โลกวันนี้ ผู้ถูกกล่าวหาว่ามีแนวคิดอันเป็นอันตรายต่อสถาบันฯ สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายไปถึงบุคคลใดได้บ้าง?
ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล แกนนำกลุ่มที่เคลื่อนไหวคู่ไปกับ นปก. ซึ่งในเวลาต่อมาเมื่อถูกจับกุมก็มี นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ มายื่นขอประกันตัวให้แต่ไม่ได้รับอนุญาต สองคนนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างไร? ใช่หรือไม่ว่านายสุธาชัยคือ หนึ่งในคณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ (คปพร.) ซึ่งถูกอุปโลกน์ขึ้นมาให้เป็นองค์กรภาคประชาชนผู้เสนอขอยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ให้กับ ส.ส.พรรคพลังประชาชนนำเข้าพิจารณาในสภา
ชูชีพ ชีวสุทธิ์ ประธานชมรมพิทักษ์รัฐธรรมนูญและอดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทย คนเดือนตุลาฯ ผู้ซึ่งมีความสนิทสนมกับ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช และนายเนวิน ชิดชอบ และเคลื่อนไหวสอดคล้องกับอดีตพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนอยู่เสมอ
ณ วันนี้ ภาพต่อขบวนการมุ่งหวังให้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองถูกต่อครบถ้วนแล้ว ด้วย “จิ๊กซอว์” ทั้งหลายข้างต้น รอเพียงสื่อมวลชนทั่วไป และประชาชนทั้งหลาย เปิดตา-เปิดใจ-เปิดสมอง เพื่อเข้าถึงข้อเท็จจริงเท่านั้น