สำหรับท่านผู้สูงวัยที่ไม่ค่อยคุ้นเคยการอ่านข่าวสารทางอินเทอร์เน็ต หรือไม่ได้รับชมข่าวสารทางเอเอสทีวี อาจจะไม่รู้เรื่องราวที่จะกล่าวต่อไปนี้
เรื่องราวของนักเขียนนามปากกา “ประดาบ” และ “เว็บไซต์ประชาไท”
“ประดาบ” เป็นนักเขียนที่ชื่นชอบในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายถึงขนาดเป็นผู้เริ่มต้นก่อการจัดตั้งเว็บไซต์ที่ชื่อว่า ไฮ-ทักษิณ ตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2550 เพื่อเป็นสื่อในการยกยอปอปั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและพวกพ้องให้ดูดีตลอดจนทำหน้าที่โจมตีฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามในทุกรูปแบบ
จะว่าไปแล้วสำหรับบทความของประดาบ และเว็บไซต์ ไฮ-ทักษิณ มีโอกาสเป็นที่รู้จักจากการนำเสนอมากที่สุดและถี่ที่สุดในสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี และสื่อในเครือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน
เว็บไซต์และนามปากกาดังกล่าวต้องปิดตัวลงไปเองประมาณปลายเดือนเมษายน พ.ศ. 2551 ภายหลังจากเกิดความขัดแย้งแก่งแย่งชิงอำนาจกันเองในพรรคพลังประชาชน และอ้างการปิดตัวลงดังกล่าวเป็นการรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับคนในครอบครัว “ชินวัตร” ว่า จะไม่มี ไฮ-ทักษิณ และ ประดาบ เพื่อมิให้เป็นที่เดือดร้อนต่อครอบครัว “ชินวัตร”
และภายหลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หนีอาญาแผ่นดินไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ได้ไม่นาน “ประดาบ” ก็กลับมาอีกครั้งในวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2551 ในเว็บไซต์ประชาไท ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่มีพฤติกรรมในการนำเสนอที่หมิ่นเหม่ในการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่อง
บ่อยครั้งเว็บไซต์ประชาไทมักจะนำบทความจากเว็บไซต์และหนังสือฟ้าเดียวกัน ซึ่งมีเนื้อหาที่วิพากษ์วิจารณ์และลดความน่าเชื่อถือต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างโจ่งแจ้ง นอกจากนี้เว็บไซต์ประชาไทยังเคยเปิดพื้นที่รณรงค์ให้กำลังใจสนับสนุนนายโชติศักดิ์ อ่อนสูง ผู้ที่ไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์ อีกทั้งยังมีการปล่อยให้มีการโพสต์ข้อความแสดงความเห็นที่ดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างรุนแรงอีกด้วย
การเลือกกลับมาแสดงความเห็นของ “ประดาบ” ผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในเว็บไซต์ประชาไท ย่อมเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่ากลุ่มบุคคลนี้ น่าจะมีจุดร่วมและเป้าหมายที่เกื้อกูลกันมานานแล้ว จึงได้มีรสนิยมที่ตรงกัน ใช่หรือไม่?
การกลับมาของ ประดาบ ในเว็บไซต์ประชาไท เป็นการกลับมาอย่างทันท่วงทีในวันเดียวกันที่หนังสือพิมพ์โลกวันนี้ตัดสินใจถอดคอลัมน์ของ “กาหลิบ” นักเขียนที่เป็นปากเสียงให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และจาบจ้วงสถาบันที่คนไทยรักและเทิดทูนออกไปในเช้าวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2551
เป็นความลงตัวที่เกิดขึ้นอย่างพอดิบพอดี ในช่วงเวลาที่เว็บไซต์ประชาไทกำลังประกาศตัวอย่างโจ่งแจ้งในเว็บไซต์ของตัวเองอยู่ในขณะนี้ว่าหมดทุนดำเนินงาน และขอรับเงินบริจาคสำหรับการดำเนินงานในช่วงนี้อย่างเร่งด่วน
คำถามที่น่าสงสัยมีอยู่ว่า สถานการณ์วิกฤตการณ์ทางการเงินของเว็บไซต์ประชาไทนั้น เป็นความสอดคล้องกับการหยิบ “ประดาบ” มาเขียนบทความเพื่อเรียกแขกและนายทุนสนับสนุนเว็บไซต์ใช่หรือไม่?
การกลับมาของ “ประดาบ” ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเช่นเคย เลือกประเด็นที่เอาอกเอาใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรที่กำลังเป็นผู้ร้ายหนีอาญาแผ่นดินอยู่ในขณะนี้ ด้วยหัวข้อเรื่องว่า
“รัฐธรรมนูญ กับศาล จากประดาบ”
เฉพาะแค่ชื่อหัวข้อที่ต้องระบุชื่อผู้เขียนก็รู้แล้วว่าต้องการเรียกแขก เรียกร้องความสนใจ จากผู้สนับสนุนทั้งหลายในระบอบทักษิณอย่างชัดเจนเพียงใด
ไม่อยากจะนำถ้อยความที่หมิ่นเหม่ต่อการละเมิดอำนาจศาลหรือหมิ่นศาลมาเผยแพร่ต่อ แต่ก็จำเป็นที่จะต้องให้ผู้อ่านในโลกข่าวสารที่ไร้พรมแดนและไม่สามารถปิดกั้นได้ในโลกของอินเทอร์เน็ต ได้รู้เท่าทันนักเขียนแห่งระบอบทักษิณผู้นี้
“ประดาบ” ใช้วิธีการนำคำพิพากษาศาลอาญาในกรณีการหนีภาษีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป ซึ่งมีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ว่าการนำเรื่องสถานะทางเศรษฐกิจ ทางสังคมสูง เป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินลงโทษจำคุกโดยไม่รอลงอาญา จะต้องนำไปใช้กับกรณีอื่นๆ ด้วย มิเช่นนั้นอาจจะเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 30
“ประดาบ” ใช้วิธีเทียบเคียงกับกรณีการบุกรุกที่ดินป่าสงวนแห่งชาติของภริยาของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ย่อมไม่เป็นการถูกต้อง เพราะคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ถูกศาลอาญาตัดสินชั้นหนึ่งแล้ว แม้สมมติว่าภริยาของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์จะมีความผิดจริงก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงขั้นตอนการกล่าวหาเท่านั้น ยังไม่ใช่คำพิพากษาของศาลแต่ประการใด จึงไม่สามารถที่จะไปกล่าวหาศาลว่าเลือกปฏิบัติได้
“ประดาบ” ใช้วิธีเทียบเคียงเรื่องการฟ้องร้องกัน “ระหว่างบุคคล” ของอีกกรณีหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีสถานภาพเหมือนกับ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ที่เป็นถึงภริยานายกรัฐมนตรีซึ่งมีอำนาจคุมกลไกของรัฐอย่างเบ็ดเสร็จและยังเป็นมหาเศรษฐีของโลกอีกด้วย ถ้ายังหลบเลี่ยงโกงเงินภาษีแผ่นดิน ก็ย่อมต้องเป็นคนละเรื่องกับคดีฟ้องร้องที่เป็นเรื่องระหว่างบุคคลอยู่แล้ว
ที่สำคัญหาก คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ถ้าไม่เห็นด้วยในคำพิพากษาศาลอาญาก็ยังสามารถใช้สิทธิที่จะต่อสู้ในชั้นศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกาต่อไปได้อีก ไม่ใช่เผ่นหนีคดีเอาเสียดื้อๆ เหมือนกับที่เป็นอยู่ขณะนี้!
เหมือนกับคดีของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 3 ปี โดยไม่รอลงอาญาในคดีหมิ่นประมาท แม้จะต้องเคารพคำตัดสินของศาลชั้นต้น แต่เมื่อไม่เห็นด้วยก็สามารถอุทธรณ์ต่อไปตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม โดยไม่ต้องหนีอาญาแผ่นดินเหมือนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ประการใด
เพราะด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ก็ไม่จำเป็นต้องพิพากษาเหมือนศาลชั้นต้นเสมอไป ศาลฎีกาก็ไม่จำเป็นต้องพิพากษาเหมือนศาลอุทธรณ์เช่นเดียวกัน
ทำไมคนอย่าง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งไม่ได้มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ ไม่สามารถโยกย้ายข้าราชการได้ ไม่ได้มีเงินทองมากมายที่จะไปติดสินบนใคร แม้ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาลงโทษตัวเองในบางคดี เหตุใดยังคงยืนหยัดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไปโดยไม่ต้องหลบหนี
ก็เพราะความเชื่อมั่นและศรัทธาว่าตัวเองจะได้รับความเป็นธรรมเมื่อถึงที่สุดแห่งคดีความ !
ในทางตรงกันข้ามกับคนที่กระทำความผิดและมีอำนาจรัฐอยู่มือ คุมกลไกทุกอย่าง แล้วไม่ยอมถูกลงโทษตามกฎหมายจะทำให้เกิดผลเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อกระบวนการยุติธรรม เพราะจะทำทุกวิถีทางให้ตัวเองรอดจากคดีความเหล่านั้น ด้วยการโยกย้ายข้าราชการให้พวกของตัวเองเข้าไปจัดการกับคดีความ ใช้อำนาจตำรวจกลั่นแกล้งองค์กรอิสระต่างๆ จนถึงขั้นเสนอผลตอบแทนทั้งในรูปของตำแหน่งหน้าที่การงาน หรือเงินทองเพื่อทำให้กระบวนการตรวจสอบการโกงกินทั้งหลายก่อนถึงศาลต้องมีอันต้องเป็นอัมพาตหยุดชะงักไปในที่สุด
แม้แต่เมื่อไม่นานมานี้ นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลถึงขั้นจะรวมหัวกันเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับตัวเอง และพวกพ้องให้รอดพ้นการลงโทษความผิดชั้นศาลอย่างหน้าด้านๆ หรือการถูกจับได้ไล่ทันว่าคณะทนายของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้นำเงิน 2 ล้านบาท ใส่ถุงขนมเพื่อติดบนเจ้าหน้าที่ศาล จนมีอันต้องไปนอนในคุกตะรางกันอยู่ขณะนี้
นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงอันตรายของคนที่กระทำผิดกฎหมายและควบคุมอำนาจรัฐอยู่ในมือแบบเบ็ดเสร็จ
ดังนั้นหากคนเหล่านี้กระทำความผิดและถูกพิจารณาคดีในชั้นศาลเมื่อใด ก็สมควรที่จะต้องถูกลงโทษอย่างสาสมเช่นเดียวกัน
คนเราถ้าไม่ได้กระทำผิดจริง จะไปกลัวอะไรกับการพิจารณาคดีในชั้นศาลที่พิจารณาคดีภายใต้พระปรมาภิไธย!
ถ้าจำกันได้เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 นายจักรภพ เพ็ญแข ในฐานะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กระทำผิดมารยาททางการเมืองโดยการใช้เวทีสภาผู้แทนราษฎรด่าสื่อในเครือผู้จัดการบุคคลที่ 3 ที่ไม่ได้อยู่ในรัฐสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนำคำพิพากษาของศาลอาญาเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ที่ลงโทษจำคุกนายสนธิ ลิ้มทองกุลโดยไม่รอลงอาญามาเสมือนประจานในสภาผู้แทนราษฎรทั้งๆ ที่อยู่ในระหว่างการอุทธรณ์ ซึ่งต่อมาในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ได้ตำหนินายจักรภพในการกระทำดังกล่าวว่าไม่มีมารยาท และไม่เหมาะสมเพราะยังไม่สิ้นสุดแห่งคดีและอยู่ระหว่างการอุทธรณ์ โดยเนื้อความในการจัดรายการระบุว่า
“คุณจักรภพ ตัดสินใจหยิบยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ซึ่งคุณสนธิไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษานั้น และทำการอุทธรณ์ต่อในชั้นกระบวนการยุติธรรม และก็หยิบเหตุนั้นซึ่งในคดีความยังไม่สิ้นสุดมาพูด และมาอ่านให้ฟัง”
และถ้า “ประดาบ” ยังไม่สติฟั่นเฟือนและยังจำบทความของตัวเองที่ตำหนิรายการยามเฝ้าแผ่นดินในเว็บไซต์ไฮ-ทักษิณ เอาไว้เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 ความตอนหนึ่งว่า:
“เพื่อจะปกป้องสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ต้องคำพิพากษาของศาล ให้ลงโทษจำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา ด้วยความผิดมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรง ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ถึงกับใช้ถ้อยคำวาทกรรมที่เป็นด้อยค่าคำพิพากษาของศาล ให้ประชาชนรู้สึกคล้อยตามว่า อาจจะเป็นคำพิพากษาที่ยังไม่น่าเชื่อถือ ไม่ควรนำมากล่าวอ้างได้
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คงกระสันจะไปใช้ชีวิตในคุกเสียเต็มประดาต้องไม่ลืมว่า คำพิพากษาจำคุกสนธิ ลิ้มทองกุล 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา ด้วยเหตุว่าเป็นบุคคลที่เป็นอันตรายต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรงนั้น เป็นคำพิพากษาของศาลภายใต้พระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
แม้จะเป็นศาลชั้นต้น แต่ก็เป็นศาลสถิตยุติธรรมที่พิจารณาอรรถคดีด้วยความเที่ยงธรรม ภายใต้พระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เช่นเดียวกับศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา”
ข้อความข้างต้นคือตรรกะแบบ “ประดาบ”
แต่พอเมื่อคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ถูกพิพากษาศาลชั้นต้นจำคุกโดยไม่รอลงอาญาในข้อหาโกงภาษีแผ่นดิน ประดาบจะไม่เคารพและยอมรับในความเที่ยงธรรมของศาลชั้นต้นภายใต้พระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เหมือนที่ตัวเองเคยเขียนเอาไว้บ้างหรอกหรือ?
ถ้าคำพิพากษาศาลชั้นต้นออกมาแล้วห้ามไม่เห็นด้วย คุณหญิงพจมาน ชินวัตร จะอุทธรณ์ทันทีเพื่ออะไร?
เพื่อต่อสู้ความจริงในกระบวนการยุติธรรมแบบนายสนธิ ลิ้มทองกุล หรือเพื่อ “หนี” ความผิดของตัวเองที่รู้ดีว่าทำอะไรลงไป จนต้องถูกออกหมายจับติดประจานไปทั่วประเทศอยู่ในขณะนี้
การบังอาจตั้งข้อสังเกตในคำพิพากษาในศาลอาญาของ “ประดาบ” ต่างหาก ที่อาจจะเข้าข่ายดูหมิ่นและละเมิดอำนาจศาลภายใต้พระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเอาได้!
บทความของประดาบยังทิ้งท้ายด้วยว่า…
“เกือบลืม... ช่วยกันบริจาคเพื่อต่อลมหายใจแก่ ประชาไท ด้วยนะครับ”
ถ้าหากจะลองนำบทความตรรกะแปลกๆ ของ “ประดาบ” ที่พยายามทำกันอยู่ตอนนี้ ไปเสนอผลงานเพื่อขอเงินบริจาคจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรผู้ร้ายหนีอาญาแผ่นดินที่กำลังพำนักอยู่ที่อังกฤษอยู่ในขณะนี้ บางทีเว็บไซต์ประชาไทอาจมีโอกาสอยู่รอดอีกหลายปีก็เป็นได้!
เรื่องราวของนักเขียนนามปากกา “ประดาบ” และ “เว็บไซต์ประชาไท”
“ประดาบ” เป็นนักเขียนที่ชื่นชอบในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายถึงขนาดเป็นผู้เริ่มต้นก่อการจัดตั้งเว็บไซต์ที่ชื่อว่า ไฮ-ทักษิณ ตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2550 เพื่อเป็นสื่อในการยกยอปอปั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและพวกพ้องให้ดูดีตลอดจนทำหน้าที่โจมตีฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามในทุกรูปแบบ
จะว่าไปแล้วสำหรับบทความของประดาบ และเว็บไซต์ ไฮ-ทักษิณ มีโอกาสเป็นที่รู้จักจากการนำเสนอมากที่สุดและถี่ที่สุดในสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี และสื่อในเครือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน
เว็บไซต์และนามปากกาดังกล่าวต้องปิดตัวลงไปเองประมาณปลายเดือนเมษายน พ.ศ. 2551 ภายหลังจากเกิดความขัดแย้งแก่งแย่งชิงอำนาจกันเองในพรรคพลังประชาชน และอ้างการปิดตัวลงดังกล่าวเป็นการรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับคนในครอบครัว “ชินวัตร” ว่า จะไม่มี ไฮ-ทักษิณ และ ประดาบ เพื่อมิให้เป็นที่เดือดร้อนต่อครอบครัว “ชินวัตร”
และภายหลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หนีอาญาแผ่นดินไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ได้ไม่นาน “ประดาบ” ก็กลับมาอีกครั้งในวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2551 ในเว็บไซต์ประชาไท ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่มีพฤติกรรมในการนำเสนอที่หมิ่นเหม่ในการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่อง
บ่อยครั้งเว็บไซต์ประชาไทมักจะนำบทความจากเว็บไซต์และหนังสือฟ้าเดียวกัน ซึ่งมีเนื้อหาที่วิพากษ์วิจารณ์และลดความน่าเชื่อถือต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างโจ่งแจ้ง นอกจากนี้เว็บไซต์ประชาไทยังเคยเปิดพื้นที่รณรงค์ให้กำลังใจสนับสนุนนายโชติศักดิ์ อ่อนสูง ผู้ที่ไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์ อีกทั้งยังมีการปล่อยให้มีการโพสต์ข้อความแสดงความเห็นที่ดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างรุนแรงอีกด้วย
การเลือกกลับมาแสดงความเห็นของ “ประดาบ” ผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในเว็บไซต์ประชาไท ย่อมเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่ากลุ่มบุคคลนี้ น่าจะมีจุดร่วมและเป้าหมายที่เกื้อกูลกันมานานแล้ว จึงได้มีรสนิยมที่ตรงกัน ใช่หรือไม่?
การกลับมาของ ประดาบ ในเว็บไซต์ประชาไท เป็นการกลับมาอย่างทันท่วงทีในวันเดียวกันที่หนังสือพิมพ์โลกวันนี้ตัดสินใจถอดคอลัมน์ของ “กาหลิบ” นักเขียนที่เป็นปากเสียงให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และจาบจ้วงสถาบันที่คนไทยรักและเทิดทูนออกไปในเช้าวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2551
เป็นความลงตัวที่เกิดขึ้นอย่างพอดิบพอดี ในช่วงเวลาที่เว็บไซต์ประชาไทกำลังประกาศตัวอย่างโจ่งแจ้งในเว็บไซต์ของตัวเองอยู่ในขณะนี้ว่าหมดทุนดำเนินงาน และขอรับเงินบริจาคสำหรับการดำเนินงานในช่วงนี้อย่างเร่งด่วน
คำถามที่น่าสงสัยมีอยู่ว่า สถานการณ์วิกฤตการณ์ทางการเงินของเว็บไซต์ประชาไทนั้น เป็นความสอดคล้องกับการหยิบ “ประดาบ” มาเขียนบทความเพื่อเรียกแขกและนายทุนสนับสนุนเว็บไซต์ใช่หรือไม่?
การกลับมาของ “ประดาบ” ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเช่นเคย เลือกประเด็นที่เอาอกเอาใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรที่กำลังเป็นผู้ร้ายหนีอาญาแผ่นดินอยู่ในขณะนี้ ด้วยหัวข้อเรื่องว่า
“รัฐธรรมนูญ กับศาล จากประดาบ”
เฉพาะแค่ชื่อหัวข้อที่ต้องระบุชื่อผู้เขียนก็รู้แล้วว่าต้องการเรียกแขก เรียกร้องความสนใจ จากผู้สนับสนุนทั้งหลายในระบอบทักษิณอย่างชัดเจนเพียงใด
ไม่อยากจะนำถ้อยความที่หมิ่นเหม่ต่อการละเมิดอำนาจศาลหรือหมิ่นศาลมาเผยแพร่ต่อ แต่ก็จำเป็นที่จะต้องให้ผู้อ่านในโลกข่าวสารที่ไร้พรมแดนและไม่สามารถปิดกั้นได้ในโลกของอินเทอร์เน็ต ได้รู้เท่าทันนักเขียนแห่งระบอบทักษิณผู้นี้
“ประดาบ” ใช้วิธีการนำคำพิพากษาศาลอาญาในกรณีการหนีภาษีการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป ซึ่งมีคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ว่าการนำเรื่องสถานะทางเศรษฐกิจ ทางสังคมสูง เป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินลงโทษจำคุกโดยไม่รอลงอาญา จะต้องนำไปใช้กับกรณีอื่นๆ ด้วย มิเช่นนั้นอาจจะเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 30
“ประดาบ” ใช้วิธีเทียบเคียงกับกรณีการบุกรุกที่ดินป่าสงวนแห่งชาติของภริยาของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ย่อมไม่เป็นการถูกต้อง เพราะคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ถูกศาลอาญาตัดสินชั้นหนึ่งแล้ว แม้สมมติว่าภริยาของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์จะมีความผิดจริงก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงขั้นตอนการกล่าวหาเท่านั้น ยังไม่ใช่คำพิพากษาของศาลแต่ประการใด จึงไม่สามารถที่จะไปกล่าวหาศาลว่าเลือกปฏิบัติได้
“ประดาบ” ใช้วิธีเทียบเคียงเรื่องการฟ้องร้องกัน “ระหว่างบุคคล” ของอีกกรณีหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีสถานภาพเหมือนกับ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ที่เป็นถึงภริยานายกรัฐมนตรีซึ่งมีอำนาจคุมกลไกของรัฐอย่างเบ็ดเสร็จและยังเป็นมหาเศรษฐีของโลกอีกด้วย ถ้ายังหลบเลี่ยงโกงเงินภาษีแผ่นดิน ก็ย่อมต้องเป็นคนละเรื่องกับคดีฟ้องร้องที่เป็นเรื่องระหว่างบุคคลอยู่แล้ว
ที่สำคัญหาก คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ถ้าไม่เห็นด้วยในคำพิพากษาศาลอาญาก็ยังสามารถใช้สิทธิที่จะต่อสู้ในชั้นศาลอุทธรณ์ หรือศาลฎีกาต่อไปได้อีก ไม่ใช่เผ่นหนีคดีเอาเสียดื้อๆ เหมือนกับที่เป็นอยู่ขณะนี้!
เหมือนกับคดีของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 3 ปี โดยไม่รอลงอาญาในคดีหมิ่นประมาท แม้จะต้องเคารพคำตัดสินของศาลชั้นต้น แต่เมื่อไม่เห็นด้วยก็สามารถอุทธรณ์ต่อไปตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม โดยไม่ต้องหนีอาญาแผ่นดินเหมือนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ประการใด
เพราะด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ก็ไม่จำเป็นต้องพิพากษาเหมือนศาลชั้นต้นเสมอไป ศาลฎีกาก็ไม่จำเป็นต้องพิพากษาเหมือนศาลอุทธรณ์เช่นเดียวกัน
ทำไมคนอย่าง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งไม่ได้มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ ไม่สามารถโยกย้ายข้าราชการได้ ไม่ได้มีเงินทองมากมายที่จะไปติดสินบนใคร แม้ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาลงโทษตัวเองในบางคดี เหตุใดยังคงยืนหยัดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไปโดยไม่ต้องหลบหนี
ก็เพราะความเชื่อมั่นและศรัทธาว่าตัวเองจะได้รับความเป็นธรรมเมื่อถึงที่สุดแห่งคดีความ !
ในทางตรงกันข้ามกับคนที่กระทำความผิดและมีอำนาจรัฐอยู่มือ คุมกลไกทุกอย่าง แล้วไม่ยอมถูกลงโทษตามกฎหมายจะทำให้เกิดผลเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อกระบวนการยุติธรรม เพราะจะทำทุกวิถีทางให้ตัวเองรอดจากคดีความเหล่านั้น ด้วยการโยกย้ายข้าราชการให้พวกของตัวเองเข้าไปจัดการกับคดีความ ใช้อำนาจตำรวจกลั่นแกล้งองค์กรอิสระต่างๆ จนถึงขั้นเสนอผลตอบแทนทั้งในรูปของตำแหน่งหน้าที่การงาน หรือเงินทองเพื่อทำให้กระบวนการตรวจสอบการโกงกินทั้งหลายก่อนถึงศาลต้องมีอันต้องเป็นอัมพาตหยุดชะงักไปในที่สุด
แม้แต่เมื่อไม่นานมานี้ นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลถึงขั้นจะรวมหัวกันเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับตัวเอง และพวกพ้องให้รอดพ้นการลงโทษความผิดชั้นศาลอย่างหน้าด้านๆ หรือการถูกจับได้ไล่ทันว่าคณะทนายของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้นำเงิน 2 ล้านบาท ใส่ถุงขนมเพื่อติดบนเจ้าหน้าที่ศาล จนมีอันต้องไปนอนในคุกตะรางกันอยู่ขณะนี้
นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงอันตรายของคนที่กระทำผิดกฎหมายและควบคุมอำนาจรัฐอยู่ในมือแบบเบ็ดเสร็จ
ดังนั้นหากคนเหล่านี้กระทำความผิดและถูกพิจารณาคดีในชั้นศาลเมื่อใด ก็สมควรที่จะต้องถูกลงโทษอย่างสาสมเช่นเดียวกัน
คนเราถ้าไม่ได้กระทำผิดจริง จะไปกลัวอะไรกับการพิจารณาคดีในชั้นศาลที่พิจารณาคดีภายใต้พระปรมาภิไธย!
ถ้าจำกันได้เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 นายจักรภพ เพ็ญแข ในฐานะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กระทำผิดมารยาททางการเมืองโดยการใช้เวทีสภาผู้แทนราษฎรด่าสื่อในเครือผู้จัดการบุคคลที่ 3 ที่ไม่ได้อยู่ในรัฐสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนำคำพิพากษาของศาลอาญาเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ที่ลงโทษจำคุกนายสนธิ ลิ้มทองกุลโดยไม่รอลงอาญามาเสมือนประจานในสภาผู้แทนราษฎรทั้งๆ ที่อยู่ในระหว่างการอุทธรณ์ ซึ่งต่อมาในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 รายการยามเฝ้าแผ่นดิน ได้ตำหนินายจักรภพในการกระทำดังกล่าวว่าไม่มีมารยาท และไม่เหมาะสมเพราะยังไม่สิ้นสุดแห่งคดีและอยู่ระหว่างการอุทธรณ์ โดยเนื้อความในการจัดรายการระบุว่า
“คุณจักรภพ ตัดสินใจหยิบยกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ซึ่งคุณสนธิไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษานั้น และทำการอุทธรณ์ต่อในชั้นกระบวนการยุติธรรม และก็หยิบเหตุนั้นซึ่งในคดีความยังไม่สิ้นสุดมาพูด และมาอ่านให้ฟัง”
และถ้า “ประดาบ” ยังไม่สติฟั่นเฟือนและยังจำบทความของตัวเองที่ตำหนิรายการยามเฝ้าแผ่นดินในเว็บไซต์ไฮ-ทักษิณ เอาไว้เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 ความตอนหนึ่งว่า:
“เพื่อจะปกป้องสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ต้องคำพิพากษาของศาล ให้ลงโทษจำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา ด้วยความผิดมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรง ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ถึงกับใช้ถ้อยคำวาทกรรมที่เป็นด้อยค่าคำพิพากษาของศาล ให้ประชาชนรู้สึกคล้อยตามว่า อาจจะเป็นคำพิพากษาที่ยังไม่น่าเชื่อถือ ไม่ควรนำมากล่าวอ้างได้
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คงกระสันจะไปใช้ชีวิตในคุกเสียเต็มประดาต้องไม่ลืมว่า คำพิพากษาจำคุกสนธิ ลิ้มทองกุล 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา ด้วยเหตุว่าเป็นบุคคลที่เป็นอันตรายต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรงนั้น เป็นคำพิพากษาของศาลภายใต้พระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
แม้จะเป็นศาลชั้นต้น แต่ก็เป็นศาลสถิตยุติธรรมที่พิจารณาอรรถคดีด้วยความเที่ยงธรรม ภายใต้พระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เช่นเดียวกับศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา”
ข้อความข้างต้นคือตรรกะแบบ “ประดาบ”
แต่พอเมื่อคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ถูกพิพากษาศาลชั้นต้นจำคุกโดยไม่รอลงอาญาในข้อหาโกงภาษีแผ่นดิน ประดาบจะไม่เคารพและยอมรับในความเที่ยงธรรมของศาลชั้นต้นภายใต้พระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เหมือนที่ตัวเองเคยเขียนเอาไว้บ้างหรอกหรือ?
ถ้าคำพิพากษาศาลชั้นต้นออกมาแล้วห้ามไม่เห็นด้วย คุณหญิงพจมาน ชินวัตร จะอุทธรณ์ทันทีเพื่ออะไร?
เพื่อต่อสู้ความจริงในกระบวนการยุติธรรมแบบนายสนธิ ลิ้มทองกุล หรือเพื่อ “หนี” ความผิดของตัวเองที่รู้ดีว่าทำอะไรลงไป จนต้องถูกออกหมายจับติดประจานไปทั่วประเทศอยู่ในขณะนี้
การบังอาจตั้งข้อสังเกตในคำพิพากษาในศาลอาญาของ “ประดาบ” ต่างหาก ที่อาจจะเข้าข่ายดูหมิ่นและละเมิดอำนาจศาลภายใต้พระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเอาได้!
บทความของประดาบยังทิ้งท้ายด้วยว่า…
“เกือบลืม... ช่วยกันบริจาคเพื่อต่อลมหายใจแก่ ประชาไท ด้วยนะครับ”
ถ้าหากจะลองนำบทความตรรกะแปลกๆ ของ “ประดาบ” ที่พยายามทำกันอยู่ตอนนี้ ไปเสนอผลงานเพื่อขอเงินบริจาคจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรผู้ร้ายหนีอาญาแผ่นดินที่กำลังพำนักอยู่ที่อังกฤษอยู่ในขณะนี้ บางทีเว็บไซต์ประชาไทอาจมีโอกาสอยู่รอดอีกหลายปีก็เป็นได้!